“ความจริง เ้าเองก็งดงามไม่ต่างจากข้า...” อี้หนิงกระตุกคิ้วเป็ครั้งที่สอง แต่ไหนแต่ไร เธอไม่เคยได้รับคำชมจากเพื่อนร่วมรุ่น ยิ่งกว่านั้น การไม่เคยมีแฟนเป็การยืนยันแล้วว่าเธอไม่ได้หน้าตาดีอย่างที่จือซินกุ้ยเฟยกล่าว
“ทั้งผิวพรรณ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ทุกอย่างของเ้าสามารถเทียบเคียงข้าได้ ซึ่งที่ผ่านมาข้าได้ยินว่า เ้ายอมยกเลิกการดูตัวกับคุณชายเติ้ง เพื่อมาเป็กุ้ยเหรินรับใช้ฮ่องเต้ ถูกต้องหรือไม่”
‘เื่นี้น่ะเหรอ ฉันควรยอมรับดีหรือไม่’ หลังจากขบคิดจึงค่อย ๆ เอื้อมไปหยิบชาขึ้นดื่มเพื่อกลบเกลื่อน
“ข้ายังได้ยินอีกด้วย ว่าเ้ามีใจปฏิพัทธ์ต่อฮ่องเต้เป็อย่างมาก ถึงขนาดนำภาพวาดของเขาไปติดไว้ที่ผนังห้องเพื่อเชยชม”
“แค๊ก!” อี้หนิงสำลักน้ำชา แล้วรีบดึงถ้วยชาออกจากปากทันที
“เ้าไม่ต้องกลัวว่าข้าจะต่อว่า ข้ายินดีต้อนรับเ้าด้วยซ้ำ ที่เข้ามาช่วยดูแลฮ่องเต้” คำพูดของจือซิงกุ้ยเฟย ทำให้อี้หนิงกุ้ยเหรินที่กำลังเช็ดปากหันมองมาด้วยความแปลกใจ
“พระองค์หมายความว่าอย่างไรเพคะ” สิ้นคำถาม จือซินกุ้ยเฟยจึงลุกขึ้น แล้วเดินนำอี้หนิงเข้ามายังห้องส่วนตัว เป็ห้องขนาดใหญ่ มีตู้ไม้และห้องเก็บทรัพย์สินแยกไว้เป็ส่วน ๆ สายตาอยากรู้อยากเห็นของอี้หนิงหันมองไปรอบ ๆ พร้อมนิ้วมือเกี่ยวกันไปมาอย่างใช้ความคิด
‘ผ้าปักลายั ต้องอยู่ตรงไหนสักแห่งในห้องนี้’
“ในทุกวันฮ่องเต้จะเสด็จมาพบข้าที่นี่” กล่าวจบ เหล่านางกำนัลทยอยเอาอาหารหลากหลายมาวางไว้ตรงหน้า พร้อมควันโชยฟุ้ง ท่ามกลางสายตาแปลกใจของอี้หนิงกุ้ยเหรินมองทุกอย่างเงียบ ๆ
“แต่ว่าวันนี้ข้าไม่สะดวกอยู่ต้อนรับฮ่องเต้ จึงอยากให้เ้าต้อนรับฮ่องเต้แทนข้าบ้าง หวังว่าเ้าจะไม่ปฏิเสธความหวังดีของข้า” กล่าวจบ จือซินกุ้ยเฟยค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามาหาอี้หนิงกุ้ยเหริน แล้วใช้มืออ่อนโยนลูบใบหน้านาง ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความเมตตา
“ใช้ความงดงามของเ้า ทำให้ฮ่องเต้ประทับใจ”
“พระสนมเพคะ นี่มัน...” น้ำเสียงสั่นเครือและท่าทีแปลกใจของอี้หนิง ทำให้จือซินยิ้มอย่างเมตตา
“นี่เป็โอกาสสำคัญ เ้าควรเอาใจฮ่องเต้ให้มาก ข้าเชื่อว่าสักวัน เ้าจะเป็ที่โปรดปรานไม่ต่างจากข้า”
“แต่ว่า...” ยังไม่ทันกล่าวจบ ร่างของจือซินกุ้ยเฟยก็เบี่ยงตัวเดินจากไป พร้อมนางกำนัลที่ค่อย ๆ ปิดประตูห้องจนสนิท เหลือเพียงอี้หนิงและอาหารมากมายตรงหน้าเท่านั้น
‘นี่เป็ห้องส่วนตัวของจือซินกุ้ยเฟย ผ้าปักลายัต้องซ่อนอยู่ตรงไหนสักแห่ง ฮ่องเต้ยังไม่เสด็จมา ด้านนอกเงียบสนิทเวลานี้เหมาะสมที่สุด’
เมื่อคิดได้ดังนั้น อี้หนิงจึงตัดสินใจเดินไปยังเตียงนอนของจือซินกุ้เฟยที่ปูด้วยผ้าสีอ่อน หยุดมองเตียงแกะสลักหลังนั้นครู่หนึ่ง สองจิตสองใจว่าควรถือวิสาสะหรือไม่ แต่ใช้เวลาตัดสินใจไม่นานก็ลงมือรื้อหาผ้าปักลายัในทันที มือบางเอื้อมไปหยิบหมอนขึ้นมาแล้วรื้อหาใต้ผ้า เมื่อหาใต้ผ้าไม่พบ จึงก้มมองดูใต้เตียงอันมืดทึบ ใช้มือควานอยู่ครู่หนึ่งไม่พบจึงหันไปยังตู้ไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม
นางเหลือบมองไปยังประตูทางเข้าที่ยังคงเงียบสงัด กลืนน้ำลายลงคอแล้วค่อยๆ เปิดตู้ไม้ที่ว่า พบกล่องใส่ของหลายอัน จึงตัดสินใจรื้อดูทั้งหมดทว่าไม่พบผ้าปักลายัที่ว่า เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นจากใบหน้านางปาดแบบลวก ๆ แล้วหันไปยังกล่องเก็บทรัพย์สินส่วนตัวของจือซินกุ้ยเฟยกล่องอื่น ๆ ที่วางไว้อยู่ไม่ห่างกัน แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปหา เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากภายนอก ทำให้นางรีบหันกลับไปนั่งที่เดิม พร้อมมือที่เปียกชื้นจากเหงื่อที่ผุดขึ้น
“เหตุใดวันนี้จึงมีอาหารมากมาย?” สุรเสียงอบอุ่นเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง พร้อมฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ ๆ มือใหญ่โอบแตะที่ไหล่ของอี้หนิงเบา ๆ ทำให้เธอรับรู้ถึงความอบอุ่นผ่านคำพูดและการกระทำ ก่อนเขาจะเดินเข้ามาย่อตัวนั่งตรงข้าม ทว่าเมื่อเห็นเป็ใบหน้าของอี้หนิงกุ้ยเหริน ซึ่งไม่ใช่หญิงเ้าของตำหนักที่เขาอยากพบ จึงชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ทว่ายังอยู่ในท่าทีสงบนิ่ง ก้มลงมองอาหารตรงหน้าเล็กน้อย พลันเลื่อนสายตาขึ้นสบตานาง
“เ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” คำพูดของชายสูงศักดิ์ ทำให้อี้หนิงรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก บารมีของฮ่องเต้ในสมัย 500 กว่าปีก่อน น่าเกรงขามกว่าที่คิด ทำให้นางรีบก้มหน้าหลบสายตา
“ขะ ข้า....” นางอึกอักพูดไม่ออก ก่อนที่เขาจะพูดแทรกขึ้นเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ และท่าทีนิ่งสงบนั้นกลับยิ่งเพิ่มความกดดัน ให้กับหัวใจของอี้หนิงมากขึ้นไปอีก
“จือซิน ให้เ้ามาต้อนรับข้า แทนนางงั้นเหรอ?” อี้หนิงกุ้ยเหริน เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วเม้มปาก พลันพยักหน้าช้า ๆ ในขณะที่ชายหนุ่มแอบกำมือแน่น เก็บซ่อนความผิดหวังไว้ในดวงตาที่สะท้อนสีแดงระเรื่อออกมา แล้วเอื้อมไปรินชาใส่ถ้วยยกดื่มช้า ๆ แล้วกลบเกลื่อนด้วยการคีบอาหารเข้าปาก ทุกกิริยาของเขาทำให้อี้หนิงนิ่งเงียบไม่เอ่ยพูดสิ่งใดออกมา
“ในเมื่อนางอยากให้ข้ากินอาหารกับเ้า เ้าก็ควรทำตามที่นาง้า กินสิ”
“เพคะ” อี้หนิงเอื้อมไปคีบอาหารใส่ปาก แล้วเหลือบตามองเขาเป็ระยะ ทุกท่วงท่าของจวิ้นเทียนฮ่องเต้ สงบนิ่ง ไม่อาจคาดเดาได้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน เขายังคงคีบอาหารใส่ปากโดยไม่พูดอะไร พร้อมแสงตะเกียงส่องไสวไปมาเบา ๆ หญิงสาวจึงตัดสินใจคีบอาหารใส่ถ้วยให้อีกฝ่าย แล้วเอ่ยขึ้นเพื่อสลายความเงียบ ที่ชวนอึดอัดแทบหายไม่ออก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้