เล่มที่ 7 บทที่ 204 เคล็ดวิชาบงการอัสนี
หลินเฟยเหม่อมองจากท่าเรือ ‘เกาะปริศนานั่นก็เหมือนสัตว์ตัวั์ที่กำลังหลับใหลท่ามกลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ภายในเกาะมีูเาสลับซับซ้อนมากมาย หมอกควันปกคุลมหนาแน่น แถมยังมีลำแสงปรากฏขึ้นเลือนราง ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกได้ถึงความลี้ลับของเกาะแห่งนี้ แม้มองแวบแรกจะเห็นเกาะนี้อย่างชัดเจน แต่หากเบิกตาดูอีกครั้ง จะพบว่าเกาะนี้เริ่มเลือนรางลงเรื่อยๆ…
“นี่มัน…” หลินเฟยขมวดคิ้วทันที ดูเหมือนเกาะนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ บางครั้งก็ดูเหมือนอยู่ใกล้ บางครั้งก็ดูไกล ราวกับว่าเกาะแห่งนี้เคลื่อนไหวได้ จนบางครั้งรู้สึกว่ามันห่างไกลออกไปเรื่อยๆ…
นี่ไม่ใช่เื่เล่นๆแล้วล่ะ…
เพราะบัดนี้หลินเฟยมีขั้นบำเพ็ญถึงมิ่งหุนเคราะห์สอง เขาจึงมีสายตาหลักแหลม สามารถเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนแม้จะอยู่ห่างออกไปไกล ดังนั้นค่ายกลพรางตาทั่วไป ล้วนไม่อาจหลอกตาของเขาได้ ทว่าตอนนี้กลับมองเกาะนี้ไม่ออก นี่มันเื่ประหลาดอะไรกันแน่?
ทว่าตอนที่หลินเฟยกำลังคิดจะลงเรือเพื่อดูให้แน่ใจ จู่ๆก็รู้สึกถึงอักขระกระบี่หยินหลีในตัวกำลังสั่นไหวขึ้นมา และดินิถู่เองก็เช่นกัน…
“หื้อ?” หลินเฟยขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีกครั้ง อดที่จะนึกถึงเื่ที่ไออสูรมากมายเข้าปกคลุม จนห้วงมิติดินิถู่แทบแตกสลายไม่ได้ หลินเฟยจึงรีบหาที่ลับเพื่อก้าวเข้าสู่ห้วงมิติทันที
ทั้งที่เพิ่งก้าวเข้ามา หลินเฟยก็เห็นดวงจันทร์ิเยว่ที่มีสีหม่นแดงกำลังลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ลำแสงอันหม่นแดงลี้ลับกำลังสาดส่องลงมา ทำให้ห้วงมิติดินิถู่ดูพิศวงวังเวงยิ่งกว่าเดิม อสรพิษเกล็ดหินและกุ่ยิที่กลายเป็ูเาและแม่น้ำ บัดนี้กำลังสำแดงครึ่งร่างออกมา และกลืนกินไออสูรมากมายที่ลอยอยู่ในห้วงมิติ กระบี่ดาวอัปมงคลทั้งสี่เองก็พากันกลายเป็ดวงดาวสี่ดวง ซึ่งกำลังหลอมละลายมีดบินฮั่วอู๋อยู่กับกล่องกระบี่เจิงหนิง…
ูเาสูงชันเป็แนวยาว ไม่มีการสั่นไหวใดๆ ส่วนแม่น้ำก็ไหลเอื่อย ไม่มีแม้แต่เกลียวคลื่น หลินเฟยเห็นดังนั้นก็อดที่จะขมวดคิ้วตึงเครียดไม่ได้ เพราะทุกอย่างดูประหลาดไปเสียหมด ‘แล้วแรงสั่นะเืเมื่อครู่นี้มันคืออะไรกัน?’
และในเวลานี้เอง ก็มีเงาดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น และเงาดำสายนี้ก็คือกลุ่มควันดำเซียนเทียนนั่นเอง จะว่าไปก็แปลก ตอนที่เข้ามาในดินิถู่ครั้งแรก กลุ่มควันนี้ถือว่ายังเชื่องอยู่มาก แถมตอนหลังพวกมันยังช่วยหลินเฟยกำราบกุ่ยิอีกด้วย แต่ไม่รู้ว่าวันนี้ดันเกิดอะไรขึ้น พวกมันถึงมีอาการอยู่ไม่สุขเช่นนี้
ขณะที่ก้าวเข้ามา หลินเฟยก็เห็นควันดำกำลังพุ่งชนไปมา ราวกับกำลังดิ้นรนเพื่อหนีออกไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนห้วงมิติดินิถู่ขยายออกจนแทบแตกสลาย หากมันคิดจะหนีจริงๆ ย่อมไม่มีอะไรสกัดมันได้อยู่แล้ว ทว่าตอนนั้นมันก็ไม่ได้หนีไปไหน
“เป็อะไรไป…” หลินเฟยส่ายหน้าก่อนจะปล่อยปราณกระบี่ไท่อี๋ออกมาสกัดเ้ากลุ่มควันดำเอาไว้ แต่วันนี้เองนับว่าประหลาดมาก เพราะเดิมทีปราณกระบี่ไท่อี๋จะสามารถกดข่มควันดำเซียนเทียนนี้ได้อยู่หมัด ทุกครั้งที่เจอ ควันดำเซียนเทียนก็จะมิวายหวาดกลัวปราณกระบี่ไท่อี๋เป็อย่างมาก เสมือนหนูเจอแมวก็ไม่ปาน
วันนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น หลังจากปลดปล่อยปราณกระบี่ไท่อี๋ออกมา เ้ากลุ่มควันดำก็ทำเพียงถอยหลังไปเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะพุ่งชนไปมาเช่นเดิม ไม่คิดจะสงบลงแม้แต่น้อย
‘ช่วยไม่ได้’ สุดท้ายหลินเฟยจึงบงการให้ปราณกระบี่ไท่อี๋แยกตัวออกเป็ค่ายกลกระบี่หุ้นหยวน ปิดล้อมเ้าควันดำเอาไว้อย่างแ่า ไม่ว่าจะพุ่งชนอย่างไร ก็ไม่อาจหนีออกไปได้
“เกิดอะไรขึ้น…” หลินเฟยลูบจมูกเบาๆพลางครุ่นคิดไปด้วย ‘ดูเหมือนเ้าควันดำเซียนเทียนนี้จะมีบางอย่างผิดปกติ’ หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน หลินเฟยก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“หรือว่าจะเพราะเกาะนั่น?”
เมื่อคิดได้ดังนั้นหลินเฟยก็รีบคว้ากลุ่มควันดำเอาไว้ ก่อนจะชี้ไปทางเกาะปริศนานั่นแล้วเอ่ยออกมา
“ในเมื่อเป็เช่นนี้แล้วละก็ เดี๋ยวข้าจะพาไปแล้วกัน…”
ถือว่าแปลกทีเดียว เพราะหลังจากหลินเฟยพูดจบ เ้ากลุ่มควันดำก็สงบนิ่งลงทันที หลังจากหลินเฟยเก็บปราณกระบี่ไท่อี๋กลับ เ้ากลุ่มควันดำก็จมหายลงพื้นไปตามเดิม
“ใช่จริงๆด้วย…” หลินเฟยยิ้มน้อยๆออกมา ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ และสุดท้ายจึงถอยออกมาจากห้วงมิติดินิถู่
ทว่าก่อนที่เขาจะมุ่งหน้าไปยังเกาะปริศนานั่น เขาจำเป็ต้องไปที่หนึ่งเสียก่อน
‘ได้เวลาไปพบผู้ขายชิ้นส่วนประตูมิติแล้วล่ะ…’
สามวันผ่านไป จู่ๆบนน่านฟ้าของเกาะปริศนาก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น
เพียงครู่เดียวก็มีเงานับสิบปรากฏขึ้นที่ดงไม้อันหนาทึบ เงาเ่าั้มีลวดลายเต็มตัวั้แ่หัวจรดเท้า และนี่ก็คือปีศาจเยาเจี้ยงขั้นสี่ แต่ดูเหมือนมันกำลังตื่นตระหนกจากอะไรบางอย่าง หลังจากที่พุ่งออกมาจากดงไม้ มันก็หนีตายอย่างไม่คิดชีวิต เอาแต่พุ่งชนไปทั่ว ทันใดนั้นต้นไม้มากมายก็ล้วนถูกโค่นล้มจนหมด ูเาหินก็พลันแตกกระจาย ไม่นานดงไม้หนาทึบ ก็เกิดเป็ถนนที่โล่งเตียนทันที ทุกที่ที่เ้าปีศาจขั้นสี่พาดผ่านไปนั้น ล้วนสลายกลายเป็ผุยผง…
ชั่วขณะที่ปีศาจตนนั้นกำลังหนีตายออกมา เื้ัของมันก็มีสายฟ้าอันน่ากลัวผ่าตามลงมา…
พริบตาต่อมาก็เกิดแสงจ้าราวกับเกลียวคลื่น และสายฟ้าที่ยาวนับร้อยจ้างก็ฟาดลงมาราวกับัไฟ วินาทีนั้นเองมันก็กลืนกินเ้าปีศาจขั้นเยาเจี้ยงตนนั้นเข้าไปทันที…
“ครืน ครืน”
เสียงฟ้าร้องยังคงดังสนั่น ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายกับถูกสายฟ้ากลืนกิน เป็เวลานาน ในที่สุดแสงจ้าของสายฟ้าราวกับเปลวไฟก็ค่อยๆสลายไป เหลือเพียงรอยไหม้ยาวนับพันจ้างซึ่งปรากฏให้เห็นบริเวณดงไม้หนาทึบนั้น และเ้าปีศาจขั้นเยาเจี้ยงก็ได้แตกสลายกลายเป็เถ้าถ่านั้แ่ตอนที่สายฟ้าผ่าอย่างรุนแรงลงมา…
เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น หวังจิ่งก็เดินออกมา หลังจากสะบัดมือเพื่อดับเปลวไฟที่หลงเหลือจากพลังจากสายฟ้าแล้ว เขาก็ก้มลงเพื่อคุ้ยหาลูกแก้วปีศาจในซากเถ้าถ่าน ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าลงไป…
หวังจิ่งมีกายเปลวไฟชื่อฮั่วแต่กำเนิด เขาจึงฝึกวิชาบงการอัสนีที่เป็เคล็ดวิชาชั้นสูงของสำนักเชียนซานได้ ตอนแรกยังมีคนมากมายคิดว่าหวังจิ่งเลือกเคล็ดวิชาผิด และชีวิตนี้คงจะไม่อาจบรรลุขั้นสูงกว่าจิงตันได้
แต่กลับไม่มีใครคาดคิดว่าเพียงเวลาแค่ยี่สิบปีเท่านั้น หวังจิ่งก็สามารถหลอมรวมเคล็ดวิชาบงการอัสนีเข้ากับกายเปลวไฟชื่อฮั่วได้สำเร็จ นอกจากจะกำจัดขวากหนามในเส้นทางการบำเพ็ญแล้ว ยังทำให้พลังเคล็ดวิชาบงการอัสนีรุนแรงขึ้นอีกด้วย และสุดท้ายก็ได้กลายเป็ศิษย์สายตรงลำดับหนึ่งของสำนักเชียนซาน
บัดนี้ตอนที่หวังจิ่งเดินออกมานั้น ใบหน้าของเขาก็ซีดขาวราวกระดาษ ก้าวเดินด้วยท่าทางอ่อนแรง ลมหายใจเข้าออกนั้นก็ไม่มั่นคงเอาเสียเลย ทั้งหมดนี้คือสัญลักษณ์ของพลังปราณที่กำลังร่อยหรอ ในตอนแรกเคล็ดวิชาบงการอัสนีเป็เคล็ดวิชาที่มีวิถีบำเพ็ญด้วยพลังหยางเข้มข้น ดังนั้นทุกครั้งที่โคจรพลัง ก็จะต้องสูญเสียพลังปราณไปมาก แถมตลอดทางยังพบเจอมารปีศาจมากมาย ต่อให้หวังจิ่งมีพลังสะสมตอนอยู่ขั้นมิ่งหุนมามากเท่าใด บัดนี้ก็ยังไม่เพียงพอ…
“ปีศาจขั้นกุ่ยเจี้ยงตนที่ห้าแล้ว…”
หวังจิ่งพึมพำแ่เบา ส่วนสายตาก็จ้องมองไปยังใจกลางเกาะปริศนาที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ เกาะแห่งนี้ถือว่าเป็สถานที่ฟ้าประทานก็ว่าได้ เพียงไม่กี่วัน ก็มีผู้บำเพ็ญมากมายได้ของดีติดมือกลับมา แถมยังมีสมุนไพรและแร่หินล้ำค่าจำนวนมากปรากฏอยู่ทั่วทั้งเกาะ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------