ชื่อจริงของพระชายาเอกคือตู้ซือโหรว ประวัติความเป็มาของนางมิธรรมดา
คำว่ามิธรรมดาที่อวิ๋นอี้พูดนั้นมิใช่คำเยินยอ ทว่าเป็เพราะข่าวลือเื่ตระกูลตู้
ลูกตระกูลตู้ห้าชั่วอายุคนล้วนเป็บุรุษ ผู้คนบนถนนตรอกซอกซอยล้วนพูดถึงยุคของนาง ว่ามีลูกคนแรกเป็สตรี ทำให้ตระกูลตู้ในขณะนั้นตกตะลึงไม่น้อยเลย
หรือว่าตระกูลตู้ที่ยืนหยัดมาถึงสองราชวงศ์ กำลังจะล่มจม?
ขณะที่ท่านชายใหญ่ตระกูลตู้กังวลอยู่นั้น ที่จวนพลันมีหมอดูเข้ามา กล่าวว่าเป็เื่มงคล จะต้องเป็ผู้สูงศักดิ์เป็แน่ จนอยากจะดูชะตาให้
แม้จะไม่้า ทว่าเขาก็เชิญอาจารย์มาดูชะตาให้ตู้ซือโหรว
มิคิดเลยว่าการทำนายชะตาครานี้ จะเปลี่ยนชะตากรรมของจวนตู้ไปอย่างสิ้นเชิง
หมอดูกล่าวว่าตระกูลตู้จะมีผู้ที่เป็ฮองเฮา คุณหนูตู้ซือโหรวผู้นี้มีดวงเป็ผู้สูงศักดิ์
หมอดูยังกล่าวอีกว่าชะตากรรมของคุณหนูผู้นี้ จะส่งผลต่อทิศทางของทั้งตระกูลราวกับเวทมนตร์ พลิกชะตาได้เลยทีเดียว
เมื่อคนในตระกูลตู้ได้ยินคำทำนายนี้ พวกเขาพลันปีติยินดี ฆ่าแกะล้มวัวมาปรนนิบัติหมอดูทันใด
ด้วยคำทำนายของหมอดูผู้นี้ ทำให้คนตระกูลตู้ที่มิสนใจเด็กหญิงผู้นี้ในตอนแรก พลันตั้งใจเลี้ยงดูนางนับั้แ่นั้นมา
ในไม่ช้าทุกอย่างก็สัมฤทธิผล
ยิ่งพวกเขาปฏิบัติต่อตู้ซือโหรวดีมากเท่าใด การพัฒนาของตระกูลตู้ก็ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น มิเพียงแต่จะมีบุตรอีกหลายคนที่ทำให้คนในตระกูลได้หน้าชื่นตาบาน ข้าราชการในตระกูลตู้ต่างก็มีตำแหน่งสูงขึ้นกว่าเดิม
คนตระกูลตู้ที่ได้ลิ้มรสความหอมหวานนี้ถึงกับรักใคร่เทิดทูนตู้ซือโหรวราวกับบรรพบุรุษ
ในตอนที่ตู้ซือโหรวยังไม่บรรลุนิติภาวะ นางถูกองค์รัชทายาทถูกใจเข้าโดยบังเอิญ จากนั้นจึงหมั้นหมายและอภิเษก ราบรื่นอย่างมิมีอุปสรรคใดๆ
นับแต่นั้นตระกูลตู้ก็มีตำแหน่งสูงขึ้นโดยธรรมชาติ
คนข้างนอกพูดกันว่าตู้ซือโหรวบุญหนาั้แ่เกิด มิฉะนั้นจะมีโชคเช่นนี้ได้อย่างไร
อวิ๋นอี้มิคิดเช่นนั้น เกิดมาในตระกูลที่ดี ถือว่าโชคดีจริงๆ ทางขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็หลุมเป็บ่อ หากนางมิเฉลียวฉลาดมีความสามารถ เกรงว่านางคงมิเหลือเถ้ากระดูกไปนานแล้ว
ตู้ซือโหรวเป็ตัวละครที่มิควรมองข้าม จากเื่ผงคันนี้ก็บอกได้แล้ว
นางมิเพียงฉลาด ทว่ายังเก่งในการตัดสินสถานการณ์ แม้ว่านางจะอยู่ลึกเข้าไปในใจกลางวังวน นางยังมีสติ ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
ตัวอย่างเช่น การเลือกฝ่ายเมื่อครู่
อวิ๋นอี้ยิ้มมุมปากและมองไปยังผู้หญิงตรงหน้า “พระชายาเอกสุภาพกันเกินไปแล้วเพคะ แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด แต่ขอบพระทัยสำหรับคำชมเพคะ”
การพูดคุยระหว่างคนฉลาดกับคนฉลาด มิจำเป็ต้องพูดให้ชัดเจน สื่อกันเข้าใจเป็อันพอ
ตู้ซือโหรวรู้ว่าเป็ไปมิได้ที่อวิ๋นอี้จะยอมรับในสิ่งที่นางทำ จึงไม่พูดต่อ ทั้งสองคนรู้อยู่แก่ใจเป็พอ
นางเอาผมทัดหู โค้งคำนับอย่างสง่างาม “ในเมื่อพระชายาเจ็ดมิสบาย ข้าไม่อยู่รบกวนแล้วเพคะ”
ส่งพระชายาเอกออกไปด้วยความเคารพ กู่ซือฝานมองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ พลันรีบปิดประตู
วินาทีก่อนหน้า ใบหน้าของนางสง่างามนิ่งๆ วินาทีต่อมานางกลับเอามือกอดอก อ้าปากกว้างพ่นลม
“ฟู่ ในที่สุดก็จบเสียที ท่านพี่เพคะ ข้าประหม่ามาก! ข้าใแทบแย่!”
“ดูเ้าสิ” อวิ๋นอี้จิ๊จ๊ะ โยนยาที่หมอสั่งไปข้างๆ พลันถอนหายใจ “แสดงเหนื่อยมาก ข้าแสดงเก่งหรือไม่?”
“เก่งเพคะ!” กู่ซือฝานยกนิ้วให้ทันที “ขนาดข้ายังเชื่อ”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะ
อวิ๋นอี้ตื่นเช้ามาก่อเื่เช่นนี้ มีหมอเป็พยาน หัวหน้าแม่นมจึงไม่กล้าให้นางไปเรียนทั้งที่ป่วย มีข่าวลือว่าองค์ชายเจ็ดจะมาคิดบัญชี เช่นนั้นจึงให้นางหยุดเรียนหนึ่งวัน
กู่ซือฝานเอามือเท้าคาง มองนางด้วยตาเป็ประกาย พลันพูดอย่างอิจฉา “ท่านพี่ วันนี้ท่านรอดแล้ว! เห้อ ข้าเพียงคิดว่าจะต้องไปเจอหน้าซูเมี่ยวเออร์ ก็อดขนลุกไม่ได้"
"......" อวิ๋นอี้ใ "เ้ามิเป็กระไร เหตุใดจึงขนลุก?"
"กังวลว่าซูเมี่ยวเออร์จะเอาความโกรธมาลงที่ข้าน่ะสิเพคะ!” กู่ซือฝานสีหน้าเศร้าสร้อย "นางแผนเยอะ!"
อวิ๋นอี้หัวเราะออกมาดังๆ "อย่าได้กังวลไปเลย ซูเมี่ยวเออร์ถูกพาไปหาไทเฮาวันนี้ นางมิหาเื่เ้าหรอก”
“จริงหรือเพคะ?”
อวิ๋นอี้ยักไหล่อย่างมั่นใจ
กู่ซือฝานอยู่ในห้องของนางอยู่นาน เมื่อใกล้จะถึงเวลาเรียนเช้า นางจึงเดินออกไปอย่างมิเต็มใจ
นางคิดว่าสิ่งที่อวิ๋นอี้พูด เพียงเพื่อปลอบใจนาง มิคิดเลยว่า ทั้งวันนางจะมิได้เห็นซูเมี่ยวเออร์เลยจริงๆ
เทพจริงๆ
กู่ซือฝานนับถืออวิ๋นอี้ด้วยใจจริง
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน กู่ซือฝานรีบไปหาอวิ๋นอี้เพื่อจะแสดงความชื่นชมต่อนาง
นางรีบวิ่งไปที่ประตู เคาะประตูแล้วเข้าไป พลันเห็นพระชายาเอกอย่างไม่คาดคิด
เมื่อเห็นนางเข้ามา พระชายาเอกยิ้มให้นางเป็ครั้งแรก กู่ซือฝานใ
พระเ้า ผู้ที่เคยเย่อหยิ่ง แทบจะพ่นลมหายใจทับนางให้ตาย มีด้านอบอุ่นเช่นนี้ด้วยหรือ?
ครู่หนึ่ง นางรู้สึกสับสน ยิ้มอายๆ ยืนข้างเตียงอย่างเชื่อฟัง ฟังทั้งสองคนคุยกันเงียบๆ
หัวข้อการสนทนาของอวิ๋นอี้และตู้ซือโหรวล้วนเป็คำที่สุภาพ ก่อนอื่นคือชมเชยกันแล้วนัดดื่มชาด้วยกัน สุดท้ายตู้ซือโหรวก็พูดออกมาว่า “ข้ามิคาดคิดมาก่อนเลยว่าหลังสูญเสียความทรงจำพระชายาจะเยี่ยมยอดถึงเพียงนี้ หากแต่ว่า เพลานี้พระชายาจำสิ่งใดขึ้นมาได้บ้างหรือยังเพคะ?”
“ข้าอยากจำให้ได้เช่นกัน ทว่ามันมิใช่การตัดสินใจของข้า” อวิ๋นอี้ข้ามหัวข้อนี้ไปราวกับรำไทเก๊ก ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อย
ในที่สุด พระชายาเอกดื่มชาเสร็จแล้วลุกขึ้นจากไป
กลุ่มคนเดินตามนางไป คนเพิ่งจะออกไป กู่ซือฝานทนไม่ไหวเสียแล้ว "ท่านพี่เพคะ นางมาทำกระไรที่นี่?"
"หาเพื่อน" อวิ๋นอี้พูด “พระชายาเอกเป็คนฉลาด สถานะของนางสูงส่ง นางยินดีที่จะเป็เพื่อนกับข้า มีเพื่อนเพิ่มถนนมีให้เดินเยอะขึ้นจริงหรือไม่?”
“ใช่เพคะ แต่ว่า ท่านพี่…” กู่ซือฝานลังเล "เมื่อก่อนท่านมิได้ชอบพูดคุยกับผู้อื่นหรือเพคะ?"
อวิ๋นอี้ชะงัก "มิชอบน่ะมิชอบ แต่เื่ที่ควรทำ ก็ควรที่จะกล้าไปทำ”
"โอ้ เข้าใจแล้วเพคะ" กู่ซือฝานเหมือนจะคิดกระไร นั่งอยู่บนเก้าอี้ ได้ยินแล้วก็เงียบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดกระไรอยู่
หน้าต่างในห้องถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นภาพด้านนอกได้พอดี พระอาทิตย์ตกค่อยๆ จางลง อ่อนโยนราวโคมแดงที่มีเปลวไฟอ่อนๆ แขวนอยู่บนขอบฟ้า
อวิ๋นอี้หรี่ตาลง
จริงๆ นางมิชอบคบผู้ใด เพราะนางมิได้ตั้งใจจะอยู่ที่นี่นาน
ในวังไม่เหมาะกับนาง ชีวิตแห่งอุบายมิใช่สิ่งที่นางคาดหวัง
นางเข้ามาใน่เวลาและสถานที่นี้อย่างอธิบายมิได้ อยากเป็เพียงแค่สายลมที่พัดโชย เมื่อเพลิดเพลินกับความสุขทั้งหมดในโลกแล้ว จะโบกมือจากไปโดยไม่เหลือสิ่งใดไว้
แต่ทว่า...
นางตกหลุมรักบุรุษผู้หนึ่งเข้าแล้ว
สัญญาครึ่งปียังไม่มาถึง นางกลับครุ่นคิดอยากอยู่ที่นี่ต่อเสียแล้ว
หรงซิวอยู่ในสังคมสูงส่งที่ซับซ้อนที่สุด การอยู่ที่นี่หมายถึงการลงเรือลำเดียวกันกับเขา ต้องเผชิญหน้ากับแผนร้ายและกลอุบาย
เพื่อที่จะอยู่รอดที่นี่ และใช้ชีวิตให้ได้ดี นอกเหนือจากความเฉลียวฉลาดแล้ว ยังต้องมีเส้นสายที่มากเพียงพอ
การผูกมิตรกับพระชายาเอกนั้นมิมีกระไรมากไปกว่าการเตรียมพร้อมสำหรับการอยู่ต่อ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้