เล่มที่ 4 บทที่ 91
เ้าคงรออยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้วกระมัง พูดเย้ยหยันในใจแต่ใบหน้ากลับมีแต่รอยยิ้ม “เมื่อวานนี้ ข้านอนหลับสบายมาก วันนี้ข้าตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น ข้าคิดว่าข้าไม่ได้ไปยกน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็เวลานานแล้ว ดังนั้นจะรอเลือกวันที่เหมาะสมไม่ได้ จึงไปคำนับฮูหยินผู้เฒ่าในวันนี้”
“ช่างเป็คนเอาใจใส่จริงๆ” แม่รองเฉินหัวเราะออกมาเบาๆ ก้าวไปข้างหน้าและจับมือของมู่หรงฉิง “ดูเ้าสิ เ้าดูอ่อนแอมากจริงๆ มือของเ้าแทบไม่มีเนื้ออยู่เลย ได้ยินมาว่าหมอเทวดารักษาอาการเ้าด้วยตัวท่านเอง คิดว่าอีกไม่นานสุขภาพกายของเ้าจะหายดี”
ร่างกายของนางอยู่ในสภาพดี มีอะไรผิดปกติ? ก็แค่ถูกวางยาพิษไม่ใช่หรือ? ก็แค่มีรอยฟกช้ำที่ลำคอ ถูกเฉินเทียนหยูบีบคอไม่ใช่หรือ? เพียงแต่ในสายตาของทุกคน ร่างกายของนางอ่อนแอ นี่คือความเศร้าของผู้หญิงในบ้านในเรือน ผู้หญิงที่ไม่มีอำนาจในครอบครัว
นางถอนหายใจถึงความเศร้าโศกของผู้หญิง แต่ปากของนางกลับพูดว่า “น่าเสียดายที่มาในจังหวะไม่เหมาะสม หมอเทวดามาเมื่อวาน ข้านอนหลับสนิทพอดี และไม่รู้ว่าท่านพี่และองค์หญิงทะเลาะกันอย่างไร องค์หญิงจากไปแล้ว หมอเทวดาก็หงุดหงิด ลากองค์หญิงออกไป อุปนิสัยของหมอเทวดาก็แปลกพิกลโดยเนื้อแท้ คนคนหนึ่งสามารถรับการรักษาได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต ตอนนี้โอกาสเดียวของข้าพลาดไปแล้ว ข้าคิดว่าไม่น่าจะมีโอกาสนั้นอีกแล้ว” หลังจากนั้นจึงเหลือบมองเฉินเทียนหยูด้วยสายตาที่เศร้าโศก
เฉินเทียนหยูได้ฟังทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันใด “เป็เพราะนางพูดจาเลื่อนเปื้อน นางพูดว่าข้าจะฆ่าน้องหญิง ข้าไม่ฆ่าน้องหญิงอย่างแน่นอน ข้ารักและเวทนาน้องหญิง”
“ข้าทราบ ท่านพี่รักและเวทนาฉิงเอ๋อร์ ฉิงเอ๋อร์รู้อยู่แก่ใจ ท่านพี่อย่าวิตกกังวลอีกต่อไปเลย” รีบปลอบเฉินเทียนหยูที่ไม่อาจควบคุมอารมณ์ไว้ได้ แม่รองเฉินมองเห็นถึงความสิ้นหวังในดวงตาของมู่หรงฉิง ดวงตาของนางถึงกับเป็ประกาย
“ฉิงเอ๋อร์อย่าสิ้นหวังเลย ข้าได้ยินมาว่า หมอเทวดาคุ้นเคยกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทเป็อย่างมาก ถ้าอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทพูดสักคำหรือสองคำ คิดว่าหมอเทวดาย่อมเปลี่ยนใจ และมารักษาอาการของเ้าอีกก็ได้”
ยังไม่ยอมแพ้อีก? หรือนี่คือการใช้โอกาสนี้ให้เป็ประโยชน์ เมื่อคืนอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทมาที่จวนเฉินทำให้แม่รองเฉินเห็นรุ่งอรุณแห่งชัยชนะ?
“แต่ว่าข้ากับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทไม่รู้จักกัน ข้าจะให้เขาพูดแทนข้าได้อย่างไร?” นางส่งรอยยิ้มบางไปทางแม่รองเฉิน “นอกจากนี้ร่างกายของข้าก็ค่อนข้างดีอยู่ ข้าแค่หวังว่าหมอเทวดาจะได้ดูอาการให้ยวี้เอ๋อร์ จ้าวจื่อซินเคยพูดไว้ว่าหมอเทวดาสามารถรักษามือของยวี้เอ๋อร์ได้ ถ้าเป็ไปได้ข้าหวังว่ายวี้เอ๋อร์จะได้รับการรักษาให้หายขาด มือทั้งสองข้างของนางคือชีวิตของนางเชียวล่ะ...”
ทันทีที่มู่หรงฉิงพูดจบ ปี้เอ๋อร์มองผู้เป็นายหญิงจากด้านหลังด้วยสายตาเหลือเชื่อ จังหวะนั้นนางได้สบตากับแม่รองเฉินอย่างไม่คาดคิด ปี้เอ๋อร์จึงรีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ว่านางคิดอะไร
“เวลาสายมากแล้ว ฉิงเอ๋อร์จะต้องไปคำนับฮูหยินผู้เฒ่าก่อน รอให้ร่างกายดีขึ้นแล้วจะไปสนทนากับแม่รองเฉิน” สิ่งที่ควรพูด ก็พูดหมดไปแล้วย่อมไม่จำเป็ต้องเสียเวลาไปกับแม่รองเฉินอีกแล้ว แม่รองเฉินพยักหน้าพลางมองดูผู้คนสองสามคนเดินห่างออกไป ในดวงตาที่แย้มยิ้มเจือด้วยความมั่นใจอยู่หลายส่วนว่านางจะต้องชนะให้ได้
ปราศจากบทสนทนาใดไปตลอดเส้นทางและเมื่อไปถึงเรือนสือเสียน ก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินเฉินนั่งดื่มชา ถ้าบรรยากาศในเวลานี้ไร้ความตึงเครียด นี่นับได้ว่าเป็เวลาที่ดีสำหรับการดื่มชาและสนทนา
“ฉิงเอ๋อร์น้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่า น้อมทักทายท่านแม่”
หลังจากที่มู่หรงฉิงคำนับทั้งสองท่านก็เห็นเฉินเทียนหยูเรียนรู้ที่จะพูดเลียนแบบว่า “หยูเอ๋อร์น้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่า น้อมทักทายท่านแม่”
“อืม?” เปลือกตาของฮูหยินผู้เฒ่ากระตุก นี่เป็ครั้งแรกที่เฉินเทียนหยูคำนับและกล่าวทักทายพวกนางนับั้แ่เกิดอุบัติเหตุเป็ต้นมา เดิมฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเคืองมู่หรงฉิงเนื่องจากเื่เป้ยหนิง ทว่าเวลานี้สายตาอันเ็าของนางกลับลดลงเล็กน้อย
ช่างเป็คนที่มีความคิด คาดไม่ถึงว่าจะสามารถทำให้เฉินเทียนหยูคำนับและทักทาย ข้าประเมินความสามารถของนางต่ำไปจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าจะรู้ได้อย่างไรว่าการคำนับและทักทายของเฉินเทียนหยูในคราวนี้ นางได้สัญญากับเฉินเทียนหยูด้วยขนมของว่างจำนวนมาก เขาถึงได้จดจำและทำได้ เมื่อคิดถึงรายการขนมของว่างที่เขาพูดใน่เช้า มู่หรงฉิงถึงกับรู้สึกว่าหน้ามืดตาลาย
“นั่งลงเถอะ ยืนทำอะไรหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างไม่หนาวไม่ร้อน นางถือถ้วยน้ำชาและจิบเบาๆ ครั้นเห็นทั้งสองคนนั่งลงจึงกล่าว “ได้ยินมาว่า เมื่อวานฉิงเอ๋อร์ขึ้นแสดงบนเวทีที่จวนฮูหยินหลิงอย่างโดดเด่นเป็พิเศษ และดึงดูดความสนใจของทุกคนได้”
“ฉิงเอ๋อร์ไม่มีพร์ เมื่อวานฮูหยินหลิงพูดถึงท่านแม่ของฉิงเอ๋อร์ ฉิงเอ๋อร์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นเดียวกัน” สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ถ้าสอบถามเล็กน้อยก็รู้แล้วว่าฮูหยินหลิงจงใจทำให้นางลำบากใจ และนางเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรด้วย นางไม่อาจทนให้คนอื่นดูิ่ท่านแม่ของนางได้
“โอ้?” สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าหันไปทางชุ่ยเอ๋อร์ซึ่งอยู่ด้านหลังมู่หรงฉิงโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ชุ่ยเอ๋อร์คำนับและพูดโดยไม่รีบร้อนแต่ไม่ชักช้า “เมื่อวานฮูหยินน้อยอยู่กับคุณชายรอง เพียงแต่ใน่เวลาที่กำลังจะกลับ อาจเป็เพราะว่าคุณชายรองรีบร้อน ฮูหยินน้อยไม่ทันได้เตรียมตัวอะไร คุณชายรองก็อุ้มฮูหยินน้อยออกจากงานเลี้ยง ด้วยสาเหตุนั้นหลายคนจึงเห็นแล้วและทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์”
ในระหว่างที่ชุ่ยเอ๋อร์พูด มู่หรงฉิงถือถ้วยชาพลางจิบชาอย่างสงบ หลังจากฟังชุ่ยเอ๋อร์พูดจบ นางก็ตระหนักได้ในใจ ตอนนี้ชุ่ยเอ๋อร์เป็คนของนางแล้วจริงๆ
ชุ่ยเอ๋อร์รู้เื่ราวมากเกินไปและไม่ใช่สิ่งที่สาวใช้ในเรือนธรรมดาทั่วไปควรจะรู้ ถ้านางไม่อยากตาย เมื่อคิดพิเคราะห์จากแนวโน้มของสถานการณ์ ย่อมรู้ว่านางควรจะรับใช้ใคร ถ้ารู้แต่จะภักดีต่อฮูหยินผู้เฒ่าที่อายุมาก เท่ากับว่านางรนหาความตายให้ตัวเอง
หลังจากชุ่ยเอ๋อร์พูดจบ ฮูหยินผู้เฒ่าก็พยักหน้าและเงียบไปนาน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ฉิงเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นวันข้างหน้าออกจากจวนให้น้อยๆ จะดีกว่า”
“รับทราบเ้าค่ะ ขอบพระคุณฮูหยินผู้เฒ่าที่ห่วงใย” ขณะวางถ้วยชาลง ใบหน้าของมู่หรงฉิงก็ยังคงสงบนิ่ง มองไม่เห็นถึงความหงุดหงิดหรือความขุ่นเคือง และแทบมองไม่เห็นอารมณ์ใด ความสงบนิ่งของมู่หรงฉิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าค่อนข้างไม่มั่นใจเกี่ยวกับเด็กสาวอยู่หลายส่วน
เดิมคิดว่าเป็เด็กที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเนื่องจากขาดแม่ แต่หลังจากได้ยินคำตอบรับ แน่นอนว่าคู่สนทนาคงต้องรู้สึกเสียใจเป็ธรรมดา แต่ที่นางไม่คาดคิดคือ เด็กคนนี้กลับยอมรับโดยไร้ซึ่งเสียงไม่พอใจใดๆ
หลังจากคิดตรึกตรองก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้ที่พึ่งพิงของนางคงมีแต่จวนเฉินเท่านั้น เกรงว่านางคงจะเข้าใจความจริงที่ว่า ถึงได้เชื่อฟังและยอมรับกับการปฏิบัติเช่นนี้ได้กระมัง?
เมื่อเห็นเฉินเทียนหยูซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างมู่หรงฉิงยิ้มแย้มอย่างโง่เขลา ฮูหยินผู้เฒ่าก็ลอบถอนหายใจ ถ้าหลานชายของนางไม่ได้เกิดอุบัติเหตุ มันคงจะดีมาก
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าจะเรียกมู่หรงฉิงเพื่อมาสั่งสอนเล็กน้อย แต่เพราะเฉินเทียนหยูรู้วิธีการคำนับและทักทาย ถัดจากนั้นมู่หรงฉิงก็ไม่ได้เอะอะโวยวายไม่พอใจใดๆ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรู้สึกว่าวันนี้ตนเองจุกจิกมากเกินไป
อย่างไรก็ดีเมื่อฉุกนึกถึงคำพูดของเป้ยหนิง ฮูหยินผู้เฒ่ากลับรู้สึกหงุดหงิดระคนขุ่นเคืองในใจขึ้นมาอีกหน “ดูเหมือนว่าฉิงเอ๋อร์จะสนิทสนมกับองค์หญิงแห่งแว่นแคว้นพ่ายแพ้าคนนั้น?”
ถ้อยคำว่า 'องค์หญิงแห่งแว่นแคว้นพ่ายแพ้า' พิสูจน์ให้เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจเป้ยหนิง มู่หรงฉิงรู้สึกขบขันในใจ ดูเหมือนว่าผู้เป็ย่าในจงหยวนไม่ชื่นชอบอุปนิสัยของเป้ยหนิงเป็อย่างมาก และไม่รู้ว่าเป้ยหนิงไปถูกใจคุณชายจวนไหน? ถ้าได้แต่งงานกับคนที่มีย่าที่จริงจังเช่นฮูหยินผู้เฒ่า ในภายภาคหน้าจะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาก
“ก็แค่เพิ่งได้เจอกันเมื่อวาน หลังจากได้ยินว่าฉิงเอ๋อร์รู้วิธีปักสองด้าน องค์หญิงก็อยากจะเรียนด้วย ถัดจากนั้นองค์หญิงก็ดูเหมือนจะชอบการบรรเลงกู่ฉินของฉิงเอ๋อร์ จึงบอกว่าหากมีเวลาว่าง จะแวะมาหาที่จวนเพื่อฟัง แต่น่าเสียดายที่ร่างกายของฉิงเอ๋อร์อ่อนแอ หลังจากกลับมาจากงานเลี้ยง ฉิงเอ๋อร์จึงเผลอหลับไป โดยไม่นึกไม่ฝันว่าองค์หญิงจะมาด้วยตัวเองโดยไม่ได้รับเชิญ ถ้าได้พบกับองค์หญิงอีกหนในวันข้างหน้า ฉิงเอ๋อร์จะต้องบอกองค์หญิงอย่างแน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็เพียงความเข้าใจผิด”
คำพูดของมู่หรงฉิงเป็คำพูดที่มีขอบเขต ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้จวนเฉินเสียเกียรติ ในเวลาเดียวกันก็ไม่ได้พูดถึงองค์หญิงในทางไม่ดี อย่างมากที่สุดแค่พูดว่า องค์หญิงรีบร้อนที่จะฟังกู่ฉิน อีกฝ่ายจึงมาที่นี่โดยไม่ได้รับเชิญ นางพบเจอกับองค์หญิงในครั้งแรก ย่อมไม่ยอมให้คนนอกพูดถึงเฉินเทียนหยูในทางที่ไม่ดี
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังคำพูดของมู่หรงฉิงก็รู้สึกพึงพอใจอย่างสมบูรณ์ นางพยักหน้าและพูดกับชุ่ยเอ๋อร์ว่า “เ้าก็เป็บ่าวาุโในจวนแล้ว ทำไมถึงไม่รู้จักดูแลฮูหยินน้อย? ฮูหยินน้อยร่างกายอ่อนแอ เรียกหมอประจำจวนให้มาตรวจดูให้มาก”
“บ่าวรับทราบแล้วเ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์รีบตอบทันควัน
หลังพูดคุยในประเด็นสำคัญเสร็จสิ้น หัวข้อต่อไปย่อมไม่มีอะไรมากไปกว่าคำพูดสั้นๆ ไม่กี่คำ มู่หรงฉิงสามารถสนทนากับฮูหยินผู้เฒ่าได้ยาวนาน ทว่าเฉินเทียนหยูนั้นไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ ในจังหวะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังพูดอย่างเมามัน จู่ๆ เฉินเทียนหยูก็ยืนขึ้นและดึงมู่หรงฉิงออกไปด้านนอก “น้องหญิง พวกเราไปดูจุ๊กกรู๊กันเถอะ ที่นี่ไม่สนุกเลยไปดูจุ๊กกรู๊น่าสนุกกว่า”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีปัญหา เ้าไปกับเขาเถอะ เขาไม่สามารถนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนี้ได้” ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มอย่างมีเมตตาโดยไม่มีความน่าเกรงขามเช่นก่อนหน้า
“รับทราบ ฉิงเอ๋อร์และท่านพี่จะมาอีกในวันพรุ่งนี้” ดึงเฉินเทียนหยูให้คำนับฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินพร้อมกัน จากนั้นมู่หรงฉิงและเฉินเทียนหยูก็เดินออกจากเรือนสือเสียน
ั้แ่ต้นจนจบ ฮูหยินเฉินไม่พูดอะไร นางได้แต่ดื่มชาเงียบๆ กระทั่งคนทั้งสองคนเดินออกไปแล้ว ฮูหยินเฉินถึงได้พ่นลมหายใจออก “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่าตอนนี้เราควรจะทำอย่างไรดี?”
“อะไรคือเราควรจะทำอย่างไรดีหรือ? ร่างกายของฉิงเอ๋อร์อ่อนแอ แม้องค์หญิงจะส่งเทียบเชิญให้ไปหา แต่ฉิงเอ๋อร์จะไปหาได้อย่างไร? นอกจากนี้จวนเฉินของพวกเรามีเกียรติน้อย พวกเราจะต้อนรับองค์หญิงคนนั้นได้อย่างไร? เ้าส่งคนกลับไปหาองค์หญิงแห่งแว่นแคว้นที่พ่ายแพ้า โดยบอกว่าฉิงเอ๋อร์จะต้องพักผ่อนอยู่ในจวนสองสามวัน รอจนกว่าร่างกายดีขึ้นแล้วค่อยไปขอโทษนาง” หลังจากเปล่งเสียงเ็า ฮูหยินผู้เฒ่าก็โยนเทียบเชิญลงบนพื้น
เทียบเชิญถูกโยนลงบนพื้น จึงปรากฏคำว่า 'องค์หญิงซาเหริน' ซึ่งเป็อักษรประดุจัและหงส์เต้นรำด้านในอย่างสวยงาม ยามมองดูเทียบเชิญที่อยู่บนพื้น ฮูหยินเฉินก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก นางพูดได้แค่ว่า “รับทราบ ลูกสะใภ้รับทราบแล้ว”
องค์หญิงส่งเทียบเชิญให้ไปหา แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับเก็บเทียบเชิญไว้ และสาเหตุที่นางเรียกมู่หรงฉิงให้มาหา นั่นเพราะ้าสั่งสอนเด็กสาวเสียก่อน จากนั้นจะให้มู่หรงฉิงเป็ฝ่ายอาสาตอบเทียบเชิญ ทว่าหลังจากพูดคุยกับมู่หรงฉิง ฮูหยินผู้เฒ่ากลับเปลี่ยนความคิดเนื่องจากไม่้าให้มู่หรงฉิงยุ่งเกี่ยวกับคนด้านนอกจวน และ้าให้พึ่งพิงอาศัยแค่จวนเฉิน ด้วยสติปัญญาของมู่หรงฉิง ถ้านางใกล้ชิดกับสมาชิกในครอบครัวของราชวงศ์ก็เกรงว่าจะควบคุมได้ยาก
ความคิดดังกล่าวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเก็บเทียบเชิญไว้และนิ่งเงียบไม่พูดถึง
หลังจากเข้าไปในเรือนหยางเซิง เนื่องจากปี้เอ๋อร์เคยมาที่นี่สองสามหน และนางก็คุ้นเคยกับเส้นทางเป็อย่างดี ทว่าชุ่ยเอ๋อร์นั้นดูเหมือนจะหวั่นกลัว
เรือนหยางเซิงแห่งนี้ ไม่ใช่ว่าอยากจะมาก็มาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะผู้หญิง ถ้าไม่ระวังตัวอาจจะตายได้
“ไม่ต้องวิตกกังวล ที่นี่ปลอดภัยมากกว่าทุกที่เสียอีก” เห็นชุ่ยเอ๋อร์มีท่าทางวิตกกังวล มู่หรงฉิงก็พูดกับนางระหว่างเดิน “เ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เ้านายของเ้าเป็ใคร?”
“บ่าวเต็มใจที่จะภักดีต่อฮูหยินน้อยชั่วชีวิต บ่าวจะไม่ทำให้ฮูหยินน้อยผิดหวังอย่างแน่นอนเ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์รีบคุกเข่าต่อหน้ามู่หรงฉิงเพื่อแสดงความจงรักภักดีของนาง
“เ้ารู้หรือไม่ว่ายวี้เอ๋อร์เป็คนสนิทของข้า” มองชุ่ยเอ๋อร์ที่คุกเข่าเบื้องหน้าของนางด้วยสายตาสงบ น้ำเสียงมีเพียงความเรียบเฉย “เ้าจะเป็เหมือนม้าคอยรับใช้? หรืออยากเป็คนสนิท?”
“บ่าวจะภักดีต่อฮูหยินน้อยชั่วชีวิต บ่าวจะเป็เหมือนม้าที่คอยรับใช้ และจะไม่ทรยศต่อฮูหยินน้อยอย่างเด็ดขาด หากบ่าวฝ่าฝืน บ่าวจะต้องทนทุกข์ทรมานจากห้าฟ้าร้อง” โขกศีรษะอย่างเต็มแรง ชุ่ยเอ๋อร์รู้สึกหวั่นกลัวระคนวิตกกังวลในใจ
นางเคยสงสัยท่าทีของฮูหยินน้อยที่ปฏิบัติต่อยวี้เอ๋อร์เป็เวลานานแล้ว และดูเหมือนว่านี่เป็การยืนยันสิ่งที่นางได้คาดคิดไว้ก่อนหน้า สาเหตุที่ฮูหยินน้อยเรียกนางให้ไปเฝ้าดูยวี้เอ๋อร์ด้านนอกห้องเก็บฟืน ใช่การไปเฝ้ายวี้เอ๋อร์เสียที่ไหน? เห็นได้ชัดเจนว่า้าให้นางเฝ้าสังเกตยวี้เอ๋อร์และแม่นมทั้งสองคนนั้นมากกว่า
ไม่้าให้แม่นมทั้งสองคนมีโอกาสไปซื้อยาจากด้านนอกจวน และเชิญหมอมารักษาก็ไม่ได้ สิ่งเดียวที่สามารถใช้ได้คือยาเ่าั้ที่ส่งมาจากแม่รองเฉิน และหมอประจำจวนก็ถูกเชิญโดยแม่รองเฉินด้วยเช่นกัน ถ้าเกิดยวี้เอ๋อร์เป็อะไรไป คนแรกที่น่าสงสัยก็คือแม่รองเฉิน คิดได้ดังนั้นชุ่ยเอ๋อร์ก็โขกศีรษะเต็มแรงอีกหน “ในสองสามวันนี้ ยวี้เอ๋อร์ใช้ยาของแม่รองเฉิน และแม่นมทั้งสองคนก็ไม่เคยออกจากห้องเก็บฟืน”
“เ้าเป็คนเข้าใจ” ถึงแม้ว่านางจะเคยคิดว่าชุ่ยเอ๋อร์เป็คนฉลาดและมีไหวพริบ แต่ไม่คาดคิดว่าสมองของนางจะกระจ่างชัดได้ถึงเพียงนี้ ใช่แล้ว! นางสามารถรับใช้เคียงข้างฮูหยินผู้เฒ่าที่เป็คนขี้สงสัยได้ ถ้าสมองของนางไม่ฉลาดกระจ่างชัดที่สุด นางจะบรรลุตำแหน่งสาวใช้ระดับหนึ่งได้อย่างไรกัน?
“ลุกขึ้นเถอะ จำสิ่งที่เ้าพูดในวันนี้ด้วย ถ้าวันข้างหน้าเ้าทรยศข้า เ้าคงได้เห็นชะตากรรมของยวี้เอ๋อร์แล้ว” เมื่อเห็นจ้าวจื่อซินเดินออกจากประตู มู่หรงฉิงจึงหยุดพูดและเดินเข้าไปข้างในห้อง