แต่ใครจะไปคาดฝัน หลังจากที่โล่งใจไปแล้ว จะต้องมาวุ่นใจอีก เหยียนเฟยกลอกตาในความมืด เอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “นี่ข้าเอง คุณหนูใหญ่ ท่านวิ่งออกมาด้วยความขุ่นเคืองเช่นนี้ ที่บ้านวุ่นวายกันไปหมด ใครก็ตามหาท่านไม่เจอ ลำบากถึงข้าต้องมาตากฝนเปียกโชกไปทั้งตัว”
เยว่เยียนเยียนเองก็ไม่รู้ว่าเพราะความกลัวหรือความหนาว จึงได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด พร้อมกับเค้นเสียงเอ่ยปนสะอื้นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เ้า เ้าคือ... เหยียนเฟยหรือ?” พูดจบ นางก็หดร่างกายเข้ามาอีกครั้ง
เหยียนเฟยถอนหายใจด้วยสีหน้าจนใจ แล้วเดินเข้าไปยังตำแหน่งที่เยว่เยียนเยียนนั่งอยู่อย่างเชื่องช้า เขาเดินไปพลาง เอ่ยไปพลาง “ใช่แล้ว นอกจากข้าแล้ว ยังมีใครได้อีกเล่า?” ปลายผมของเหยียนเฟยมีหยดน้ำร่วงลงมา แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย “ข้างนอกฝนตกหนักเกินไป คิดดูแล้ว พวกเราคงต้องอยู่ในถ้ำนี้สักคืน”
เยว่เยียนเยียนในยามนี้ไร้ซึ่งความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเหมือนดั่งตอนที่หนีออกจากบ้านด้วยความโมโหต่อหน้าเฉินไฮว่ชิงก่อนหน้านี้อีกแล้ว นางทำได้เพียงเช็ดหยาดน้ำตาแวววาวอยู่ท่ามกลางความมืดอย่างขลาดเขลาเท่านั้น เมื่อนั้นจึงเอ่ยถามเหยียนเฟยที่นั่งลงข้างกายตน “เ้าบอกว่า พวกเ้าหาข้าไม่เจอเลยไม่ใช่หรือ... แล้วเ้า แล้วเ้าหาข้าเจอได้อย่างไร?”
ยัยโง่เอ๊ย
เหยียนเฟยคิดอยู่ในใจเช่นนั้น แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยคำว่าโง่ออกมา ด้วยกลัวว่าคำพูดนั้นจะไปแตะต้องจุดอ่อนไหวของคุณหนูใหญ่ผู้นี้เข้าอีกครั้ง ถ้าแม้แต่ถ้ำูเาแห่งนี้ยังเอานางไว้ไม่อยู่ หากเป็เช่นนั้นก็คงยากจะรับมือยิ่ง
ไม่รู้เพราะเหตุใด เยว่เยียนเยียนที่มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนท่ามกลางความมืดนั้น เอ่ยด้วยความน้อยอกน้อยใจกับตนเช่นนี้ น้ำเสียงจึงยังไพเราะน่าฟังนัก? เหยียนเฟยรู้สึกว่าตนคงจะถูกใครร่ายมนตร์ดำเข้าแล้ว เขารีบปล่อยมือที่เดิมทีเตรียมจะลูบหัวน้อยๆ ของเยว่เยียนเยียนข้างนั้นลงในความมืดอย่างลนลาน นิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ จึงเอ่ยขึ้นอย่างเลี่ยงหนักเป็เบา
“เป็เช่นนี้ต่อไปเห็นท่าไม่ดี หากทนผ่านคืนนี้ไปไม่ได้พวกเราคงหนาวตายกันหมดแน่” เพิ่งจะสิ้นเสียงของเหยียนเฟย เยว่เยียนเยียนก็กลับคว้าแขนเปียกชุ่มของเหยียนเฟยเอาไว้อย่างไม่ยอมแพ้ “นี่เ้า เ้าหาข้าเจอได้อย่างไรกัน?!”
สตรีผู้นี้ เป็คนโง่เขลาจริงๆ หรืออย่างไร?! เหยียนเฟยรู้สึกอับจนหนทาง ตนน่าจะปล่อยให้เฉินไฮว่ชิงกินผักกาดขาวต้มน้ำเปล่าต่อไปอีกสักพัก เช่นนั้นคงน่าสนุกกว่ามานั่งฟังยัยเด็กสาวคนนี้ถามเซ้าซี้ไม่หยุด
แต่มือของเยว่เยียนเยียน เหตุใดถึงจับแน่นไม่ยอมปล่อยเช่นนี้? หรือวันนี้นางต้องได้ฟังคำตอบจากปากของเขาให้ได้ถึงจะพอใจ? ทว่าเหยียนเฟยไม่รู้เลย ว่าคำตอบของตนนั้นจะทำให้เยว่เยียนเยียนพอใจได้หรือไม่
อย่างเช่น ตลอดทางมานี้ เหยียนเฟยเปียกเป็ลูกหมาตกน้ำ ร่างกายชุ่มโชก ราวกับว่าเพิ่งจะงมขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น อีกตัวอย่างหนึ่ง ตอนที่เหยียนเฟยปีนเขาขึ้นมานั้นเกือบจะตกลงไปอยู่สองสามครั้ง ทำให้ตัวเหม็นหึ่งราวกับแอ่งโคลน น่ากลัวว่าหากพวกเพื่อนๆ เมื่อก่อนเ่าั้รู้เข้า คงต้องล้อเลียนเหยียนเฟยเป็แน่…
นี่เป็่เวลาแห่งประวัติศาสตร์อันควรค่าแก่การจารึกเลยทีเดียว
แน่นอนว่า ก็ยังมีตอนที่เหยียนเฟยคิดว่าตนคงตามหายัยเด็กบ้าเยว่เยียนเยียนนี่ไม่เจออยู่ เขาสิ้นหวังอย่างยิ่งจนเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมาเสียแล้ว เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม บางทีคงเป็เพราะน้ำฝนสาดกระเซ็นเข้ามาในดวงตา จึงทำให้เหยียนเฟยรู้สึกเจ็บเกินไปกระมัง
แต่เขาก็ยังคงไม่พูดอะไร เพียงแค่ตบลงบนมือทั้งสองของเยว่เยียนเยียนที่กำลังเกี่ยวอยู่บนแขนของตนเป็การปลอบโยน น้ำเสียงนิ่งสงบราวกับกำลังพูดเื่ราวของผู้อื่นอย่างนั้น “อาจจะเป็เพราะ… พวกเราสื่อใจถึงกันกระมัง”
พูดจบ เหยียนเฟยก็ลุกยืนขึ้นหาสิ่งของที่สามารถใช้จุดไฟได้โดยไม่สนใจรอบข้าง หากแต่ในครั้งนี้ เยว่เยียนเยียนเองก็ไม่ได้ขัดขวางเขา เพียงแต่คงไม่มีใครล่วงรู้ ว่าท่ามกลางความมืดมิดนี้ ดวงตาเยว่เยียนเยียนนั้นได้ส่องเป็ประกายขึ้นมา
ดวงตาที่เหมือนดั่งดวงดาว ส่องแสงวูบวาบต่างไปจากยามปกติโดยสิ้นเชิง
กลับมาคิดดูแล้ว บางทีคงเป็เพราะร้องไห้มากเกินไป คงทำให้น้ำตานั้นราวกับเคลือบไปด้วยทองคำ ดูไปแล้วระยิบระยับจับตา
เหยียนเฟยอาศัยสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดในป่าเล็กน้อย หาสิ่งของที่ดูค่อนข้างถนัดมือมาได้สองชิ้น เขาปั่นไม้ก่อไฟขึ้นมา อย่างน้อยก็นับว่าทำให้ไฟลุกขึ้นมาได้ แต่น่าเสียดายที่ในถ้ำนั้นอากาศโปร่งลมโกรก ทำให้กองไฟวูบไหวไม่สงบตลอดเวลา เหยียนเฟยถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วจึงหันไปกวักมือเรียกเยว่เยียนเยียนที่ตัวสั่นงกด้วยความหนาว
“เข้ามานั่งใกล้ๆ สิ เรามีไฟเพียงเท่านี้ ท่านอยู่ไกลขนาดนั้นจะมีประโยชน์อะไรกันเล่า?”
เยว่เยียนเยียนย้ายตำแหน่งอย่างไม่เต็มใจยิ่ง ทั้งยังหนาวจนแทบจะตายเสียให้ได้ “หนาว...”
“ข้ารู้ว่าท่านหนาว ข้าเองก็หนาวเหมือนกัน ไม่มีทางเลือก...” เหยียนเฟยถอนหายใจ แล้วคิดว่าเยว่เยียนเยียนแม่นางน้อยผู้นี้ช่างเอาใจยากจริงๆ สภาพอากาศบ้าบอเช่นนี้ ใครไม่หนาวบ้างเล่า?
เมื่อมองไปยังเสื้อคลุมที่ยังมีน้ำหยดอยู่กลางอากาศแล้ว เหยียนเฟยที่สวมเพียงเสื้อผ้าหน้าร้อนบางๆ ตัวเดียวพยักหน้าให้กับเยว่เยียนเยียน “ประเดี๋ยวเสื้อผ้าก็แห้งแล้ว ถึงเวลาเอาให้ท่านใส่ ท่านก็ไม่หนาวแล้วล่ะ”
เยว่เยียนเยียนที่นิ่งงันไม่ขยับเขยื้อนห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย นางขานรับด้วยเสียงสะอื้นไห้ เห็นท่าทางขดตัวเป็ก้อนอย่างน่าสงสารของนางแล้ว ในใจของเหยียนเฟยก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
“เข้ามาสิ” เหยียนเฟยดึงเยว่เยียนเยียนที่ตัวสั่นระริกเข้ามาในอ้อมแขน พร้อมกับพยายามยัดเ้าตัวเข้ามาในอ้อมกอด “หนีออกจากบ้านมันไม่ได้สนุกขนาดนั้นใช่หรือไม่? ข้าจะดูซิว่าต่อไปท่านจะกล้าดื้อรั้นเอาแต่ใจ คิดจะไปก็ไปเช่นนี้อีกหรือไม่...”
“เ้าทำอะไร... เ้า...” เยว่เยียนเยียนที่ถูกคนดึงเข้ามาในอ้อมกอดนั้นตอนแรกก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวนัก นางพยายามสลัดตัวดิ้นไม่หยุด แต่สุดท้ายก็ถูกเหยียนเฟยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ข้าจะบอกให้นะ หากท่านยังขยุกขยิกอยู่ไม่นิ่งอีก ก็ออกไปนั่งหนาวให้ตัวแข็งไปเลย ข้าจะไม่สนใจจริงๆ แล้ว!”
ที่จริงเหยียนเฟยนั้นกลัวว่าคุณหนูใหญ่ที่ร่างกายอ่อนแอผู้นี้ ประเดี๋ยวจะโดนลมหนาวจนล้มป่วย หากเป็เช่นนั้น… น่ากลัวว่าทุกคนคงไม่ได้อยู่อย่างสุขสบายแน่
อ้อมกอดของเหยียนเฟยนั้นอบอุ่นมาก อย่างน้อยก็ดีกว่าหนาวเหน็บอยู่ข้างนอกมากทีเดียว
เยว่เยียนเยียนคิดเช่นนั้น แล้วจึงไม่พยายามหาทางดิ้นให้หลุดอีก นางกำกำปั้นน้อยทั้งสองแน่น แล้วซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเหยียนเฟยอย่างว่าง่าย ภายใต้เปลวไฟวูบไหว ไม่มีใครมองเห็นว่าใบหน้าหนาๆ ของเหยียนเฟยจะขึ้นสีชมพูระเรื่อดั่งสีดอกท้อแย้มบาน…
“จำไว้ล่ะ ต่อไปอย่าวิ่งหนีมั่วซั่วเช่นนี้ หากท่านเป็เช่นนี้อีก ข้าจะไม่สนใจจริงๆ แล้ว” เหยียนเฟยยกมือขึ้นทิ่มเขี่ยกองไฟที่กำลังจะมอดดับ แล้วรีบโยนกิ่งไม้แห้งเข้าไปอีกครั้ง จึงทำให้แสงไฟที่สลัววูบไหวนั้นรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด
ในดวงตาของเยว่เยียนเยียนปรากฏความอ้างว้างวาบผ่าน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างแข็งกระด้าง “นั่นเป็เพราะตาแก่เฉินไฮว่ชิงพูดไม่มีเหตุผลไม่ใช่หรือไร? เขารังเกียจที่ข้ามาวุ่นวาย เช่นนั้นข้าก็ต้องเจียมตัวออกไปให้พ้นจากสายตาเขาสิ จะได้ไม่ทำให้เขารังเกียจข้าไปทั่ว ข้าทำอะไรหรือ? เจตนาอะไรกันแน่?!”
นึกไม่ถึงว่าแม่นางน้อยผู้นี้ช่างผลักความรับผิดชอบได้เก่งจริงๆ แม้แต่คำว่าอาจารย์ก็ไม่เรียกเสียอย่างนั้น แล้วเรียกว่าตาแก่เฉินไฮว่ชิงตรงๆ เลยหรือ?
เหยียนเฟยอดหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้ แต่เขากลับพูดว่า “หากเขารังเกียจท่านจริง จะให้ข้าฝ่าฝนมาตามหาท่านหรือ? ข้าจะบอกให้ เพื่อที่จะให้ข้าออกมาตามหาท่าน เฉินไฮว่ชิงตาแก่คนนั้นทุ่มเทอย่างมากเลยเชียวนะ ท่านรู้หรือไม่?”
“ทุ่มเทอะไร? ข้าไม่รู้เลย!” เยว่เยียนเยียนพลันดิ้นออกมาจากอ้อมแขนของเหยียนเฟย ดวงตาสุกใสมองไปยังเหยียนเฟย แล้วเอ่ยถามเช่นนั้น
“บอกไม่ได้ๆ กลับมาอยู่ดีๆ เถิดท่าน”
เมื่อเห็นั์ตาเป็ประกายของเยว่เยียนเยียนแล้ว ไม่รู้เหตุใดเหยียนเฟยนั้นจิตใจว้าวุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบดึงเ้าตัวเขามาในอ้อมกอดใหม่อีกครั้ง แล้วหลุบตาลงมองเปลวไฟต่อไป ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงสามารถลืมดวงตาประกายดั่งดวงดาวของแม่นางน้อยผู้นี้ไปได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้