เหนียนยวี่ที่ถูกจ้องมอง รู้ว่าฉู่ชิงผู้นี้เป็คนฉลาด เขาควรจะรู้ว่าในยามนี้ยิ่งมีกำลังเสริมมาช่วยมากเท่าใดความหวังก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ทว่าฉู่ชิงกลับนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ทำให้เหนียนยวี่รู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาแม่ทัพหลวงผู้นี้ตัดสินใจเฉียบขาดแน่วแน่มาตลอดเหตุใดวันนี้กลับลังเลมิยอมตัดสินใจเยี่ยงนี้ได้
จากสายตาที่เขามองนาง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเล็กน้อย
"ท่านแม่ทัพหลวง..." เหนียนยวี่เอ่ยเรียก
"ท่านแม่ทัพหลวง"
เหนียนยวี่คิดอยากลอบสำรวจเขา ทว่าเซียวหรานกลับขัดบทนางเหนียนยวี่หันมองเซียวหราน เห็นเพียงเขากำลังโค้งคำนับให้ฉู่ชิง “ท่านแม่ทัพหลวงโปรดวางใจ ข้าจะทำอย่างสุดกำลังความสามารถ ในเมื่อข้าน้อยผู้นี้จำต้องต่อสู้กับโชคชะตา อยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อกลับไปหาสตรีผู้เป็ที่รัก”
สตรีผู้เป็ที่รัก?
เหนียนยวี่พินิจมองดวงตาของเซียวหรานอย่างแปลกใจเล็กน้อย ชาติก่อนศิษย์พี่ของตนผู้นี้ทุ่มเทชีวิตให้กับวิชาแพทย์และคนไข้มาโดยตลอดไหนเลยจะมีคนรักได้
ฉู่ชิงสบตาเซียวหราน ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ดวงตาของเขาพลันหรี่ลงเล็กน้อยแววตาทอประกายเก้อเขิน
ประโยคที่เอ่ยว่าจะกลับไปหาคนรัก เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้เอ่ยให้เขาฟังและสิ่งที่เซียวหรานผู้นี้้า...คือเขา้าจะบอกตนว่าเหนียนยวี่กับตัวเองมิได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเพื่อ้าทำให้เขาสบายใจงั้นหรือ?
สบายใจ? ฉู่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย คำสองคำนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาแม้แต่ตัวเขาเองยังหยุดคิดไม่ได้
ฉู่ชิงสะบัดศีรษะไล่ความคิดในหัวไป"เช่นนั้นข้าต้องขอรบกวนคุณชายเซียวเสียแล้ว"
“ไม่รบกวน ไม่รบกวนเลยขอรับ” เซียวหรานหัวเราะครั้นเขาหันมองเหนียนยวี่ ชั่วพริบตานั้นในหัวเขาฉุกคิดเื่ของนางเกี่ยวกับ“โรคระบาด” ในเหตุการณ์ครานี้ ดวงตาเขาพลันฉายแววชื่นชมและประหลาดใจซึ่งยากจะปกปิดได้ “แม่นาง กล้วยไม้โลหิตดอกนี้ ข้าขอมอบให้แม่นาง”
เซียวหรานเอ่ย พร้อมกับยื่นกล้วยไม้โลหิตในมือส่งให้เหนียนยวี่ทว่าเขากลับยังคงมีคำถามที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจมากมาย “ผู้น้อยอยากถามแม่นางว่าเมื่อครู่ที่แม่นางบอกว่า โรคระบาดครานี้มาจากยาพิษ ไม่ทราบว่าแม่นางคิดว่ามาจากสาเหตุใดหรือ?”
สาเหตุใดงั้นหรือ?
เหนียนยวี่หยิบกล้วยไม้โลหิตขึ้นมา พลางชำเลืองมองเซียวหราน ด้วยทักษะวิชาหมอของเขา เพียงแค่สังเกตเล็กน้อยเท่านั้นเขาเองก็สามารถรู้ได้อย่างแน่นอนว่ามันคือยาพิษทว่าการที่เขาถามนางเช่นนี้...เพราะเขาคิดอยากทดสอบนางหรือไร?
ศิษย์พี่ของนางผู้นี้ยังคงไม่ต่างจากชาติที่แล้ว ชื่นชอบวิชาหมอถึงขั้นคลั่งไคล้และชอบ“หลอกถาม” ผู้อื่น!
“เหนียนยวี่มิสามารถ ยามที่เหนียนยวี่เข้าไปในกระโจมค่ายเมื่อครู่ข้าเห็นผู้ติดเชื้ออาเจียนออกมา มีจุดสีแดงๆ ในเศษอาหารที่อาเจียนออกมาด้วยเหมือนกับอาการเมื่อได้รับยาพิษที่บันทึกไว้ในตำรา” เหนียนยวี่เอ่ยออกมาเล็กน้อยความเปล่งประกายในดวงตาของเซียวหรานที่เผยให้เห็น ราวกับว่า้าถามสิ่งอื่นเพิ่มอีกเหนียนยวี่จึงรีบเอ่ยตัดเขาในทันทีว่า “ขอบคุณคุณชายเซียวมากเ้าค่ะ ที่ยอมสละมอบกล้วยไม้โลหิตอันล้ำค่าดอกนี้ให้สถานการณ์ในยามนี้เร่งด่วนมาก เพราะฉะนั้นขอให้ท่านแม่ทัพรีบออกคำสั่งในทันทีนอกจากนี้ ต้องขอรบกวนคุณชายเซียวออกไปหาใบไป่เหอ ตังกุย ต้นไป่เจี้ยงเฉ่าและต้นชวนซินเหลียน[1] เพื่อให้คนนำไปต้มและมาใช้แทนน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้อยู่ในตอนนี้และให้คนทำความสะอาดทุกหนแห่งในค่ายเสินเช่อทั้งหมด”
ท่าทียามที่เหนียนยวี่เอ่ยถ่ายทอดออกมานั้นประหนึ่งแม่ทัพผู้คอยจัดการระเบียบกองทัพในค่ายทหารพลังอำนาจที่เอ่อล้นออกมานั้น แม้แต่บุรุษทั้งสองคนตรงนั้นยังอดตกตะลึงมิได้
“เื่ในค่ายครานี้ ขอมอบให้ทั้งสองท่านช่วยจัดการด้วย”เหนียนยวี่ปรายสายตามองคนทั้งสอง พลางหันหลังเดินออกไป ฉู่ชิงก้าวตามไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวอย่างไรเสีย ขณะที่เขานึกคิดถึงคำสั่งที่เหนียนยวี่ถ่ายทอดให้ทำนั้นฝีเท้าเขาพลันหยุดชะงักลง จากนั้นจึงรีบเร่งก้าวฝีเท้าออกไปจัดการตามคำสั่งนาง
หลังจากนั้นไม่นาน ครั้นเซียวหรานสั่งคนให้มาช่วยกันต้มน้ำยาชะล้างพิษใหม่ทั้งหมดเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยสั่งให้นำน้ำยานั้นไปราดเพื่อชะล้างสารพิษให้ทั่วทุกพื้นที่ในค่าย
เหนียนยวี่ไม่รู้เลยว่าเขาถือตะกร้าไผ่เข้าไปในเขาด้านหลังค่ายั้แ่เมื่อใด
ในค่ายเสินเช่อ เพียงแค่วันเดียวก็มีทหารติดเชื้อแล้วหลายพันคนระดับความเร็วนี้ยังคงเป็ตัวเลขหลังจากเปลี่ยนน้ำยาฆ่าเชื้อ ฉู่ชิงรู้ดีว่าหากไม่เปลี่ยนน้ำยาฆ่าเชื้อได้ทันเวลาตามที่เหนียนยวี่บอกเกรงว่าจำนวนผู้ที่ติดเชื้อคงไม่หยุดอยู่แค่นี้อย่างแน่นอน
เกรงว่าคงจะเป็ดั่งเช่นที่นางพูด ในชั่วข้ามคืนกองทัพทหารทุกคนในค่ายเสินเช่อทั้งหมดจะถูกกวาดล้าง
ทุกคนในค่ายเสินเช่อยังคงมีความเสี่ยงข่าวโรคระบาดได้กระจายไปทั่วเมืองชุ่นเทียนมาตั้งนานแล้วแทบทุกครัวเรือนพากันปิดประตูจวน ผู้คนในเมืองล้วนอยู่ในภาวะตื่นตระหนก
ณ ตำหนักซวนเจิ้ง วังหลวง
บรรดาขุนนางข้าราชบริพารมายืนรออยู่ที่นี่หลายชั่วโมงแล้ว ยามนี้แสงอาทิตย์ลับฟ้าล่วงเข้ายามค่ำคืนทว่าพวกเขายังคงไม่กลับไป หรือจะพูดได้ว่าหากฮ่องเต้หยวนเต๋อยังคงไม่วางใจไม่ว่าผู้ใดล้วนมิหาญกล้าหนีกลับไปก่อน
"พวกเ้าคิดหาหนทางได้บ้างหรือยัง?" เสียงของฮ่องเต้หยวนเต๋อดังขึ้นน้ำเสียงนั้นอัดแน่นไปด้วยอารมณ์เซื่องซึมหดหู่
ในยามนี้ จดหมายทั้งหมดที่ส่งมาจากค่ายเสินเช่อล้วนถูกสกัดไว้นอกประตูเมืองเขามิกล้าสั่งให้เอาเข้ามาในเมืองชุ่นเทียน เพราะกลัวเหลือเกินว่าหากเปิดช่องว่างแม้เพียงช่องเดียวโรคระบาดจะลุกลามแพร่กระจายเข้ามาจนมิอาจควบคุมได้ ถึงครานั้นมิใช่แค่เหล่าประชาชนในเมืองชุ่นเทียนทว่าแม้แต่วังหลวงคงถึงกาลล่มสลายไปด้วย
มิมีผู้ใดจะกล้ารับความเสี่ยงเช่นนั้นได้
"ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีหนทางหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ทว่ากระหม่อมกังวลว่าควรจะเอ่ยออกไปหรือไม่"
"พูดมา! ถึงยามนี้แล้ว ยังมีอะไรไม่ควรพูดกันอีกเล่า?"
ฮ่องเต้หยวนเต๋อตรัสออกมาด้วยสุรเสียงดังกังวานจ้องมองหนานกงเลี่ยที่เป็คนเอ่ยพูด ในดวงตาพลันทอประกายความหวัง
มิใช่แค่ฮ่องเต้หยวนเต๋อคนเดียวเท่านั้นทว่าสายตาของทุกคนในตำหนักยามนี้ต่างล้วนจับจ้องไปที่หนานกงเลี่ย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยตอบพลางโค้งคารวะฮ่องเต้หยวนเต๋อ “ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ แต่ไรมาเื่โรคระบาดมิใช่สิ่งที่เป็ภัยต่อประชาชนเท่านั้นทว่ายังเป็ภัยต่อแว่นแคว้น ในประวัติศาสตร์แคว้นเป่ยฉีเคยเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่มาหลายคราระดับความเร็วในการแพร่ระบาดของโรคนั้น ทำให้ผู้คนหวาดกลัวสุดประมาณท้ายที่สุดแล้วหนทางเดียวที่เป็ผล นั่นก็คือ...ใช้เพลิงเผาแหล่งต้นตอของระบาดพ่ะย่ะค่ะ”
ใช้เพลิงเผาแหล่งต้นตอของระบาดหรือ?
ทุกคนในท้องพระโรงตำหนักต่างพากันตื่นใ
วางเพลิงเผาแหล่งต้นตอของโรคระบาด...ต้นตอของโรคระบาดมาจากค่ายเสินเช่อถึงขั้นต้องจุดไฟเผาค่ายเสินเช่อเลยเชียวหรือ?
"ไม่ได้!" แม่ทัพฉู่เพ่ยนำเอ่ยเป็คนแรกพร้อมกับก้าวฝีเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง “ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ ค่ายเสินเช่อมิใช่สถานที่ทั่วไปจะเผาไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
"เผาไม่ได้หรือ?"หนานกงเลี่ยหรี่ตา น้ำเสียงเจือการหัวเราะเยาะเล็กน้อย และเอ่ยออกมาว่า“ท่านแม่ทัพคงไม่ใช่ว่าเพราะแม่ทัพหลวงอยู่ในค่ายเสินเช่อดังนั้นจึงเผามิได้หรอกหรือไร”
ฉู่เพ่ยขมวดคิ้ว ปราดตามองหนานกงเลี่ย “ใต้เท้าหนานกงไม่ว่าฉู่ชิงจะอยู่ในค่ายเสินเช่อหรือไม่ทว่าอย่างไรเสียก็มิอาจให้เผาได้ ทหารนับหมื่นคนในค่ายเสินเช่อล้วนเป็ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้วอย่างยอดเยี่ยมทั้งยังเป็รากฐานความมั่นคงของเมืองชุ่นเทียนแห่งแคว้นเป่ยฉี หากเผาค่ายขึ้นมาจริงๆเช่นนั้นการสูญเสียพลทหารพวกนั้นจะเป็ความเสียหายต่อราชวงศ์จ้าวทั้งยังเป็ความเสียหายต่อแคว้นเป่ยฉีด้วย”
“ค่ายเสินเช่อแห่งเดียวสร้างผลกระทบมากมายได้อย่างแท้จริงทว่าหากควบคุมโรคระบาดไม่ได้ั้แ่เนิ่นๆ และถึงครานั้นโรคระบาดได้แพร่กระจายลุกลามเข้ามาในเมืองชุ่นเทียนคงมิใช่แค่สูญเสียค่ายเสินเช่อเท่านั้น” หนานกงเลี่ยเอ่ยตอบอย่างขึ้นเสียง จากนั้นจึงหันหน้าไปมองฮ่องเต้หยวนเต๋อโดยไม่แม้แต่กะพริบตาพร้อมกับคุกเข่าลงกับพื้น “ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอให้พระองค์ทรงตัดสินพระทัยโปรดลงพระบัญชาให้จุดไฟเผาค่ายเสินเช่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่สิ้นสุดนี้”
"ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงตัดสินพระทัยโดยเร็วที่สุดด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
ทันทีที่หนานกงเลี่ยเอ่ยจบเหล่าขุนนางข้าราชบริพารคนอื่นในตำหนักต่างทยอยกันคุกเข่าลง ร้องขออย่างเห็นด้วย
“ฝ่าา...” ยามฉู่เพ่ยเหลือบมองผู้คนที่คุกเข่าลงบนพื้นเขาพลันกำมือแน่น “ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ บางทีอาจยังมีหนทางอื่นนะพ่ะย่ะค่ะ”
“หนทางอะไรอีกเล่า? ท่านแม่ทัพอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่อง คิดหาวิธีใดออกอีกหรือ?” หนานกงเลี่ยเอ่ยอย่างเ็า
คำพูดที่เอ่ยอย่างเป็ปฏิปักษ์ ตาต่อตาฟันต่อฟันเช่นนี้ทำให้ฉู่เพ่ยไร้ข้อคิดเห็นอื่น
วิธีหรือ? ถ้าเขาคิดหาวิธีได้ คงมิต้องมาวิตกกังวลดังเช่นในตอนนี้
ครั้นเขานึกถึงฉู่ชิงและฮูหยินของตนที่อยู่นอกเมืองวงคิ้วของฉู่เพ่ยไม่ว่าทำอย่างไรก็มิอาจคลายออก
หากฝ่าารับสั่งให้เผาค่ายเสินเช่อขึ้นมาจริงฉู่ชิงคงมิอาจมีชีวิตรอด หากเป็เช่นนั้น ชั่วชีวิตนี้ฮูหยินคงมิยอมให้อภัยเขาอย่างแน่นอน!
ทว่าตอนนี้เขาควรทำอย่างไรดี?
"ฝ่าา ได้โปรดตัดสินพระทัยโดยเร็วด้วยพ่ะย่ะค่ะมิอาจรอช้าได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ" หนานกงเลี่ยเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้งพยายามกดดันทุกย่างก้าว
"พอ!" ฮ่องเต้หยวนเต๋อพลันตรัสตวาดลั่น น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาทำให้ผู้คนในตำหนักนิ่งเงียบในทันใด
[1]ใบไป่เหอ ลักษณะใบยับย่น รูปรียาวหรือรูปไข่หลังใบสีเขียวเข้ม ท้องใบสีเขียวอมเทา มีขนสั้นนุ่มปกคลุมประปราย ใบตังกุย ใบเป็ใบเดี่ยว หยักลึกแบบขนนก 2-3 ชั้นลักษณะเป็รูปไข่ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 25 เิเและยาวประมาณ 30 เิเ แฉกใบมีก้านเห็นได้ชัดเจนต้นไป่เจี้ยงเฉ่า ขับร้อน ขับพิษ แก้ฝีหนอง แก้ปวด ต้นชวนซินเหลียนคือต้นฟ้าทะลายโจร