หลังจากเหตุการณ์นั้น จ้าวเหม่ยหลินก็รีบกลับจวนทันที เวลานี้นางนั่งอยู่บนเตียงไม้ครุ่นคิดว่าตนทำอะไรผิดไปหรือไม่ เหตุใดชายหนุ่มผู้นั้นจึงดูไม่พอใจในตัวนาง หรือว่าชายหนุ่มจะเป็เ้าของร้าน
“เ้าของร้าน…ก็คือองค์ชาย” จ้าวเหม่ยหลินเบิกตากว้าง รู้สึกใอยู่ไม่น้อย
เมื่อนึกย้อนกลับไปวันแรกที่พบกัน เขาอยู่ในคราบคนขอทานก็จริง แต่ชุดที่เขาสวมใส่กลับมีเนื้อผ้าที่ดียิ่งกว่าคนในจวนจ้าวเสียอีก ด้วยเหตุนั้นจ้าวเหม่ยหลินจึงไม่เชื่อที่ชายหนุ่มพูดในวันนั้น
“พรุ่งนี้ ข้าจะไปเจรจากับเขาใหม่อีกครั้ง” จ้าวเหม่ยหลินกล่าว พร้อมตบหน้าขาตัวเองด้วยความเข้าใจ ทำให้ซูจินที่เดินเข้ามาก็สะดุ้งไปเล็กน้อย
รุ่งเช้า จ้าวเหม่ยหลินลุกขึ้นจากเตียงั้แ่ฟ้ายังไม่สว่าง นางรีบสั่งสาวรับใช้คนสนิทเตรียมชุด ก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวอย่างเร่งรีบ ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้แตะ
ร่างเล็กแอบออกจากจวน นางเดินตามเส้นทางเดิมอย่างเจนทาง จนมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานคุ้นตาร้านกง ดูเหมือนร้านนี้จะเงียบเหงาราวกับไม่มีลูกค้าเข้าออก
จ้าวเหม่ยหลินยกมือเคาะประตูเบาๆ แต่กลับไร้เสียงผู้คนตอบรับ นางจึงหันไปมองจวนที่ตั้งติดกัน ผู้คนเรียกขานกันว่าตำหนักพระราชทานก็ดูเงียบสงบเช่นกัน อาจเป็เพราะองค์ชายน้อยยังไม่ตื่นก็เป็ได้
แต่โดยปกติแล้วทำการค้าควรตื่นเช้ามาเปิดร้านไม่ใช่หรือ
จ้าวเหม่ยหลินลังเลใจจะขอเข้าพบดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นหน้าตำหนักมีทหารหลวงยืนรักษาการอยู่
นางจึงคิดได้ว่าหากจะขอเข้าพบในเวลานี้คงไม่เหมาะ ยิ่งเห็นชุดเกราะเงาวับของทหารเ่าั้ นางก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา สุดท้ายจึงทำได้เพียงนั่งรออยู่หน้าร้าน
ผ่านไปไม่นานนัก หลีเฉินก็มาเปิดร้านตามปกติ เขาเห็นหญิงสาวคนเมื่อวานนั่งอยู่หน้าร้านก็ไม่ได้ใอีกแล้ว เ้านายบอกเขาไว้หญิงสาวที่พบในถุงผ้าอาจจะไม่ได้ตาย แค่หมดสติเท่านั้น
“ท่านมีธุระอะไรหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่ห่างเหิน
จ้าวเหม่ยหลินเงยหน้าขึ้นตอบ ทำหน้าสลด “ข้าอยากพบองค์ชาย ข้า้าขอโทษที่ล่วงเกิน”
หลีเฉินขมวดคิ้ว ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “องค์ชายของข้าไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยอะไร เชิญท่านกลับไปเถอะ วันนี้ไม่เปิดขาย”
จากเหตุการณ์เมื่อวานดูเหมือนองค์ชายของเขาจะไม่สบอารมณ์กับแม่นางคนนี้เท่าใดนัก จึงปฏิเสธอย่างรู้ใจเ้านาย
หลีเฉินเตรียมหันหลังกลับเข้าร้าน ทว่าเพียงไม่กี่ก้าวชายหนุ่มก็ต้องชะงัก เมื่อเสียงของจ้าวเหม่ยหลินดังขึ้น
“ข้าทรงครรภ์ขององค์ชาย” นางจำต้องเอ่ยคำอับอายนี้ออกไป เพราะ้าซื้อกระดาษและมีข้อเสนอจะยื่นให้กงเจวี๋ย
“หาาา ท่านว่าอย่างไรนะ” หลีเฉินใ ก่อนหันซ้ายแลขวา หวั่นจะมีใครผ่านมาได้ยินเข้า โชคดีเช้าตรู่ยังไร้ผู้คน
ชายหนุ่มรีบกวักมือเรียกจ้าวเหม่ยหลินเข้าร้านพลางลดเสียงลง “เร็ว เข้ามาก่อน รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้าจะไปตามองค์ชาย” สิ้นคำก็กล่าวต่อทิ้งท้าย “แล้วหาที่เงียบๆ เล่าให้ข้าฟังด้วยล่ะ”
หลีเฉินรีบเดินอ้อมไปยังประตูด้านหลังของตำหนักพระราชทาน ก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องบรรทมขององค์ชายกงเจวี๋ย
ภายในห้องกงเจวี๋ยยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง เมื่อถูกองครักษ์สะกิดปลุก ใบหน้าก็ฉายแววหงุดหงิดเล็กน้อย
แต่เมื่อได้ยินคำรายงานว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งอ้างว่ากำลังตั้งครรภ์กับเขา ร่างที่เคยนอนนิ่งก็สะดุ้งเฮือกลืมตาขึ้นทันที “อะไรนะ”
นับั้แ่เข้าวัยหนุ่มสาวกงเจวี๋ยไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวคนใดมาก่อนเลยสักครั้ง
แม้จะมีสาวงามผ่านตาไม่เว้นแต่ละวัน แต่ก็ไม่มีใครที่เขารู้สึกถูกใจ แล้วจะมีเวลาว่างไปทำเื่ไม่ดีไม่งามกับใครได้อย่างไรกัน
แล้วถ้าหากเื่นี้ไปถึงหูเสด็จยายเข้า ร่างสูงก็คงไม่รอดจากไม้เรียว
“วางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีผู้ใดรู้เื่นี้” หลีเฉินกล่าวปลอบใจ
กงเจวี๋ยลุกขึ้นจากเตียงด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์ เขายังอยู่ในชุดนอนเสื้อกางเกงตัวเดียว หลีเฉินจึงสั่งให้นางกำนัลนำเสื้อคลุมมาถวาย
ก่อนที่กงเจวี๋ยจะสวมมันแล้วเดินตามองครักษ์คนสนิทออกจากประตูด้านหลังของตำหนักพระราชทาน มุ่งตรงไปยังประตูหลังของร้านกง
เมื่อเข้ามาภายในร้านสายตาของกงเจวี๋ยก็พบเข้ากับจ้าวเหม่ยหลินใบหน้ายิ้มแป้น ความรู้สึกเบื่อหน่ายก็ผุดขึ้นโดยไม่อาจปิดบังได้
“มีธุระอะไรอีก?” กงเจวี๋ยเอ่ยเสียงเรียบ แววตาไม่ค่อยเป็มิตรนัก สตรีผู้นี้คงจะหลงใบหน้างดงามของเขา ถึงขั้นตามตื๊อไม่เลิก
หลีเฉินเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ ปล่อยให้ทั้งสองได้พูดคุยกันตามลำพัง
“ข้าคิดดูแล้ว…ร้านของท่านค่อนข้างเงียบนัก ไม่มีลูกค้าเลยใช่หรือไม่?” จ้าวเหม่ยหลินเริ่มเปิดประเด็น
กงเจวี๋ยยักไหล่ “แล้วอย่างไร ในเมื่อเสด็จลุงยังอุดหนุนกระดาษจากร้านข้าอยู่” เสด็จลุงที่เขากล่าวถึงก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
“ข้า…ไม่สิ หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระองค์ทรงมีใจรักในการค้าขาย” จ้าวเหม่ยหลินเกริ่นเสียงเรียบ แล้วสังเกตสีหน้าของชายหนุ่มเริ่มมีแววสนใจ
ร่างเล็กจึงรีบควักกระดาษแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้ “ข้าเขียนนิทานได้ นี่คือตัวอย่างเื่”
กงเจวี๋ยรับกระดาษมาอ่าน สายตากวาดอ่านตามตัวหนังสือก็อดพึมพำออกมาไม่ได้ “ลายมือนี่มันอะไรกัน..ช่างเลวร้ายเสียจริง” ชายหนุ่มคงเก็บไปฝันร้ายเป็แน่ แต่เื่ที่นางเขียนมาก็มีความน่าสนใจ
“พวกเราลองร่วมมือกันเปิดร้านหนังสือดูดีไหม” จ้าวเหม่ยหลินกล่าวต่อ “ท่านมีโรงกระดาษ ข้ามีเื่เล่า หากท่านส่งกระดาษมาให้ข้า ข้าจะเขียนต้นฉบับ แล้วให้คนของท่านคัดลอกเป็เล่ม”
กงเจวี๋ยหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด “กล่าวต่อสิ”
“เล่มทดลองก็นำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านอ่านฟรี เมื่อมีคนอยากได้เล่มที่เขียนจบก็ให้มาติดต่อซื้อที่ร้านนี้” หญิงสาวยิ้มกว้าง แล้วกล่าวต่อทันที “ส่วนแบ่ง…ข้าแปด ท่านสอง โอเค๊?” พร้อมยกมือทำสัญลักษณ์โอเค ขยับเข้าใกล้ร่างสูง
กงเจวี๋ยปัดมือของคนตัวเล็กออกอย่างไม่ใส่ใจ “ห้าต่อห้า”
“หา!? นั่นมันครึ่งต่อครึ่งเลยนี่” จ้าวเหม่ยหลินโวย รู้สึกขัดใจอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับเพื่อให้แผนเดินหน้าต่อไปได้
“เล่มที่เขียนจบจะได้เมื่อใด” กงเจวี๋ยเอ่ยถามเสียงเรียบ ลองเปิดโอกาสดูสักครั้งคงไม่เสียหาย อีกอย่างหน้าตาของนางก็ดูเหมือนไม่ใช่คนหลอกลวงอะไร
“หนึ่งเดือน ข้าจะกลับมาพร้อมต้นฉบับ” จ้าวเหม่ยหลินยิ้มกว้าง ใจโล่งอย่างบอกไม่ถูก นางไม่คิดว่าชายหนุ่มจะตอบรับง่ายถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็ไม่ต้องเสียเงินลงทุนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้