คำพูดอันไร้สาระของหรงซิวนั้นนางไม่เชื่อหรอก ทำได้เพียงกลอกตาอย่างเอือมระอา “จะขายข้าน่ะมิมีปัญหาหรอกเพคะ เพียงแต่ว่าข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ คนซื้อนั้นจะต้องรูปงาม ไม่เ้าบงการ และไม่ติดข้าจนมากเกินไป”
“กระนั้นก็ยากแล้วล่ะ” หรงซิวยิ้มแล้วพูดออกมาเล่นๆ ว่า “เ้าขอเยอะเกินไปแล้ว ใต้หล้านี้มิมีผู้ใดที่จะทำให้เ้าพอใจได้เท่าข้าแล้ว”
ใบหน้าของอวิ๋นอี้นั้นแสดงอาการตกตะลึง ปากก็พูดอย่างไม่ปรานี “กระนั้นก็ช่างมันเถิดเพคะ ข้าไม่เต็มใจจะขายแล้ว ฝ่าาตีข้าให้ตายเลยดีกว่า!”
อวิ๋นอี้พูดไม่ทันขาดคำนิ้วอันเรียบยาวก็ได้ยื่นเข้ามาลูบคางของนาง หรงซิวนั้นยิ้มอย่างแฝงไปด้วยความโมโหและความรู้สึกจนปัญญา “นี่เ้าอยากทำให้ข้าโกรธใช่หรือไม่?”
“ไอหยา ฝ่าา ดูออกได้อย่างไรเพคะ?” นางนั้นเอามือทำท่าปิดปากพร้อมยิ้มเ้าเล่ห์
หรงซิวถอนหายใจ ตนเองพูดเถียงไม่ชนะอวิ๋นอี้ หรงซิวจึงคว้าอวิ๋นอี้เข้ามาในอ้อมอก แล้วกดนางจูบอย่างดูดดื่มจนเสียงของอวิ๋นอี้นั่นอ่อนลง และใช้น้ำเสียงแ่เบาขอร้อง
ทั้งสองคนทะเลาะกันใหญ่โต หลังจากนั้นยาชิงก็มาเคาะประตูเบาๆ พูดเสียงเบาบอกทั้งสองว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ทั้งสองถึงได้จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
รถม้านั้นค่อยๆ หยุดลง หรงซิวและอวิ๋นอี้ก็ลงจากรถ
บริเวณรอบๆ นั้นเป็ป่าที่ถูกต้นไม้เขียวชอุ่มห้อมล้อมไว้ สีเขียวอ่อนเขียวเข้มของใบไม้อยู่รวมสลับกันไป ให้ความรู้สึกสบายใจอย่างบรรยายออกมาเป็คำพูดไม่ถูก แสงแดดที่ส่องลงมายังที่หัว ทะลุช่องว่างจากต้นไม้ส่องลงมาบนร่างกายเป็จุดๆ
สิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดคือต้นเหอฮวนสองต้นที่ห่างไปหน้าของทั้งสองคนประมาณสิบเมตร
ต้นไม้ทั้งสองต้นนั้นพันเกี่ยวเข้าหากัน หนาหลายเมตร สูงใหญ่ รากนั้นพันกันใบไม้อยู่รวมกันทั้งสองต้นเกี่ยวพันผูกชะตาอยู่ด้วยกันและจากโลกนี้ไปด้วยกัน
นี่เป็คราแรกที่อวิ๋นอี้ได้เห็นภาพที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ นางเดินไปด้านหน้า อดมิได้ที่จะแหงนมองต้นเหอฮวน
“ใบของต้นเหอฮวนเมื่อถึงยามราตรีจะหุบลงเปรียบเสมือนสามีภรรยาที่อยู่ด้วยกัน ดังนั้นต้นเหอฮวนจึงมีอีกชื่อคือต้นแห่งความรัก เป็สัญลักษณ์แห่งรักนิรันดร์ ทั้งสองอยู่ด้วยกันเป็คู่รักปรองดอง” หรงซิวเดินมาข้างๆ แล้วพูดว่า “ต้นไม้สองต้นนี้ข้าพบโดยบังเอิญตอนที่ข้ามาสำรวจแม่น้ำครานั้นข้าก็คิดว่าหากมีโอกาสละก็ข้าจะพาเ้ามาดู”
เขาจับมือของนางเข้ามาวางไว้ที่ริมฝีปาก แล้วจูบมือของนาง แววตาเต็มไปด้วยความเสน่ห์หา นางก็มองมันออกอย่างชัดเจน
จู่ๆ อวิ๋นอี้ก็ทำเป็ขยิบตา หัวเราะคิกคักพร้อมพูดว่า “ข้ารู้ว่าฝ่าาชอบข้ามากเพียงใด มิต้องพูดตลอดหรอกเพคะ!”
“กระนั้นข้าจะใช้การกระทำของข้าพิสูจน์” หรงซิวพูด
ความคิดแรกของอวิ๋นอี้นั้นคิดไปในเื่ไม่ดี หูของนางแดงขึ้น กำลังจะว่าหรงซิวว่าพูดจาเรื่อยเปื่อย บุรุษหนุ่มกลับขัดนาง ยิ้มหยอกนาง “เ้าคิดไม่ดีอีกแล้วหรือ? ที่ข้าพูดไปมิได้มีกระไรแอบแฝงเสียหน่อย”
เป็เื่มิมีสิ่งใดแอบแฝงจริงๆ
ตอนที่อวิ๋นอี้จับพู่กันหันหน้าเข้าหาหรงซิวดวงตาประสานกัน ถึงเข้าใจว่าเขาอยากจะทำกระไร
ครึ่งปีก่อนอวิ๋นอี้กลับมาที่เมืองหลวง เพื่อที่จะให้นางนั้นยอมอยู่ที่จวนของเขา หรงซิวได้ทำสัญญากับอวิ๋นอี้ในสัญญาเ่าั้ข้อที่สำคัญที่สุดคือการกระชับความสัมพันธ์กัน
เกี่ยวกับการบ่มเพาะความรู้สึกนั้นหรงซิวตั้งใจระบุสิ่งที่ต้องปฏิบัติร่วมกันร้อยข้อ ในนั้นคือการฝั่งคำสัญญาไว้ใต้ต้นไม้
เวลาผ่านมาเนิ่นนาน อวิ๋นอี้แทบจะลืมไปแล้วไม่คิดว่าหรงซิวจะยังจดจำสัญญานี้ได้จนถึงตอนนี้
อวิ๋นอี้ในใจก็แอบขนลุกแต่ปากกลับพูดออกไปอย่างอบอุ่นว่า “เขียนความรู้สึกให้อีกฝ่ายในสองปีหลังจากนี้หรือเพคะ?”
“อื้ม” หรงซิวกลัวนางจะแอบมอง จึงใช้มือมาปิดกระดาษของเขา “รอประเดี๋ยวพวกเราเขียนเสร็จ เอามาฝังใต้ต้นไม้ด้วยกัน ไม่ว่าข้าหรือเ้าก็ห้ามแอบมองของอีกฝ่าย ต้องรออีกสองปีค่อยกลับมาดู”
“ฝ่าาเื่เยอะเหมือนกันนะเพคะ” อวิ๋นอี้มุ่ยปาก สายตาก็พยายามจะมองสิ่งที่หรงซิวเขียนแต่ก็มองไม่เห็น ได้แต่อารมณ์เสียถือกระดาษหันหลังให้หรงซิว
ต้องเขียนถึงหรงซิวในอีกสองปีข้างหน้างั้นหรือ….
นางครุ่นคิดสักครู่
ความรู้สึกคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงตลอด มิมีผู้ใดรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสองปีหลังจากนี้เลยว่าจะเป็อย่างไร
อวิ๋นอี้มิมีทางรู้แน่ชัดเลยว่านางในตอนนั้นจะยังคงอยู่ในห้วงเวลาที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้อยู่หรือไม่
อวิ๋นอี้เหม่อลอยมองออกไปไกล อยู่ดีๆ ความรู้สึกอันเศร้าหมองก็เข้ามา นางมองไปที่พู่กันถอนหายใจอย่างขมขื่น
ชีวิตคนเรามิมีกระไรแน่นอน สิ่งที่นางจะให้หรงซิวได้ดีที่สุด คงเป็คำอวยพร
อวิ๋นอี้ตั้งใจบรรจงเขียนหลัง นางเขียนคำพูดไม่กี่คำที่อยากบอกเสร็จ แล้วก็ม้วนขึ้น แล้วจึงหันไปมองหรงซิว
ทั้งคู่นั้นพยายามปกปิดข้อความกันอย่างมากและไม่ยอมให้อีกฝ่ายเห็นได้เลยแม้สักนิดเดียว
อวิ๋นอี้ถามเบาๆ ว่า “ฝังมันเลยหรือไม่เพคะ?”
“ได้สิ”
“แต่ว่าพวกเรามาขุดใต้ต้นไม้ข้าเกรงว่ามันจะไม่ค่อยเหมาะนะเพคะ?” อวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว ในใจแอบรู้สึกไม่สบายใจ
หรงซิวกลับไม่คิดเช่นนั้น พูดอย่างภาคภูมิ “พวกเราพรวนดินให้มันเช่นนี้จะทำให้ต้นไม้โตได้ดียิ่งขึ้น”
ก็ได้
ความสามารถในการพูดไร้สาระของบุรุษหนุ่ม ทำให้ต้องยอมจริงๆ
หลังจากยาชิงขุดหลุมเสร็จหรงซิวก็นำม้วนกระดาษที่ทั้งคู่เขียนเสร็จใส่ไปในไหเหล้าใบใหญ่ที่ปิดฝาแล้วค่อยๆ ใส่เข้าไปในดิน
ดินที่ร่วนๆ ละเอียดผนึกไหนี้ก็เหมือนกับการฝังความลับลงไป
เป็ความลับที่เป็ของหรงซิวและอวิ๋นอี้สองคนเพียงเท่านั้น
พวกเขาได้ใช้เวลาที่ต้นเหอฮวนอยู่นาน ตอนที่กลับไปตามทางอีกครา ท้องฟ้าก็มืดมองจากที่ไกลก็ไม่เห็นวี่แววแสงไฟ มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนป่าและเสียงคลื่นทะเลที่กระทบโขดหินริมหาด
อวิ๋นอี้เล่นสนุกมาทั้งวัน ก็รู้สึกอ่อนล้า หลังจากขึ้นรถม้าพูดกับหรงซิวได้ไม่กี่ประโยค ก็เอาหัวไปซบนอนที่ไหล่ของเขาไปตลอดทาง
เพลานี้ฟ้าก็มืดสนิทฝนก็ตกแต่ไม่หนักเหมือนกับท่วงทำนองเพลงในฤดูร้อน ยาชิงถามจากข้างนอกด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ พวกเราควรหาที่พักหลบฝนหรือเดินทางกลับต่อพ่ะย่ะค่ะ?”
“ทางยังมองเห็นชัดอยู่หรือไม่?” หรงซิวแง้มหน้าต่างดู จู่ๆ ก็มีละอองฝนปลิวเข้ามาเขาขมวดคิ้ว ใช้แขนยาวมาบังหญิงอันเป็ที่รักที่หลับใหลจากความหนาวเหน็บ
ยาชิงมองไปข้างหน้าอย่างจดจ่อ “มองชัดพ่ะย่ะค่ะ”
“กระนั้นก็เดินทางต่อ”
ระหว่างทางจากทะเลผิงถึงเมืองหลางโจวฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ฝนเม็ดกลมหนักเหมือนก้อนหินตกมากระทบกับรถม้าดังเปาะแปะ
อวิ๋นอี้ถูกเสียงฝนตกทำให้ตื่น มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใ
ฟ้าร้องและฟ้าแลบ ลมเคล้ากับฝน แสงวาบของฟ้าแลบส่องสว่างในตอนกลางคืนราวกับว่าเป็เวลากลางวัน ทำให้ทิวทัศน์โดยรอบดูน่ากลัวขึ้นมา
อวิ๋นอี้ร้องไอหยาออกมา นางถูกฟ้าฝนทำให้ใจนเอาตัวถอยออกมา หรงซิวเห็นเข้าจึงเอามือเอื้อมไปปิดหน้าต่าง ใช้มืออีกข้างกอดนาง
“เ้าตื่นแล้วสินะ?” เขายังมีอารมณ์ขันมาหยอกล้อนาง
อวิ๋นอี้ขยี้ตา นางรู้สึกสับสนเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่น นางพยักหน้าช้าๆ และในสายตาของหรงซิว นางดูไม่รู้ประสานัก
“หิวหรือไม่? ข้าพกขนมมาให้ เ้าทานก่อนสิ อีกไม่นานก็จะเข้าเมืองแล้ว” หรงซิวพูดพลางหยิบของทานจากตู้ออกมา
อวิ๋นอี้โบกมือปฏิเสธ “ข้าไม่หิว ฝ่าา เหตุใดอยู่ดีๆ ฝนถึงตกหนักเล่าเพคะ ที่เขื่อนนั่นฝ่าาจะต้องไปดูหรือไม่เพคะ?”
พูดจบ นางก็นึกกระไรออกอีกแล้วพูดอย่างเป็กังวลว่า "อีกอย่าง วันนี้ต้องมีคนเฝ้าสังเกตวัดระดับน้ำตลอดเวลาแน่ ข้าเกรงว่า การป้องกันยังเตรียมได้ไม่ดี และปีนี้ฤดูน้ำหลากจะมาเร็วกว่าปกติ”
ปัญหาที่อวิ๋นอี้กำลังกังวล หรงซิวก็มีความคิดแบบเดียวกัน
ทันทีที่เขารู้ว่าฝนตก เขาก็เริ่มมีความคิดที่จะจัดการเื่นี้ในใจ และตอนนี้เขาก็มีความคิดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
เดิมหรงซิวเป็คนที่ไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งกับงานของตัวเอง แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้เห็นใบจริงจังของสตรีสาวก็รู้สึกว่ามิได้แย่กระไร
อวิ๋นอี้พูดเสร็จมิได้ยินการตอบกลับของหรงซิว เมื่อหันมามองหรงซิวก็เห็นเขาจ้องมายังนางอยู่ก่อนแล้ว นางจึงตีไปที่มือหรงซิวแล้วถามว่า “ฝ่าา ได้ฟังข้าอยู่หรือไม่เพคะ?”
“ฟังสิ” หรงซิวหัวเราะแล้วกุมมือนางไว้ “ฮูหยินคิดได้รอบคอบมาก อีกเดี๋ยว ข้าจะพาคนเข้าไปตรวจสอบเขื่อนดู หวังว่าจะไม่เกิดกระไรขึ้น”