เวินซีสั่งหม้อไฟด้วยความคุ้นเคย ไม่นานนักคนรับใช้ก็นำหม้อไฟกับอาหารเข้ามาในห้อง
พริกแกงหม่าล่าที่เดือดปุดๆ มีเนื้อแกะ กะหล่ำปลี และถั่วงอกลอยอยู่ในนั้น กลิ่นหอมฟุ้งไปทุกทิศทาง
“พี่สะใภ้ นี่คือสิ่งใดเ้าคะ?”
ซูเหอถือตะเกียบพลันเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในตอนที่หม้อไฟวางอยู่บนเตาไฟ นางได้ชิมไปคำแรกก็เผยสีหน้าพึงพอใจ
“อร่อยมาก ข้าไม่เคยลิ้มรสเช่นนี้มาก่อน! พี่สะใภ้ แม่ทัพต้าน พวกท่านก็ทานด้วยสิเ้าคะ” นางเอ่ยเร่งพวกเขา
“อร่อยก็ทานเยอะๆ เถิด คุณหนูหราน คุณชายต้วน พวกท่านยังไม่เคยทาน รีบทานสิเ้าคะ” เวินซียิ้ม
เมื่อถูกเรียกชื่อ ทั้งสองคนที่เหม่อลอยอยู่ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาทานอย่างรวดเร็ว แววตาของพวกเขาพลันเป็ประกาย เอาแต่เอ่ยชมไม่ขาดปาก
“ทุกท่าน นี่เป็เครื่องดื่มใหม่ของร้านเราขอรับ เห็นว่าทุกท่านมาที่นี่ครั้งแรก พวกเราจึงให้พวกท่านลองดื่ม ไม่คิดเงินขอรับ”
ประตูห้องส่วนตัวถูกเปิดออก คนรับใช้ถือกล่องอาหารเดินเข้ามาพลันเอ่ยด้วยความเคารพ
เขาเปิดกล่องอาหาร วางถ้วยชานมไว้ตรงหน้าทุกคนแล้วถอยออกไป
เพราะไม่เคยเห็นชานมมาก่อน สีหน้าของหรานอิ่งชุนและต้วนจิงเย่ที่มองของเหลวสีน้ำตาลจึงดูลังเลเล็กน้อย
ตรงกันข้าม ซูเหอและสืออีกลับดื่มเข้าไปทันที
“คุณหนูเวินซี ขอบพระคุณขอรับ” สืออีรู้ว่าร้านเป็ของเวินซี เขาจึงวางถ้วยลงพลันเอ่ยปากนิ่งๆ
“รีบทานเถิด” เวินซีก้มหน้าก้มตาทานหม้อไฟต่อ
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นที่ทางเดิน สายตาของพวกเวินซีมองไปด้วยความสงสัย ก่อนที่ประตูห้องส่วนตัวจะถูกเปิดออกทันที
“เวินซี” โจวอวี่ชางยืนอยู่ที่ประตู ในมือของเขามีจี้หยก และกำลังมองมาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
จากนั้นก็วิ่งมาอย่างเร่งรีบด้วยเสื้อผ้าและผมเผ้าที่ยังยุ่งเหยิง
“ท่านพี่ ไม่เจอกันนานเลยเ้าค่ะ” เวินซีเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าเป็นางจริงๆ โจวอวี่ชางก็ก้าวเข้ามาใกล้อย่างตื่นเต้น
เขามองทุกคนในห้อง เมื่อรู้ว่าตนเองควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ก็กระแอมเล็กน้อย เก็บซ่อนความรู้สึกไว้พลันเอ่ยปาก
“หลายวันมานี้ติดต่อเ้ามิได้ ข้านึกว่าตระกูลเวินทำอันใดกับเ้าเสียอีก ไม่คิดเลยว่าเ้าจะมาที่เมืองซู่เหอ เ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว ดีจริงๆ”
เขามองนาง แต่ในใจยังคงนึกกลัว
กลัวว่าหากเกิดอันใดขึ้นกับนางจริงๆ เขาคงไม่มีวันให้อภัยตนเอง
“ตระกูลเวินจบเห่ไปแล้วเ้าค่ะ ท่านพี่ นั่งลงเถิด ทานอาหารกัน หลังจากทานอาหารข้ายังมีเื่ที่ต้องถามท่าน” เวินซีเว้นที่ให้เขา ส่วนตนเองย้ายไปนั่งข้างจ้าวต้าน
“จบเห่?” โจวอวี่ชางนั่งลงด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เวินซีพยักหน้า ก่อนจะเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นใน่ที่ผ่านมาให้ฟัง
เขามองดูหม้อไฟด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ไม่นานนักก็ถอนหายใจและพูดว่า “ถือว่าสาสมกับตระกูลเวินแล้วล่ะ พวกเขาไม่คู่ควรที่จะได้รับความเห็นใจ”
“ยามนี้ยังไม่รู้ว่าเวินเยียนกับเวินอวิ๋นโปไปอยู่ที่ใด ท่านพี่ระวังตัวไว้ด้วยนะเ้าคะ พวกเขาไม่ยอมล่มจมไปเช่นนี้แน่” เวินซีพูดพลางทานหม้อไฟ
เพราะยังมีความอาลัยอาวรณ์ให้กับพวกเขา โจวอวี่ชางจึงได้แต่ก้มหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในใจ เขามิได้ตอบกลับ เพียงแค่หยิบตะเกียบขึ้นมาทานอาหาร หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง
ส่วนคนอื่นๆ เห็นว่าเวินซีรู้จักเขา จึงพากันละสายตาออก แล้วทานอาหารต่อไป
มื้ออาหารจบลงอย่างรวดเร็ว ในตอนที่คนรับใช้เข้ามาเก็บของในห้องส่วนตัว โจวอวี่ชางก็พาพวกเขาเดินไปที่สวนหลัง
เขาเตรียมห้องไว้ให้เวินซีเสมอมา ส่วนห้องสำหรับคนอื่นๆ จะต้องให้คนไปเก็บกวาดก่อนถึงจะเข้าพักได้
เนื่องจากเวลาดึกมากแล้ว ทุกคนจึงยืนพิงทางเดินรอให้คนจัดการห้อง เวินซียังมิได้กลับห้องไป นางนั่งอยู่บนที่จับทางเดินและอยู่เป็เพื่อนพวกเขา
“ท่านพี่ ช่วยเล่าสถานการณ์ในเมืองซู่เหอให้ข้าฟังได้หรือไม่เ้าคะ?” นางรอจนเบื่อ จึงเอ่ยถามโจวอวี่ชางในขณะที่ทุกคนอยู่ด้วย
“สถานการณ์ส่วนใหญ่ในเมืองซู่เหอมีการบันทึกไว้ในหนังสือแล้ว ข้าจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเื่ที่มิได้ถูกบันทึกไว้ก็แล้วกัน”
“ยามนี้เมืองซู่เหอยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งคือเมืองสี่ตระกูล คือ ตระกูลหราน ตระกูลเหลียง ตระกูลหวังและตระกูลจวี้ ทั้งสี่ตระกูลมีทรัพย์สินนับไม่ถ้วนทั้งยังได้รับการดูแลจากขุนนางในเมืองหลวง พวกเขามีอำนาจเด็ดขาดในเมืองซู่เหอ แม้แต่เ้าหน้าที่อำเภอก็ยังหลับตาข้างหนึ่งสำหรับเื่ที่พวกเขาทำ”
“ทั้งสี่ตระกูลมีอาณาจักรของตนเอง ตระกูลหรานทำธุรกิจผ้า แต่แท้จริงแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่าพวกเขาอยู่ได้ด้วยแม่ทัพหราน ตระกูลเหลียงทำเครื่องหอม พวกเขาทำธุรกิจเครื่องหอมมานับศตวรรษ”
“ตระกูลหวังทำอาวุธยุทโธปกรณ์ พวกเขามีช่างตีเหล็กและช่างไม้มือหนึ่ง ตราบใดที่มีพิมพ์เขียว พวกเขาก็สามารถสร้างอาวุธได้ทั้งหมด พวกเขามีความสัมพันธ์โดยตรงกับราชสำนัก อาวุธของราชสำนักล้วนมาจากพวกเขา”
“ตระกูลจวี้ทำเรือสินค้า พวกเขาเป็ผู้ดูแลเรือสินค้ากว่าครึ่งของเมืองซู่เหอ”
“ที่นี่ ผู้ที่เป็มิตรกับผู้คนที่สุดคือคนตระกูลจวี้ ตระกูลจวี้คบค้าสมาคมได้กับทุกคน ผู้ใดว่าเช่นไรพวกเขาก็ว่าตาม ไม่เป็ศัตรูกับผู้ใด”
“ตระกูลที่ดูถูกผู้คนมากที่สุดคือตระกูลเหลียง พวกเขาถือตนเหนือกว่าผู้อื่น ไม่คบค้ากับผู้คนธรรมดา ลูกค้าเครื่องหอมของพวกเขาล้วนเป็ตระกูลร่ำรวย ประชาชนธรรมดาไม่มีโอกาสได้ใช้”
“่นี้ตระกูลเหลียงเกิดเื่ขึ้น ทำให้พวกเขายิ่งหุนหันพลันแล่น”
“ตระกูลเหลียง? เกิดเื่? ใช่เื่ที่เกี่ยวกับเหลียงฝูหรู่หรือไม่เ้าคะ?” ลางสังหรณ์อันเลวร้ายเกิดขึ้นในใจ เวินซีขมวดคิ้วแน่นและถามอย่างไม่มั่นใจ
“เ้ารู้เื่หรือ? ใช่แล้ว เหลียงฝูหรู่เป็บุตรชายเพียงคนเดียวของอี๋เหนียงเจ็ดตระกูลเหลียง เขาถูกพวกอันธพาลโจมตี วางยาพิษ ทั้งยังถูกประชาชนที่ริษยาเขาใส่ร้าย แต่เขาก็เอาชีวิตรอดมาได้ ยามนี้กำลังพักฟื้นอยู่ในจวนน่ะ”
“ตระกูลเหลียงเป็พวกโเี้ไร้เหตุผล ทั้งยังกัดไม่ปล่อย เวินซี เ้าระวังตัวด้วยล่ะ อย่าได้ไปทำให้พวกเขาไม่พอใจ” โจวอวี่ชางเอ่ยเตือนอย่างเป็กังวล
“คุณหนูเวินซี...” เมื่อฟังคำพูดของโจวอวี่ชาง หรานอิ่งชุนก็ใจสั่น นางมองเวินซีด้วยความหวาดกลัว
หรานอิ่งชุนอยู่แต่ในเรือนมานาน ไม่รู้ว่าเหลียงฝูหรู่คือคนตระกูลเหลียง หากนางรู้ก็คงแสร้งทำเป็หยุดกลุ่มคนพวกนั้นไว้
แต่อี๋เหนียงเจ็ดตระกูลเหลียงคนนี้ มีบุตรชายทั้งที เหตุใดถึงปล่อยเขาไว้ที่เมืองอื่นได้ จะโทษที่นางไม่รู้ตัวตนของเหลียงฝูหรู่ก็มิได้...
“คงจะ...มิได้ทำอันใดหรอกเ้าค่ะ” เวินซีหันไปมองหรานอิ่งชุน
นางก็ไม่มั่นใจเช่นกัน
แม้ว่าเหลียงฝูหรู่จะไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของนางในคืนนั้น แต่คนรับใช้ในจวนเหลียงและคุณหนูเ่าั้ต่างเห็นนาง เกรงว่าพวกเขาจะนำเื่ไปบอกเขาก็เท่านั้น
“ไม่มีอันใดก็ดีแล้ว” โจวอวี่ชางไม่มีข้อสงสัยใดๆ
“ยียีล่ะเ้าคะ?” เวินซีละสายตากลับมามองเขา แล้วเปลี่ยนเื่ถามทันที
“ยียีหลับไปแล้ว” โจวอวี่ชางตอบอย่างสงบ
“ตอนนี้เขาเป็เช่นไรบ้างเ้าคะ?”
“ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก แต่ยังไม่ยอมทำความรู้จักผู้ใด ในใจของเขายังหวาดระแวงอยู่มาก”
“เขาจำทุกคนได้แล้ว หลายวันมานี้เอาแต่พูดถึงพี่สะใภ้ หากวันพรุ่งเขารู้ว่าเ้ามาหาคงจะดีใจไม่น้อย”
“เ้าค่ะ ขอบคุณท่านพี่เ้าค่ะ ที่ผ่านมาท่านลำบากมามาก” เวินซีกล่าวขอบคุณ
“ไม่ลำบากหรอก มันเป็เื่ที่ข้าควรทำ หากมิได้เ้า ข้าคงต้องตายไปแล้ว จะมีวันนี้ได้เช่นไร”
โจวอวี่ชางแสดงความจริงใจให้ ส่วนเวินซีก็พูดถ่อมตัวสองสามคำ ก่อนที่ทั้งสองจะกลับสู่ความเงียบสงบ
ไม่นานนัก คนรับใช้ก็ทำความสะอาดห้องเสร็จแล้วออกมา
“จ่างกุ้ย จัดการห้องพักเรียบร้อยแล้วขอรับ เข้าอยู่ได้แล้วขอรับ” คนรับใช้เดินมาจากทางเดินที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ไปพักผ่อนเถิด” หลังจากที่ได้ยินการรายงานแล้ว โจวอวี่ชางก็เอ่ยคำอย่างสง่างาม
เขาพาทุกคนไปเลือกห้อง แล้วกลับไปพักผ่อน...