สายลมพัดผ่าน ต้นหลิวปลิวไสว คลื่นน้ำสั่นกระเพื่อมตามสายลม
เสี่ยวจิ่วยังคงก้มหน้าก้มตากินขนมอบ เสี่ยวเนี่ยนเหมือนจะััได้ถึงอารมณ์ที่ผิดปกติของมารดาก็หันศีรษะมามอง เพียงแต่นางอายุน้อยเกินไป จึงไม่เข้าใจความรู้สึกของมารดา
ฉินตงหวู่ยิ้มให้บุตรสาวพลางกล่าวต่อ “หลังจากนั้นข้าพาเสี่ยวเนี่ยนหนีมาที่ท่าเรือหลงหยาอย่างยากลำบาก โชคดีที่บิดาของเสี่ยวจิ่วรับพวกเราเอาไว้ น่าเสียดายที่เพียงไม่นานก็ได้ยินข่าวร้ายของบิดาของเสี่ยวจิ่ว เมื่อพวกเราสูญเสียการปกป้องจากบิดาเสี่ยวจิ่วไปก็ยากจะใช้ชีวิตในท่าเรือหลงหยาต่อ ตอนนั้นพวกเราสิ้นหวังมาก...ดังนั้นการปรากฏตัวของนายน้อยไม่เพียงมอบโอกาสในการมีชีวิตให้พวกเรา ยังมอบความหวังและความอบอุ่นให้พวกเราด้วย”
จั๋วอวิ๋นเซียนเงียบไม่พูดไม่จา เขารู้สึกค่อนข้างหนักใจ ทันใดนั้นเขานึกถึงคำพูดที่ผู้าุโเฉียนโม่เคยกล่าว การมีชีวิตยืนยาวอาจจะมิได้มีชีวิตที่ดี เื่ราวมากมายมิอาจใช้เวลาเป็ตัวชี้วัดได้
เมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศอึดอัดเล็กน้อย จั๋วอวิ๋นเซียนจึงเปลี่ยนเื่ “กวางเจ็ดสีน่าจะเป็ตราประทับระดับสูงกระมัง ดูท่าเ้าจะมีพร์ไม่น้อย!”
อาจเป็เพราะรู้สึกกดดันมานานเกินไป หลังจากพูดความในใจของตัวเองออกไปแล้ว ฉินตงหวู่จึงดูร่าเริงขึ้นมาก “ถึงแม้ไม่รู้ว่าตราประทับของนายน้อยเป็เช่นไร แน่นอนว่าต้องมิได้ด้อยกว่าของข้ากระมัง”
“อืม ใช่แล้ว”
จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้ายอมรับอย่างเปิดเผย
ฉินตงหวู่รอยยิ้มแข็งค้างทันที สมองมืดบอดไปหมด นางอยากถามอีกฝ่ายว่าไม่รู้จักคำว่า ‘ถ่อมตน’ สะกดอย่างไรหรือ?
การแสดงออกส่วนมากของจั๋วอวิ๋นเซียนจะตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง จนทำให้ผู้คนรับไม่ได้
……
แสงจันทร์ราวกับวารี สะท้อนดวงดาราบนท้องฟ้า
ยามราตรีของทะเลล่วนซิงน่าหลงใหลยิ่งกว่าที่อื่น เพียงมองไม่นานก็อาจทำให้ผู้คนเหม่อลอย
พอทุกคนกลับไปพักผ่อนกันแล้ว จั๋วอวิ๋นเซียนลืมตาขึ้น ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
เพียงแค่การกระทำนี้ก็กินเวลาและพละกำลังจำนวนมาก ใบหน้าที่ซีดขาวค่อยๆ ดูเหนื่อยล้ามากขึ้น
เนื่องจากเขามิอาจนอนหลับและไม่มีทางสลบ จั๋วอวิ๋นเซียนจึงมีสติแจ่มชัดอยู่ตลอดเวลา จนเวลาล่วงเลยผ่านมาสามปีแล้ว เขายังคงทนรับกับความเ็ปจากส่วนลึกของิญญาอยู่ตลอดเวลา มีเพียงตอนที่ตั้งใจอ่านตำราถึงจะลดทอนความเ็ปลงได้บางส่วน
ในทะเลจิตสำนึกมีสายฟ้ากะพริบไหวไม่ขาดสาย ราวกับไม่มีวันดับสูญ
หากมิใช่เพราะตราประทับดอกบัวตูมขนาดใหญ่สะกดิญญาอัสนีเอาไว้ เกรงว่าิญญาของเขาคงถูกสายฟ้าทำลายไปนานแล้ว แต่ยิ่งเป็เช่นนี้พลังสายฟ้าก็ทำให้ร่างกายของเขาต้องรับภาระอย่างมาก ยังไม่ต้องพูดถึงเื่การบำเพ็ญเซียน แค่อยากจะเป็คนปกติก็ยังยาก
เพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเอง จั๋วอวิ๋นเซียนเคยลองมาแล้วหลายวิธี ในที่สุดเขาก็เกิดความคิดใหม่ขึ้นมาเป็ซึ่งวิธีที่สมบูรณ์แบบมาก
มนุษย์มีสามิญญาเจ็ดจิตซึ่งเลขสิบนั้นหมายถึงความสมบูรณ์แบบ
อย่างที่กล่าวกันว่าสามิญญาปลุกพร์ เจ็ดจิตหลอมิญญาแปรเปลี่ยนเป็วิชา ในเมื่อิญญาอัสนีไม่มีวันถูกทำลาย เช่นนั้นก็ผสานเข้ากับเจ็ดจิตกลายเป็ส่วนหนึ่งของร่างกาย ถือกำเนิดเป็วิชาของเขาเอง
เมื่อเป็เช่นนี้นอกจากจะจัดการปัญหาของิญญาอัสนีได้แล้ว ยังไม่จำเป็ต้องไปตามหาสิ่งของใช้ผสานจิตอีกด้วย
วิธีเช่นนี้ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้วกลับค่อนข้างซับซ้อน
จะส่งิญญาอัสนีในทะเลจิตสำนึกเข้าไปในเจ็ดจิตได้อย่างไร? พลังสายฟ้าที่บ้าคลั่งน่ากลัวจะหลอมรวมมันอย่างไร?
หลังจากครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมาแล้ว จั๋วอวิ๋นเซียนนึกถึงวิธีที่ง่ายดายและหยาบกระด้างได้อย่างหนึ่ง...ิญญามีเจ็ดจิตเป็ตัวนำ ตั้งอยู่บนสุดและเป็ต้นกำเนิดของสติปัญญา ทับซ่อนกับจิตสำนึก ด้วยเหตุนี้จั๋วอวิ๋นเซียนจึงใช้ิญญาดึงดูดพลังสายฟ้า จากนั้นค่อยๆ หลอมรวม
นี่เป็การกระทำที่ต้องใช้เวลา สามปีผ่านไปแล้วในที่สุดก็มีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันิญญาของจั๋วอวิ๋นเซียนปรับตัวเข้ากับพลังสายฟ้าบ้าคลั่งได้อย่างสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งยังแข็งแกร่งมากขึ้น ขอเพียงสามารถหลอมรวมิญญาอัสนีได้ เขาก็สามารถทะลวงระดับผสานจิตให้กำเนิดพลังิญญาบริสุทธิ์ กลายเป็ผู้บำเพ็ญเซียนที่แท้จริง
แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นยังต้องเตรียมตัวก่อน
เพียงนึกคิดจั๋วอวิ๋นเซียนก็หยิบกล่องหยกสีเขียวใบหนึ่ง ในนั้นเก็บผลไม้ิญญาสีดำสีขาวสองลูกเอาไว้ มันมีขนาดเท่ากำปั้นทารก ส่องประกายแวววาว พลังิญญาเปี่ยมล้น
ของสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่จั๋วฟู่ไห่ต้องเสียแขนข้างหนึ่งเผื่อแลกมันให้จั๋วอวิ๋นเซียน ‘ผลหยินหยาง’ มันมีสรรพคุณในการปรับสมดุลหยินหยาง เติมเต็มต้นกำเนิดพลังชีวิต
ผลฉุนหยางอยู่กับจั๋วอวิ๋นเซียนมาตลอด แต่ผลฉุนหยินเขาพบมันในถุงเก็บของของซีโหลวรั่วเมิ่ง
เดิมทีตระกูลซีโหลวคิดว่าหลังจากกลืนกินตระกูลจั๋วแล้ว จะใช้กำลังแย่งชิงผลฉุนหยางจากจั๋วอวิ๋นเซียน จากนั้นเอาผลหยินหยางมอบให้ซีโหลวรั่วเมิ่งทะลวงระดับผสานจิต ทว่าคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะกลับสู่มือเ้าของเสียเอง
หากซีโหลวเหวินอวี่รู้เื่นี้ ไม่รู้ว่าจะโมโหจนกระอักเืเลยหรือไม่
น่าเสียดายยังขาดอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จั๋วอวิ๋นเซียนเก็บผลหยินหยางแล้วใช้พลังสายฟ้าขัดเกลาิญญาต่อไป
……
เจ็ดวันผ่านไป เ้าเกาะทั้งสามคนกลับมายังเกาะสามเซียน เ้าเมืองหวู่อันถงจึงมาเชิญเขาด้วยตัวเอง
จั๋วอวิ๋นเซียนรู้ว่า บททดสอบที่แท้จริงกำลังจะเริ่มแล้ว แต่เขาเตรียมตัวนานแล้ว จึงมีจิตใจที่สงบนิ่งอย่างมาก
……
ณ จวนเ้าเมือง ตำหนักเวิ้นเซียน
สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ต้องห้ามของจวนชั้นใน ในเวลาปกตินอกจากท่านเ้าเมืองแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้ามาโดยพลการ
ในศาลาไม้ไผ่ สายลมเย็นสบาย กาน้ำชามีควันเคล้ากลิ่นหอมลอยขึ้นมา ชายชราสามคนกำลังดื่มชาด้วยบรรยากาศเป็มิตร พูดคุยอย่างสนุกสนาน
พวกเขาก็คือเ้าเกาะทั้งสามแห่งเกาะสามเซียน ‘เซียนเฒ่าซ่างหัว’ เหมยซิ้งหง ‘เซียนเฒ่าอวี่หัว’ กงหยางอวี่ซ่าน ‘เซียนเฒ่าิหัว’ จวงซวี่เหยา
แน่นอนว่าฉายานามเหล่านี้พวกเขาเป็คนตั้งเอง ถึงอย่างไรแผ่นดินเซียนฉยงใน่หมื่นปีมานี้ ยังไม่มีผู้ใดสามารถกลายเป็เซียนได้อย่างแท้จริง
……
ผ่านไปไม่นาน จั๋วอวิ๋นเซียนก็มาถึงที่นี่ภายใต้การนำของหวู่อันถง เขายังคงสวมชุดคลุมสีขาว ถือตำราในมือ นั่งอยู่บนรถเข็นด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“เ้าก็คือจั๋วอวิ๋นเซียนหรือ? ชายหนุ่มที่ก่อเื่บนท่าเรือหลงหยาเมื่อสามปีก่อน?”
เ้าเกาะทั้งสามคนกวาดสายตามองจั๋วอวิ๋นเซียนจากศีรษะจรดเท้ารอบหนึ่งด้วยสีหน้าสงสัย พวกเขามิได้สงสัยว่าหวู่อันถงกับจั๋วอวิ๋นเซียนจะหลอกพวกเขา บนเกาะสามเซียนแห่งนี้ไม่มีผู้ใดกล้าหลอกพวกเขา
“ถ้าไม่มีคนอื่น ชายหนุ่มคนนั้นก็น่าจะเป็ข้า...”
จั๋วอวิ๋นเซียนวางตำราไว้ที่ตัก จากนั้นประสานมือคำนับ “จั๋วอวิ๋นเซียนคารวะเ้าเกาะทั้งสาม โปรดให้อภัยที่ผู้น้อยร่างกายไม่สมบูรณ์ จึงมิอาจลุกขึ้นทำความเคารพได้”
“เช่นนั้นเหตุใดเ้าถึง...”
ถึงแม้จะได้รับคำตอบที่แน่นอนแล้ว แต่เ้าเกาะทั้งสามก็ยังคงใ
ตอนแรกพวกเขาเคยได้ยินมาว่าชายหนุ่มเป็คนที่กล้าหาญและก้าวร้าวขนาดไหน ไม่เพียงสังหารผู้บำเพ็ญเซียนนับร้อย ยังสังหารยอดฝีมือระดับกำเนิดปราณด้วยระดับพลังหลอมิญญา! แต่สภาพของชายหนุ่มในตอนนี้ แตกต่างจากก่อนหน้านี้จนผู้คนมิอาจยอมรับได้
จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวอย่างเปิดเผยด้วยสีหน้าสงบ “ไม่ว่าเื่ใดล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย ท่านเ้าเกาะทั้งสามคงมิได้คิดว่า คนธรรมดาที่ยังไม่เปิดเจ็ดจิตคนหนึ่งจะสามารถสังหารยอดฝีมือระดับกำเนิดปราณได้อย่างง่ายดายกระมัง? ต่อให้อีกฝ่ายจะาเ็สาหัสอยู่แล้วก็ตาม...”
จั๋วอวิ๋นเซียนเว้นจังหวะเล็กน้อยพลางกล่าวเสริมว่า “ความจริงแล้วตอนนั้นข้าใช้วิชาลับชั่วร้ายอย่างหนึ่ง แผดเผาพลังชีวิตเป็ค่าตอบแทน ดังนั้นจึงาเ็สาหัส ตอนนี้ทำได้เพียงนั่งบนรถเข็นเท่านั้น”
ในเส้นทางวิถีเซียน วิชามารวิชาต้องห้ามมีเยอะแยะมากมาย ดังนั้นนายน้อยตระกูลวิถีเซียนจะมีวิชาต้องห้ามสองสามวิชาก็มิใช่เื่น่าแปลก
คำพูดของจั๋วอวิ๋นเซียนฟังดูสมเหตุสมผล เ้าเกาะทั้งสามมิได้สงสัยมากนัก กลับกันถ้าจั๋วอวิ๋นเซียนสามารถกระทำการท้าทาย์โดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนใดๆ นั่นถึงจะเป็เื่น่าขันอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้นเ้าเกาะทั้งสามใช้จิตตรวจสอบร่างกายของจั๋วอวิ๋นเซียน พบว่าอาการาเ็ของจั๋วอวิ๋นเซียนร้ายแรงกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มาก ปราณโลหิตขาดสมดุล อวัยวะภายในเสียหาย ิญญาแตกซ่าน...ถ้าพวกเขาาเ็หนักเช่นนี้ เกรงว่าลมหายใจคงจะรวยรินแล้ว ไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มคนนี้อดทนเช่นนี้มาได้อย่างไร
