วิทยายุทธ์ขั้นสุดยอด หมัดัปรภพ
ในบรรดาวรยุทธ์ทั้งหมดที่หลงอวี้รู้จัก ขั้นล่างเป็วรยุทธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนขั้นกลางและขั้นสูงจะทรงพลังกว่าขั้นล่างตามลำดับ
ส่วนวิทยายุทธ์ขั้นพิเศษนั้น เป็วิทยายุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น ตัวอย่างเช่น คลื่น์ทะลวงที่เฟิงอวิ๋นใช้ก่อนหน้านี้ และเหล่าวิทยายุทธ์ขั้นพิเศษต่างๆ ที่มีเพียงลูกศิษย์ระดับพิเศษของสำนักลัทธิใหญ่ๆ ทั้งหลายที่จะมีสิทธิ์ฝึกฝน
ส่วนวิทยายุทธ์ขั้นสุดยอดที่เหนือกว่าวิทยายุทธ์ขั้นพิเศษขึ้นไปอีกนั้น หลงอวี้ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนสักวิชา!
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า วิชาหมัดัปรภพนี้ทรงพลังมากเพียงใด
‘หมัดัปรภพ แบ่งออกเป็สองกระบวนท่า ตัวข้าในตอนนี้ยังฝึกได้แค่กระบวนท่าที่หนึ่งเท่านั้น นามว่า หมัดสู่ปรภพ ส่วนกระบวนท่าที่สอง ฝ่ามือตื่นสังสารวัฏนั้น คงต้องรอให้สัญลักษณ์ัปรภพตื่นครั้งต่อไปถึงจะฝึกได้’
หลงอวี้คิดในใจก่อนจะขมวดคิ้ว
ข้อมูลที่สัญลักษณ์ัปรภพส่งมาให้เขานั้น หมัดสู่ปรภพเป็วิทยายุทธ์ขั้นสุดยอด แต่สำหรับฝ่ามือตื่นสังสารวัฏนั้น กลับไม่มีข้อมูลอะไรเลย
‘กระบวนท่าที่สองมักจะทรงพลังกว่ากระบวนท่าแรกเสมอ ไม่อย่างนั้นตัวข้าในตอนนี้คงไม่มีทางฝึกฝนได้แน่ แต่ว่า เหนือวิทยายุทธ์ขั้นสุดยอดขึ้นไป ยังมีวิทยายุทธ์ระดับอื่นอีกหรือ’
หลงอวี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าคิดอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบ จึงได้แต่ปล่อยมันไปก่อน
ไม่ว่าอย่างไร เมื่อถึงเวลาเื่ราวก็จะกระจ่างเอง ตัวเขาในตอนนี้เพียงต้องฝึกเพลงหมัดัปรภพกระบวนท่าที่หนึ่ง หมัดสู่ปรภพ ให้สำเร็จเท่านั้น
“หมัดัปรภพ เป็การเปลี่ยนลมปราณในตัวให้กลายเป็ปราณแห่งปรภพ ทุกหมัดที่ชกล้วนแฝงความว่องไวของัแห่งปรภพ ไม่เพียงแต่ความเร็วสูงเท่านั้น แต่ยังมีอานุภาพรุนแรงอีกด้วย”
หลงอวี้อ่านข้อมูลของเพลงหมัดัปรภพ และเริ่มโคจรลมปราณตามวิธีการที่เขียนไว้ในนั้น
การฝึกเพลงหมัดัปรภพนั้น ขั้นตอนสำคัญที่สุดและเป็พื้นฐานคือการเปลี่ยนลมปราณในร่างกายให้กลายเป็ปราณแห่งปรภพ
สำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์ทั่วไป เื่นี้แทบจะเป็ไปไม่ได้เลย ผู้ที่มีสัญลักษณ์ัปรภพอยู่เท่านั้นจึงจะทำได้
ปราณแห่งปรภพ คือกลิ่นอายที่มาจากส่วนลึกที่สุดซึ่งอยู่ใต้พื้นดิน
ตอนนี้หลงอวี้รู้แล้วว่า ตอนที่เฟิงอวิ๋นซัดใส่สัญลักษณ์ัปรภพหนึ่งหมัดแต่กลับถูกสะท้อนกลับจนาเ็สาหัสก่อนหน้านี้ แรงสะท้อนนั่นมาจากพลังของปราณแห่งปรภพนี่เอง
น่าเสียดายที่ตอนนั้นหลงอวี้ไม่สามารถควบคุมปราณแห่งปรภพได้ ทำให้เฟิงอวิ๋นไม่ได้าเ็สาหัสอย่างที่คิด แค่พักฟื้นเดือนสองเดือนก็หายดี แถมยังก้าวสู่วิถียุทธ์ขั้นเก้าได้อีก
“ปราณแห่งปรภพ เป็พลังที่มาจากยมโลก แล้วเข้าไปในวัฏสงสาร ในนั้นแฝงไว้ด้วยที่สุดของความเป็และความตาย หากสามารถบรรลุปราณแห่งปรภพได้ ก็จะสามารถลองบรรลุถึงจินตภาพเป็ตายได้!”
หลงอวี้ตาเป็ประกายขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขายังห่างจากระดับนั้นอีกไกลโข
แม้เขาจะสามารถเปลี่ยนลมปราณภายในร่างกายตัวเองเป็ปราณแห่งปรภพได้ แต่ก็ทำได้แค่เพียงเท่านั้น เขาไม่สามารถบรรลุถึงแก่นแท้ของมัน ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงการสร้างปราณแห่งปรภพขึ้นเองเลย
หาก้าบรรลุถึงจินตภาพเป็ตาย จะต้องสร้างปราณแห่งปรภพด้วยตัวเองให้ได้ก่อนถึงจะเริ่มบรรลุได้!
“หมัดัปรภพกระบวนท่าที่หนึ่ง หมัดสู่ปรภพ หมัดเดียวกำหนดความเป็ความตาย ทำให้ศัตรูรู้สึกราวกับกำลังก้าวเดินอยู่บนกึ่งกลางระหว่างความเป็และความตาย!”
หลงอวี้ถ่ายเทลมปราณในร่างกายเข้าไปภายในสัญลักษณ์ัปรภพตามที่บันทึกวิชาเพลงหมัดัปรภพแนะนำ หลังจากนั้นก็มีปราณแห่งปรภพสายหนึ่งถูกส่งมาจากสัญลักษณ์ ไหลเวียนไปตามส่วนต่างๆ ในร่างกาย
“หมัดสู่ปรภพ!”
หลงอวี้กำหมัดขวาขึ้น พริบตานั้นพลันมีปราณแห่งปรภพบางๆ สายหนึ่งถูกอัดแน่นอยู่บนกำปั้น ทำให้หมัดปรากฏหมอกดำรางๆ ห่อหุ้มอยู่หนึ่งชั้น ดูดุดันอำมหิต
หลังจากนั้น หลงอวี้ก็ได้ออกหมัดชกไป ปราณแห่งปรภพผลักอากาศที่อยู่รอบๆ ออก จนเกิดกระแสลมกระโชกอันน่าสะพรึงสายหนึ่งขึ้น
‘หากมีสัญลักษณ์ัปรภพอยู่บนตัวก็จะสามารถใช้หมัดัปรภพนี้ได้ดั่งใจนึก เพียงแต่ว่า หมัดัปรภพของข้าตอนนี้บรรลุถึงแค่ขั้นต้นเท่านั้น’
หลงอวี้คิดในใจ
ไม่ว่าจะวรยุทธ์ใดก็ตาม ต้องบรรลุถึงขั้นกลางหรือขั้นสูงก่อนจึงจะสามารถแสดงอานุภาพที่แท้จริงได้ และหากบรรลุถึงขั้นสูงสุดก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกระดับ และถ้าบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ มันจะมีอานุภาพน่าสะพรึงกลัวอย่างที่มิอาจจินตนาการได้
หมัดัปรภพกระบวนท่าที่หนึ่ง หมัดสู่ปรภพเองก็ย่อมเป็เช่นนั้น
“เมื่อบรรลุถึงขั้นกลางได้แล้ว หมัดสู่ปรภพจะเพิ่มความเร็วและพละกำลังให้ข้า และหากใช้พลังของสัญลักษณ์ัปรภพในตอนนี้แล้ว ข้าจะมีพละกำลังมากถึงสองแสนชั่ง เพียงหมัดเดียวก็เอาชนะยอดฝีมือวรยุทธ์ขั้นเก้าทั่วไปได้!”
แววตาของหลงอวี้เต็มไปด้วยความมั่นใจ ในที่สุดเขาก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง
ในโลกที่วรยุทธ์คือทุกสิ่ง พลังคืออำนาจสูงสุดเช่นนี้ ระดับวรยุทธ์ขั้นเก้านั้นคือจุดสูงสุดของมนุษย์ธรรมดาแล้ว ส่วนขอบเขตที่เหนือกว่าวรยุทธ์เก้าขั้นขึ้นไป ขอบเขตที่สร้างิญญาแท้ขึ้นมาได้นั้น คือโลกของสำนักลัทธิและราชวงศ์ อยู่เหนือกว่าจินตนาการของมนุษย์ทั่วไปตั้งนานแล้ว
“หากสำเร็จกระบวนท่าหมัดสู่ปรภพถึงขั้นสูงได้ หนึ่งหมัดที่ชกจะสามารถจำลองเส้นทางสู่ปรภพได้ ทำให้คู่ต่อสู้ััถึงความตาย และสร้างความหวาดกลัวในจิตใจอย่างรุนแรง!”
หลงอวี้ตัดสินใจแล้วว่า จะใช้เวลาสี่วันต่อจากนี้ฝึกฝนวิชาหมัดสู่ปรภพให้บรรลุถึงขั้นสูง หากทำสำเร็จ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับเฟิงอวิ๋นเขาก็มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้
หากคิดจะทำให้ศัตรูััได้ถึงความตาย อย่างนั้นตัวเองก็ย่อมต้องลองตายดูก่อนอยู่แล้ว มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะสามารถแสดงอานุภาพสูงสุดของกระบวนท่าหมัดสู่ปรภพออกมาได้
ส่วนเื่ของความตายนั้น หลงอวี้เข้าใจอย่างลึกซึ้งจนไม่อาจลึกไปกว่านี้ได้ เพราะเมื่อชาติก่อนเขาเคยผ่านประสบการณ์เฉียดตายมานับร้อยพันครั้งจนเฉยชากับความเป็ความตายไปตั้งนานแล้ว!
ในความทรงจำที่บันทึกอยู่ในสัญลักษณ์ัปรภพที่หลงอวี้ได้เห็นก่อนหน้านี้ ต่อให้เป็คนของเผ่า ‘ผู้สืบทอดของั’ หากคิดจะบรรลุหมัดัปรภพขั้นสูงก็ต้องใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์ระยะเวลาหนึ่ง ต้องผ่านประสบการณ์เฉียดตายนับครั้งไม่ถ้วนก่อนถึงจะฝึกสำเร็จ
หลงอวี้นึกย้อนไปถึงประสบการณ์ต่างๆ เมื่อชาติก่อน มันก็ได้ทำให้เขาสามารถบรรลุกระบวนท่าหมัดสู่ปรภพได้อย่างรวดเร็วสุดขีด
เพียงสี่วันหลังจากนั้น เขาก็บรรลุกระบวนท่าหมัดสู่ปรภพขั้นสูงได้
หลงอวี้เพียงชกหมัดออกไปก็สามารถจำลองเส้นทางสู่ปรภพได้ ทำให้กลิ่นอายของโลกปรภพปกคลุมอีกฝ่าย สร้างความหวาดกลัวภายในจิตใจของศัตรูได้อย่างรุนแรง!
นอกจากนี้ เพียงหมัดเดียวก็มีพละกำลังมากกว่าสี่ร้อยแรงม้าพยศแล้ว ต่อให้เป็เฟิงอวิ๋นที่มีวรยุทธ์ขั้นเก้าก็ไม่มีทางรับมือไหว
“เพียงแต่หมัดัปรภพเป็ท่าไม้ตายที่ทรงพลังที่สุดของข้าในตอนนี้ หากไม่จวนตัวจริงๆ ไม่ใช้พร่ำเพรื่อก็คงจะดีกว่า”
หลงอวี้เข้าใจหลักการเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้เป็อย่างดี หากไม่จำเป็ต้องใช้หมัดัปรภพ เขาจะไม่เผยออกมาเด็ดขาด
จะฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดฆ่าโค?
ในที่สุดเวลาเจ็ดวันก่อนการประลองก็ล่วงเลยไป
“ได้เวลาประลองกับลูกศิษย์ระดับพิเศษอันดับที่หนึ่งร้อยแปดนั่นแล้ว”
หลงอวี้ลุกขึ้น ในที่สุดก็ออกจากกระท่อมไม้ไผ่ไป
......
ลัทธิสยบฟ้า ลานประลองยุทธ์
ลานประลองยุทธ์เป็สถานที่ที่ทางลัทธิจัดไว้ให้เหล่าลูกศิษย์สามารถใช้ต่อสู้ประลองยุทธ์กันได้ นอกจากนี้ การต่อสู้เพื่อเลื่อนขั้นเป็ลูกศิษย์ระดับสูงและขั้นพิเศษเองก็จัดขึ้นที่นี่เช่นกัน
ปกติแล้ว ลานประลองไม่ค่อยมีคนมาสักเท่าไร เพราะที่ตั้งของมันค่อนข้างห่างไกล ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงลูกที่สองของเทือกเขาสยบฟ้า ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปต้องออกแรงไม่น้อยกว่าจะขึ้นไปถึง
เพียงแต่วันนี้ ภายในลานประลองกลับมีเสียงพูดคุยของผู้คนดังอื้ออึง มีลูกศิษย์ของลัทธิสยบฟ้ามารวมกันที่นี่มากถึงหลักพันคน!
สาเหตุก็เพราะ วันนี้มีผู้ที่จะท้าประลองกับลูกศิษย์ระดับพิเศษอยู่ทั้งหมดสามคน หนึ่งในนั้นมีคนคิดจะท้าประลองกับลูกศิษย์ระดับพิเศษอันดับสิบเฟิงอวิ๋นด้วย!
สิบอันดับแรกของลูกศิษย์ระดับพิเศษนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงมานานนับครึ่งปีแล้ว ครั้งนี้ ผู้ท้าประลองจะทำสำเร็จหรือไม่?
นอกจากนี้ หลงอวี้และลูกศิษย์ระดับสูงหนึ่งคนที่ชื่อหลิงหานก็ได้ท้าประลองลูกศิษย์ระดับพิเศษอันดับที่หนึ่งร้อยแปดและหนึ่งร้อยเจ็ดตามลำดับ สามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้ไม่น้อย
สำหรับหลงอวี้นั้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดจะมาชมความพ่ายแพ้อันน่าสมเพชของเขา ตรงกันข้ามกับหลิงหานที่ยังมีคนคาดหวังอยู่ไม่น้อย
ถึงอย่างไรหลิงหานก็เคยสร้างชื่อในหมู่ลูกศิษย์ระดับสูงไว้ระดับหนึ่ง ไม่เหมือนหลงอวี้ที่เพิ่งเข้าลัทธิได้ไม่ทันไรก็หาเื่คนไปทั่ว แถมเขายังได้ไปอยู่กับผู้เฒ่าขาวและผู้เฒ่าดำจนไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นในลัทธิเลย
ท่ามกลางสายตาคาดหวังของผู้คนทั้งหมด มีชายหนุ่มชุดขาวที่ดูเคร่งขรึมเ็าคนหนึ่งเดินเข้ามายังลานประลอง
“หยางเทียนชั่ว ลูกศิษย์ระดับพิเศษอันดับที่สิบสาม เขามาแล้ว!”
“เป็หยางเทียนชั่วจริงๆ ด้วย เขานี่แหละที่จะประลองกับอันดับสิบเฟิงอวิ๋น!”
“เขาอยู่อันดับที่สิบสามมาเกือบหนึ่งปีแล้ว ที่ท้าประลองกับเฟิงอวิ๋นครั้งนี้ คงจะมีความมั่นใจพอตัว”
“นั่นก็ไม่แน่ เฟิงอวิ๋นนั้นเพิ่งจะได้วรยุทธ์ขั้นแปดก็สามารถขึ้นเป็อันดับที่สิบได้ เห็นได้ชัดว่ามีพร์มากแค่ไหน แถมตอนนี้ยังยกระดับขึ้นเป็ขั้นเก้าได้แล้วด้วย แข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก พลังที่แท้จริงของเขาคงเทียบกับพวกห้าอันดับแรกได้แล้ว”
“เ้าดูถูกลูกศิษย์ระดับพิเศษห้าอันดับแรกมากเกินไป พวกที่อยู่ในห้าอันดับแรกมีแต่ยอดฝีมือที่สร้างิญญาแท้ขึ้นได้แล้วทั้งนั้น แค่วรยุทธ์ขั้นเก้าอย่างเฟิงอวิ๋นจะไปสู้ได้อย่างไร”
ภายในลานประลองมีเสียงผู้คนพูดคุยถกเถียงกันดังอื้ออึง!
แต่กระนั้น หยางเทียนชั่วผู้เคร่งขรึมคนนั้นราวกับไม่ได้ยินเสียงของผู้คนเ่าั้ เขาสนใจแต่ย่างก้าวของตัวเอง เดินไปยังใจกลางของลานประลองอย่างนิ่งสงบและเยือกเย็น
พอมาถึงกลางลาน เขาก็เงยหน้า มองไปยังทิศทางหนึ่ง
“เฟิงอวิ๋น ข้ามาแล้ว”
เสียงพูดของหยางเทียนชั่วแฝงด้วยความเคร่งขรึมเ็า มาเร็วกว่าที่นัดประลองกับเฟิงอวิ๋นไว้ครู่หนึ่ง
“ฮ่าๆๆๆ!”
เสียงหัวเราะโอหังดังขึ้นจากฝั่งอัฒจันทร์ จากนั้นชายในชุดขาวคนหนึ่งก็มุ่งหน้ามาที่ใจกลางลานประลองอย่างสบายใจ
ชายผู้นี้ แม้จะหัวเราะอย่างอวดดี แต่ท่าร่างกลับดูพลิ้วไหวราวกับวิญญูชนผู้งามสง่า ไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย
เขาก็คือเฟิงอวิ๋น
นับั้แ่ตอนที่ถูกพลังสะท้อนกลับจากปราณแห่งปรภพของหลงอวี้ที่หอวิทยายุทธ์ เขาก็ได้รับาเ็ภายในจนต้องพักฟื้นอยู่สองเดือน
ตัวเขาในตอนนี้ ได้ก้าวขึ้นสู่วิถียุทธ์ขั้นที่เก้าแล้ว แข็งแกร่งกว่าเดิมไปอีกหนึ่งขั้น
“ไอ้สวะหลงอวี้ ข้าจะต้องบดขยี้เ้าเป็หมื่นๆ ชิ้นให้ได้”
พอนึกถึงความเ็ปทรมานตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เฟิงอวิ๋นก็เดือดดาลยากจะสงบใจ ถ้าดูจากสีหน้าภายนอกอาจมองไม่ออกว่าเขากำลังโมโหอยู่ เพราะเขากลับยังแย้มยิ้มออกมาอย่างสง่าผ่าเผย
ส่วนหลงอวี้ที่เฟิงอวิ๋นอยากจะฉีกเป็หมื่นๆ ชิ้นนั้น ตอนนี้ก็มองมาที่ลานประลองจากมุมหนึ่งของลานประลองนี้พร้อมกับหลิงหาน
“ลูกศิษย์ระดับพิเศษอันดับสิบ เฟิงอวิ๋น ปกติแทบจะไม่มีโอกาสได้เจอหน้าเขาเลยนะ”
หลิงหานหรี่ตาดูจากกลุ่มคนในลานประลอง
“พอดีเลย จะได้ดูหน่อยว่าหลังจากขึ้นสู่ขั้นเก้าได้แล้ว มันจะแข็งแกร่งขึ้นมากแค่ไหน”
หลงอวี้พยักหน้า
หากเฟิงอวิ๋นมีพลังเท่ากับตอนเจอที่หอวิทยายุทธ์เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ละก็ มั่นใจได้เลยว่าเฟิงอวิ๋นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่
แต่ ตอนนี้มันก้าวขึ้นสู่ขั้นเก้าแล้ว ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าตอนนั้นไม่น้อย
หยางเทียนชั่วและเฟิงอวิ๋น ชายชุดขาวสองคน คนหนึ่งดูเคร่งขรึมเ็า คนหนึ่งดูสูงศักดิ์สง่างาม เป็คู่ต่อสู้ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
คนหนึ่งเป็ลูกศิษย์ระดับพิเศษอันดับสิบสาม อีกคนอันดับสิบ การต่อสู้ระหว่างสองยอดฝีมือ กำลังจะเปิดฉากขึ้นท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมากที่กำลังจับจ้อง!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้