รุ่งขึ้น ฟู่ถิงเย่พาหวาชิงเสวี่ยกลับไปที่ค่ายชิงโจว
ฟู่ถิงเย่กับหวาชิงเสวี่ยมาถึงช้ากว่าเล็กน้อย ส่วนไห่ซื่อเซวียนกลับไปก่อนเพื่อส่งข่าว เมื่อทั้งสองคนมาถึง องค์รัชทายาทและเหล่าทหารก็รอคอยอยู่บนถนนใหญ่แล้ว
เมื่อนับดูอย่างละเอียด ฟู่ถิงเย่ก็ออกไปเพียงเจ็ดแปดวันเท่านั้น แต่ในค่ายทหารเมื่อไม่มีแม่ทัพก็เหมือนัไร้หัว เหล่าทหารต่างหวั่นวิตกทุกวัน กลัวว่าข่าวจะรั่วไหลออกไปกระทบขวัญกำลังใจ ตอนนี้เห็นฟู่ถิงเย่กลับมา ทุกคนต่างก็โล่งใจ!
โดยเฉพาะฉินเหลาอู่ น้ำตาแห่งความทุกข์ได้หลั่งออกมาจนหมดแล้วจริงๆ!
ในค่ายทหารตอนนี้ภายนอกดูเหมือนสงบ แท้จริงแล้วภายในร้อนระอุ! ทุกคนไม่พอใจอย่างยิ่งที่องค์รัชทายาทสั่งให้แม่ทัพไปช่วยสตรีที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าผู้หนึ่ง ต่างพูดกันว่าองค์รัชทายาทยังเด็กไม่รู้ความ!
แม่ทัพใหญ่เป็ตำแหน่งสำคัญ บัญชาการทหารนับแสน องค์รัชทายาทกลับบังคับให้แม่ทัพต้องไปเสี่ยงอันตรายเพราะเื่ส่วนตัว! จนติดอยู่ในเมืองเหรินชิว!
แม้เหล่าทหารไม่ได้พูดต่อหน้า แต่ลับหลังราวกับน้ำมันเดือดในกระทะ ทุกคนต่างแสดงความไม่พอใจออก
แน่นอนว่าความไม่พอใจนี้ ไม่ได้แสดงออกต่อองค์รัชทายาทโดยตรง เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็องค์รัชทายาท อีกทั้งอายุเพียงแปดขวบ ใครจะไปเอาจริงเอาจังกับเด็กอายุแปดขวบกัน?
สุดท้าย ความไม่พอใจทั้งหมดก็ตกอยู่ที่ฉินเหลาอู่ อาทิเช่น
“เ้าติดตามแม่ทัพมานานหลายปี เหตุใดถึงได้โง่งมเช่นนี้? ตอนที่องค์รัชทายาทสั่งการ เ้าควรจะอาสาออกไปช่วยเหลือแทนแม่ทัพสิ!”
หรือว่าเช่น
“องค์รัชทายาทอายุเพียงแปดขวบ เ้าปล่อยให้พระองค์ทำตามใจได้อย่างไร? หากเตือนแล้วไม่ได้ผล เ้าก็ควรจะลองหว่านล้อมสิ! อย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้แม่ทัพติดอยู่ที่เมืองเหรินชิวเช่นนี้!”
ส่วนหลี่จิ่งหนาน ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะรับมือได้ง่ายๆ ทุกวันต้องถามสามถึงห้าครั้งว่า “เหตุใดหวาชิงเสวี่ยถึงยังไม่กลับมาอีก?”
หรือว่า “แม่ทัพฟู่เก่งกาจขนาดนั้น แม้แต่สตรีตัวเล็กๆ คนเดียวก็ช่วยออกมาไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
หรือไม่ก็ “รองแม่ทัพฉิน เปิ่นเตี้ยนเซี่ยกระวนกระวายใจยิ่งนัก เ้าพอจะส่งคนไปเมืองเหรินชิวเพื่อหาทางออกได้หรือไม่?”
ฉินเหลาอู่: “...”
เขารู้สึกลำบากใจเหลือเกิน แต่เขาจะไม่พูดออกมา
หลี่จิ่งหนานควบม้าเข้ามา แล้วหัวเราะหวาชิงเสวี่ยที่แต่งกายเป็บุรุษเสียงดัง “แต่งตัวแบบนี้แปลกตาดี เป็อย่างไรบ้าง? ไม่มีเปิ่นเตี้ยนเซี่ยคอยดูแล เ้าต้องอยู่คนเดียวในเมืองคงจะกลัวจนหัวหดเลยสินะ?”
“...” มุมปากของหวาชิงเสวี่ยกระตุกเล็กน้อย “องค์รัชทายาท ไม่ได้เจอกันนานยังสบายดีเหมือนเดิมสินะเพคะ”
ยังคงเย่อหยิ่งเช่นเคย
จื่อฮุยเชียนซื่อที่อยู่ด้านหลังจูงม้าสองตัวมาด้วยตัวเอง ยิ้มแย้มต้อนรับฟู่ถิงเย่ พูดซ้ำๆ ว่า “แม่ทัพ เชิญขึ้นม้าขอรับ เชิญขึ้นม้าขอรับ...”
ฟู่ถิงเย่ประคองหวาชิงเสวี่ยขึ้นหลังม้า รอให้นางนั่งอย่างมั่นคงแล้ว เขาก็พลิกตัวขึ้นม้าตาม
หวาชิงเสวี่ยหันไปมองฟู่ถิงเย่ด้วยสีหน้า “?!!”
ไม่ใช่ว่ามีม้าอีกตัวหรือ?
ฟู่ถิงเย่เหมือนเห็นความคิดของนาง จึงถามเสียงต่ำ “เ้าขี่ม้าเป็หรือ?”
หวาชิงเสวี่ย: “...”
เอาเถอะ...ขี่ไม่เป็จริงๆ
หวาชิงเสวี่ยหันกลับไปอย่างเก้อเขิน พูดเบาเหมือนเสียงยุง “ถ้าเช่นนั้นขอรบกวนท่านแม่ทัพด้วย...”
หลี่จิ่งหนานไม่ได้คิดอะไรมาก ควบม้าไปข้างหน้า และเร่งเร้า “เรากลับค่ายกันเถอะ! หวาชิงเสวี่ย ข้ามีของจะให้เ้าดู! ไป กลับกันเถอะ…”
หวาชิงเสวี่ยฝืนยิ้มออกมา
องค์รัชทายาท ท่านดูท่าทางของข้าสิ...เหมือนคนควบคุมความเร็วได้หรือ?
ฟู่ถิงเย่ดึงบังเหียน ขยับขาเล็กน้อย ม้าที่อยู่ข้างใต้ก็วิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
หวาชิงเสวี่ยนั่งอยู่ด้านหน้า หดคอเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงความทรมานจากเคราของเขา...
หลังจากที่ม้าสองตัววิ่งผ่านหน้าทุกคนไป
เหล่าทหาร: “...”
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีคนถามว่า “พวกเ้าเคยเห็นแม่ทัพขี่ม้ากับคนอื่นหรือไม่?”
ทุกคนพากันเงียบ
ทหารนายหนึ่งเข้าไปใกล้ฉินเหลาอู่แล้วถามว่า “เหลาอู่ เ้าบอกพวกเราเหล่าพี่น้องมาตามตรงเถอะ แม่นางหวานี่...เป็ใครกันแน่?”
ฉินเหลาอู่ถึงกับสับสนมึนงงไปชั่วขณะ!
อะไรกันเนี่ย! ไม่กี่วันที่ข้าไม่อยู่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?!
...
เมื่อมาถึงค่ายแล้ว ฟู่ถิงเย่ก็ไปที่กระโจมบัญชาการของตนเองเพื่อปรึกษาหารือกับเหล่าทหาร เขาไม่ได้กลับมาหลายวัน จึงต้องสอบถามสถานการณ์ในค่ายด้วยตนเอง
ส่วนหลี่จิ่งหนานก็แทบจะอดรนทนไม่ไหวรีบพาหวาชิงเสวี่ยไปยังที่พักของตน
เขาหยิบซองจดหมายชูขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ ยื่นไปตรงหน้าหวาชิงเสวี่ย “ลองทายดูสิ ข้างในนี้มีอะไร?”
หวาชิงเสวี่ยมองซองจดหมายที่อยู่ตรงหน้าอย่างแคลงใจสงสัย มันบางเบา จนดูไม่ออกว่ามีอะไรอยู่ข้างใน...
ตามปกติแล้ว ข้างในซองจดหมายก็ต้องมีจดหมายอยู่แล้ว แต่หลี่จิ่งหนานจะเขียนจดหมายให้นางหรือ?
“หรือว่าจะเป็...ตั๋วเงิน?” หวาชิงเสวี่ยลองถามอย่างระมัดระวัง
นางคิดว่าตนเองก็ดีกับหลี่จิ่งหนานพอสมควร ดังนั้น หากหลี่จิ่งหนาน้าแสดงความขอบคุณ โดยการให้เงินนางสักเล็กน้อยละก็...
“ช่างตื้นเขินนัก!” หลี่จิ่งหนานพูดด้วยสายตาดูถูก “ช่างเถอะ เ้าเปิดดูเองก็แล้วกัน!”
ที่แท้ก็ไม่ใช่สินะ…
หวาชิงเสวี่ยเม้มปากอย่างไม่ใส่ใจ ขยับมือเปิดซองจดหมาย ดึงกระดาษแข็งออกมาจากข้างในแผ่นหนึ่ง
้าของกระดาษเขียนชื่อของนาง ด้านซ้ายมีตัวอักษรมากมาย และด้านล่างมีการประทับตราสีแดงสด
หวาชิงเสวี่ยดูไปดูมาหลายรอบ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่านี่...คงจะเป็ของที่เหมือนกับบัตรประจำตัว!
ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้ม มองไปที่หลี่จิ่งหนานอีกครั้ง เด็กน้อยกำลังยืดอกเชิดหน้า ราวกับกำลังรอให้นางชมเชย!
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาท” หวาชิงเสวี่ยทำตามที่เขา้า ค้อมคำนับอย่างนอบน้อมตามธรรมเนียมปฏิบัติของคนท้องถิ่น
หลี่จิ่งหนานรู้สึกพอใจมาก ชี้แนะนางว่า “มีสิ่งนี้แล้ว เ้าสามารถไปตั้งรกรากที่เมืองใดก็ได้ แน่นอนว่า หากเป็เมืองหลวงอย่างเมืองเซิ่งจิงก็จะยุ่งยากหน่อย แต่ถ้าหากเ้าติดตามเข้าวังไปกับข้า ของสิ่งนี้ก็แทบจะไม่มีประโยชน์...”
หวาชิงเสวี่ยส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ข้าจะหาเมืองที่ค่อนข้างสงบในบริเวณใกล้เคียงนี้ และใช้ชีวิตที่นั่นไปก่อนอีกสักพัก หากไม่มีอะไรผิดพลาด ข้าอาจจะตั้งรกรากที่นั่นเลย…”
“เมืองที่อยู่ใกล้ที่นี่ เหมือนจะมีแค่เมืองผานสุ่ย…” ในฐานะที่หลี่จิ่งหนานเป็องค์รัชทายาท จึงคุ้นเคยกับภูมิศาสตร์ของแคว้นต้าฉีเป็อย่างดี
หวาชิงเสวี่ยพยักหน้าทันที “จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าอาจจะไปดูที่เมืองผานสุ่ยก่อน”
การคมนาคมในยุคโบราณไม่สะดวก การเดินทางไกลจึงเป็เื่ยากยิ่ง นางเป็สตรีอ่อนแอ ทั้งยังขี่ม้าก็ไม่เป็ การเดินทางไกลจึงยิ่งยากลำบาก ดังนั้น หากจะพักอาศัยชั่วคราว แน่นอนว่าต้องเลือกเมืองที่ใกล้ที่สุด
หลี่จิ่งหนานมีสีหน้าผิดหวัง “เ้าไม่กลับเมืองหลวงกับข้าจริงหรือ? ไม่คิดดูให้ดีอีกครั้งหน่อย? ไปเมืองเซิ่งจิงแล้ว ข้าจะขอให้เสด็จพ่อแต่งตั้งเ้าเป็ขุนนางหญิง สบายกว่าอยู่ที่นี่เยอะ”
“ขอบพระทัยในความกรุณาขององค์รัชทายาทเพคะ” หวาชิงเสวี่ยพูดด้วยความเคารพ แต่นางกลับไม่ยั้งมือไว้ ลูบหัวหลี่จิ่งหนานราวกับกำลังปลอบเด็ก “ข้าอยู่บ้านนอกมานานจนเคยชินแล้ว หากไปเมืองเซิ่งจิงที่เป็เมืองหลวงคงจะกลายเป็ตัวตลก บางทีหากมีโอกาสก็อาจจะไปในวันข้างหน้า…ตอนนั้นองค์รัชทายาทคงจะสูงขึ้น และโตกว่าตอนนี้แล้ว…”
“นี่! ห้ามลูบหัวบุรุษ!” ใบหน้าเล็กๆ ของหลี่จิ่งหนานบูดบึ้ง เขาปัดมือของนางออก “ไม่มีมารยาท!”
“เ้าค่ะ เ้าค่ะ ไม่ลูบแล้ว” หวาชิงเสวี่ยยิ้ม ไม่กลัวเขาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับชายเคราเฟิ้มที่พูดจาหยาบคายตลอดเวลา เ้าซาลาเปาน้อยนุ่มนิ่มผู้นี้ก็ดูน่ารักกว่าเยอะ
แต่อย่างไรก็ตาม หลี่จิ่งหนานมีฐานะเป็องค์รัชทายาท หากอยู่ที่นี่ต่อไปจะไม่เป็ไรจริงหรือ?
หวาชิงเสวี่ยถาม “เ้าจะกลับเมืองหลวงเมื่อใด?”
หลี่จิ่งหนานนิ่งไปครู่หนึ่ง ตอบว่า “คงจะภายในสองสามวันนี้กระมัง ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเ้ากลับมา เปิ่นเตี้ยนเซี่ยมีน้ำใจ แน่นอนว่าจะทิ้งเ้าไว้ไม่ได้! หากข้าไม่อยู่ เ้าพวกนั้นอาจจะทำเป็หูทวนลมไม่ฟังคำสั่งของข้าก็ได้!”
หวาชิงเสวี่ยหัวเราะออกมา “แม่ทัพฟู่เป็คนรักษาคำพูด ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”
หลี่จิ่งหนานยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “ใช่ ข้าถึงให้เขาไปช่วยเ้า หากเป็คนอื่นข้าไม่อาจวางใจได้!”
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกอับจน…
ที่แท้ก็เป็เพราะเหตุผลนี้หรือ? แต่องค์รัชทายาท เ้าไม่รู้สึกเลยหรือว่า...การให้แม่ทัพใหญ่ทำเื่แบบนี้ มันดูสิ้นเปลืองความสามารถไปหน่อย?
มีเสียงะโคำขวัญของเหล่าทหารดังอย่างเป็ระเบียบมาจากนอกกระโจม หวาชิงเสวี่ยกับหลี่จิ่งหนานหันหน้าไปมองพร้อมกัน
ค่ายชิงโจวอยู่ภายใต้การดูแลของฟู่ถิงเย่ ทั้งค่ายมีระเบียบวินัยเคร่งครัด เหล่าทหารฝึกฝนอย่างเข้มงวด มองไปทางไหนก็รู้สึกถึงความฮึกเหิม
หลี่จิ่งหนานยังคงเป็เด็ก ขมวดคิ้ว พลางบ่น “ที่นี่เสียงดังทุกวันเลย”
แต่หวาชิงเสวี่ยกลับคิดว่า นางเป็สตรีผู้หนึ่ง การอาศัยอยู่ที่นี่คงจะไม่สะดวกนัก…
เขตทหาร ห้ามสตรีเข้าไม่ใช่หรือ?
ที่แม่ทัพฟู่ช่วยนางออกมาก็เพราะเป็คำสั่งขององค์รัชทายาท ตอนนี้นางพ้นอันตรายแล้ว ไม่จำเป็ต้องอยู่ที่นี่ต่อ ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปเมืองเซิ่งจิงกับองค์รัชทายาท เช่นนั้น...ตอนนี้นางสามารถไปได้แล้วหรือยัง?
“แค่มีสิ่งนี้ ข้าก็สามารถไปตั้งรกรากที่เมืองผานสุ่ยได้แล้วใช่หรือไม่?” หวาชิงเสวี่ยถือกระดาษไว้ในมือแล้วถามอีกครั้ง
หลี่จิ่งหนานพยักหน้า “แน่นอน! นอกจากเมืองเซิ่งจิงแล้ว ที่อื่นๆ ก็ไม่มีปัญหา แค่เมืองผานสุ่ยเล็กๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
หวาชิงเสวี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เช่นนั้น...ตอนนี้หากข้าไปขอให้แม่ทัพจัดคนพาข้าไปส่งที่เมืองผานสุ่ย เ้าว่าท่านแม่ทัพจะเห็นด้วยหรือไม่?”
หลี่จิ่งหนานพูดอย่างหยิ่งยโส “หากเขาไม่ยอม ข้าจะออกราชโองการ!”
“...” หวาชิงเสวี่ยรู้สึกอับจนกับองค์รัชทายาทน้อยอีกครั้ง “เื่เล็กน้อยแค่นี้...ไม่ต้องออกราชโองการก็ได้กระมัง?”
“ทำไมล่ะ?” หลี่จิ่งหนานไม่เข้าใจ “ข้าเป็กษัตริย์ เขาเป็ขุนนาง ข้าออกราชโองการสั่งให้เขาทำงานไม่ใช่เื่ปกติหรือ?”
หวาชิงเสวี่ยพูดอย่างระมัดระวัง “แค่เื่เล็กน้อย ไม่น่าพูดถึงด้วยซ้ำ ข้าไปถามก็พอแล้ว หากทำให้เป็เื่ใหญ่โตกลับกันจะทำลายมิตรภาพระหว่างกษัตริย์กับขุนนางไปเปล่าๆ”
หลี่จิ่งหนานขมวดคิ้ว ราวกับกำลังครุ่นคิด “ที่เ้าพูดก็ฟังดูมีเหตุผล…”
หวาชิงเสวี่ยมองออกไปข้างนอก “ถ้าอย่างนั้นข้าไปคุยกับแม่ทัพฟู่ก่อน บางทีท่านแม่ทัพอาจจะมีแผนอยู่แล้ว สตรีดังเช่นข้าอยู่ในค่ายทหารอย่างไรก็ดูไม่ดีนัก”
“อืม ข้าจะไปกับเ้า” หลี่จิ่งหนานเดินตามออกไปข้างนอก
หวาชิงเสวี่ยรีบดึงเขาไว้ “ไม่ต้องหรอก! ข้าไปพูดเองก็พอ! องค์รัชทายาทมีฐานะสูงส่ง ควรอยู่ในกระโจมจะดีกว่า!”
โอ้์ หากนางพาหลี่จิ่งหนานไปด้วย ไม่เท่ากับเป็การออกราชโองการจริงๆ หรือ? ทั้งยังเป็ราชโองการที่รับสั่งออกมาด้วยวาจาอีก!
มันจะไม่ดูน่ารังเกียจเกินไปหน่อยหรือ! ชายเคราเฟิ้มผู้นั้นก็ไม่ชอบขี้หน้านางอยู่แล้ว อย่าไปเติมเชื้อไฟเลยดีกว่า!
ตอนที่หวาชิงเสวี่ยมาถึง นางเดินผ่านกระโจมบัญชาการ ดังนั้นจึงจำทางได้ แต่หน้ากระโจมบัญชาการมีทหารยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก นางไม่กล้าฝ่าฝืน จึงพยายามทำท่าทางเคารพนอบน้อม กล่าวว่า “ข้าอยากจะพบแม่ทัพฟู่...”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกอีกฝ่ายขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเ็า “แม่ทัพกำลังปรึกษาหารือ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า!”
หวาชิงเสวี่ยสำลัก ชั่วขณะนั้นเกิดความรู้สึกไม่คุ้นเคย…
ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในบ้านเดียวกัน เจอกันทุกวัน เหตุใดตอนนี้อยากจะเจอหน้ากันครั้งหนึ่ง กลับยากเย็นเช่นนี้?
ความแตกต่างมันชัดเจนมาก
นางรู้สึกผิดหวัง หมุนตัวเตรียมจะจากไป แต่จื่อฮุยเชียนซื่อที่จูงม้าให้เมื่อครู่ตาไวเห็นเข้าเสียก่อน!
อีกฝ่ายมั่นใจว่าหวาชิงเสวี่ยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับแม่ทัพ จึงรีบยิ้มแย้มต้อนรับ กล่าวว่า “แม่นางหวามาแล้ว เ้า...อยากจะพบแม่ทัพฟู่หรือ?”