เช้าวันต่อมา หลังจากตื่นนอนเซี่ยโม่คิดจะขึ้นเขาไปตัดหญ้าแห้วหมูเพื่อนำไปแลกแต้มการทำงาน ครั้นเปิดประตูออกมากลับพบว่า ที่หน้าประตูมีตัวอะไรบางอย่างวางกองอยู่
พอเพ่งมองให้ดี สิ่งนั้นคือกวางยองที่ตายแล้วตัวหนึ่ง
เธอเข้าไปสำรวจ พบว่าตรงคอมีรอยเขี้ยวแหลมคม
แล้วเธอก็นึกอะไรออก แถวนี้ไม่มีใครอยู่พอดี เธอเลยรีบอุ้มซากกวางยองเข้าไปในบ้าน
น้ำหนักของมันราวยี่สิบห้าถึงสามสิบกิโลเห็นจะได้ ตัวอวบอ้วนน่าดู เนื้อตัวยังคงนิ่มอยู่ คาดว่าเพิ่งตายได้ไม่นาน
เธอล้มเลิกความคิดที่จะไปเก็บหญ้าแห้วหมู เอาตะกร้าที่สะพายอยู่บนหลังลง จากนั้นไปจัดการถลกหนังแล่เนื้อกวางยองแทน
แน่นอนว่าเธอตัดเนื้อส่วนที่มีรอยเขี้ยวทิ้งไป
เซี่ยโม่นำกระดูกที่มีเนื้อติดอยู่เล็กน้อยไปล้างน้ำจนสะอาด ก่อนจะเอาไปต้มในหม้อ ส่วนนี้เป็แหล่งของแร่ธาตุแคลเซียมเชียวนะ
ที่บ้านเธอมีทั้งคนชราและเด็ก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็วัยที่้าแคลเซียมบำรุงร่างกาย หากเคี่ยวกระดูกได้ที่แล้ว เธอจะใส่เห็ดตากแห้งลงไปด้วย รสชาติต้องดีมากเป็แน่
ด้วยความที่กลัวจะกินไม่ทัน เธอจึงเอาเนื้อที่แล่เรียบร้อยแล้วสองชิ้นใหญ่เข้าไปเก็บในโกดังสินค้า
ขณะกำลังทำความสะอาดห้องครัวอยู่นั้น คุณยายที่เดินเข้ามาพลันตาโตก่อนจะถามอย่างสงสัย “นี่อะไรเนี่ย เมื่อเช้าหลานออกไปล่าสัตว์มาเหรอ”
เธอตอบเสียงไม่ดังนัก “คุณยายคะ หนูเปล่านะคะ ตอนกำลังจะออกจากบ้าน หนูเห็นซากกวางยองโดนกัดตายวางอยู่หน้าบ้าน แม่ของเสี่ยวเฮยน่าจะเอามาวางไว้ให้ค่ะ”
“มันคงตอบแทนพวกเราน่ะ หายากจริงๆ สัตว์ที่มีความกตัญญูแบบนี้” คุณยายกล่าวพลางถอนใจ
“คุณยายคะ ต่อไปหนูจะตื่นให้เช้ากว่านี้ หนูว่าแม่ของเสี่ยวเฮยต้องเอาอาหารมาวางที่หน้าบ้านพวกเราอีกแน่ รีบตื่นขึ้นมาเก็บ จะได้ไม่ถูกใครแย่งเอาไป”
คุณยายพยักหน้าเห็นด้วย “ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ยายตื่นเอง หลานนอนให้สบายเถอะ วางใจได้เลย”
“คุณยาย ตอนแรกเช้านี้หนูกะว่าจะขึ้นเขาไปเก็บหญ้าแห้วหมู แต่ตอนจะออกจากบ้านเจอกวางยองตัวนี้เสียก่อน หนูเลยเลื่อนไปพรุ่งนี้แทน อยู่ดีๆ คุณยายจะมาแย่งงานหนูได้ยังไงคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด
“หลานขยันเกินไปแล้ว ยังคิดจะไปเก็บหญ้าแห้วหมูอีกเหรอ”
“หนูอยากสะสมแต้มการทำงานให้ได้เยอะๆ คุณตากับคุณยายจะได้ไม่ต้องลำบากไงคะ”
“ตากับยายชินแล้ว ว่าแต่เราคิดจะเอาเนื้อกวางพวกนี้ไปทำอะไร”
“เนื้อกวางเป็ของดี หนูเลยคิดว่าจะเก็บเอาไว้กินครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งจะฝากให้พี่ซ่งเอาไปขายค่ะ” เธอตอบ
“จะสะดวกเหรอ หลานอย่าไปสร้างเื่ให้เขาเชียว” ผู้เป็ยายถามด้วยความเป็ห่วง
เธอทราบดีว่าคำพูดคุณยายหมายถึงอะไร ยุคนี้ไม่อนุญาตให้มีการค้าขาย ไม่แปลกหากคุณยายจะกังวล
เธออธิบายอย่างใจเย็น “ที่ทำงานพี่ซ่งมีพนักงานหลายคน และพี่ซ่งก็รู้จักคนเยอะ ให้พี่เขาช่วยเอาไปขายให้คนที่ทำงานคนละไม่กี่กิโลไม่เป็ไรหรอกค่ะ ส่วนพวกเราก็ได้เงินมาใช้ ได้ประโยชน์ทั้งคู่”
“หลานนี่ทำอะไรรอบคอบ งั้นก็เอาตามนี้ก็แล้วกัน” คุณยายพยักหน้ารับรู้
คุณตาตื่นนอนในเวลาต่อมา หลังจากนั้นไม่นานคุณปู่จ้าวก็มาถึงบ้าน
พอเห็นเนื้อกวางยองต่างยิ้มแก้มปริ ไม่นานน้ำแกงกระดูกกวางก็ได้ที่
ทุกคนซดน้ำแกงสีขาวน้ำนมที่กำลังร้อนและหอมกรุ่น ในน้ำแกงมีเห็ดที่ต้มจนนิ่มกำลังพอเหมาะ ทั้งสองอย่างเข้ากันได้เป็อย่างดี
“ไม่เลวเลย กินน้ำแกงร้อนๆ ทั้งยังมีกระดูกให้แทะ ร่างกายรู้สึกสบายขึ้นมาก กวางยองเป็กวางชนิดหนึ่งซึ่งมีประโยชน์มากทีเดียว” คุณปู่จ้าวเอ่ยชมพร้อมยิ้มกว้าง
“อาจารย์คะ ไว้ถ้ามีเวลาหนูจะเอาหัวและขาของมันไปต้มกับน้ำแกงที่ยังเหลืออยู่ ใส่น้ำเพิ่มอีกนิด มีพอให้กินไปอีกสองวันเลยค่ะ” เซี่ยโม่ยิ้ม เื่อาหารการกินของคนในครอบครัวเธอคิดเผื่อไว้เสมอ
คุณปู่จ้าวยิ้มตาหยีจนกลายเป็เส้นตรง “คนล้วนพูดกันว่า คนเราทำดีย่อมได้ดี แม่ของเสี่ยวเฮยคงให้กวางตัวนี้เพื่อตอบแทนสินะ”
“ไม่รู้ว่าป่านนี้เสี่ยวเฮยจะเป็ยังไงบ้าง ป่านนี้คงจะโตขึ้นไม่น้อย” นึกถึงเ้าลูกหมาป่าขึ้นมาคุณยายก็นึกเป็ห่วงพลางถอนหายใจ
“คุณยาย มันอยู่กับแม่มันต้องมีความสุขแน่นอนค่ะ คุณยายไม่ต้องเป็ห่วงมันหรอกค่ะ” เซี่ยโม่มั่นใจว่าเป็แบบนั้น
“ก็จริงนะ”
หลังจากทุกคนรับประทานมื้อเช้าเสร็จ เหล่าจ้าวก็ไปประจำการที่โรงตรวจ
ขณะที่เซี่ยโม่กำลังจะพาน้องชายไปส่งโรงเรียน บริเวณหน้าบ้านพลันมีเสียงกระดิ่งของจักรยานดังขึ้นเสียก่อน
เธอมองออกไป ที่แท้คือพี่ซ่งนั่นเอง ด้านหลังคือชายหนุ่มสองคนที่เธอไม่คุ้นหน้า
ชายหนุ่มทั้งสองคนมีผิวสีน้ำตาลเข้ม ท่าทางเหมือนคนที่เกิดในตระกูลชาวนา
ทั้งคู่ขี่จักรยานมาเช่นเดียวกับพี่ซ่ง
“พี่ซ่ง พวกเขาคือ?”
ซ่งมู่ไป๋สวมชุดทำงานที่ซักจนสีขาวซีด เครื่องหน้าของเขาคมคาย จมูกโด่งเป็สัน แววตาเป็ประกายคล้ายกับดวงดาวภายใต้เรียวคิ้วดกหนากำลังจ้องมองมาที่เธอ
“โม่โม่ ฉันเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าจะพาเพื่อนมาช่วยตัดฟืน ที่มาตอนนี้เพราะเดาว่าเธอน่าจะยังไม่ไปโรงเรียน วันนี้ฉันขอแลกเวรกับเพื่อนไว้ แล้วก็ลากเพื่อนมาช่วยด้วยสองคน”
สมกับเป็พี่ซ่ง ยึดมั่นตามที่พูดไว้ เดิมทีเธอนึกว่าพี่ซ่งจะพาพี่พั่งจื่อกับพี่โซ่วจื่อมาช่วยเสียอีก
แต่พอเห็นว่าเป็คนอื่นก็รู้สึกโล่งใจ ไม่รู้ว่าที่เธอรู้สึกแบบนี้เป็เพราะกลัวว่าพี่ทั้งสองคนนั้นจะทำไม่เป็ หรือกลัวพวกเขาจะบอกเื่ที่เคยฝากของไปขายให้พี่ซ่งรับรู้กันแน่
คิดดูแล้วน่าจะเป็อย่างหลังมากกว่า
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ถามออกไป ก่อนจะเชิญทั้งสามคนเข้าบ้านอย่างกระตือรือร้น “พวกพี่กินข้าวเช้ามาหรือยังคะ ตอนเช้าฉันทำน้ำแกงกระดูกกวางใส่เห็ด ในหม้อยังพอมีอยู่ จะกินสักหน่อยมั้ยคะ”
“ตอนเช้าพวกเรากินแค่ขนมมา กินสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
ซ่งมู่ไป๋ไม่เกรงใจ เดินไปตักน้ำแกง หยิบซอสเนื้อ และแป้งหมัว[1]มานั่งกิน
เธอเห็นว่าสายแล้วจึงเอ่ยว่า “พี่ซ่งคะ พวกพี่กินกันตามสบายนะคะ ฉันไปส่งน้องชายที่โรงเรียนก่อน ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมาค่ะ”
“ไปเถอะ ที่นี่มีฉันอยู่ ไม่ต้องห่วง”
“ค่ะ”
ในที่สุดพี่ซ่งก็พาเพื่อนมาช่วยตัดฟืนสักที เธอจะได้ใช้โอกาสนี้เอาฟืนที่เก็บอยู่ในโกดังสินค้าออกมา
มีคนมาเยือนบ้านเช่นนี้ เนื้อกวางที่ตั้งใจว่าจะเอาไปขาย คงต้องแบ่งออกครึ่งหนึ่งมาทำอาหารก่อน ตอนเที่ยงเธอจะทำกวางตุ๋นหม้อใหญ่ หากเหลือถึงตอนเย็นค่อยนำไปสับทำเป็ไส้เกี๊ยว
คนเขาอุตส่าห์มีน้ำใจมาช่วย เธอก็ต้องต้อนรับขับสู้ให้ดี
หลังจากเซี่ยโม่ส่งน้องชายเรียบร้อยและกลับมาถึงบ้าน เธอชวนชายหนุ่มพูดคุยพร้อมแย้มยิ้ม “พี่ซ่ง พวกพี่มาวันนี้ดีเลยค่ะ เมื่อเช้ามีซากกวางยองที่ตายแล้วมาวางกองอยู่หน้าบ้าน ตอนเที่ยงเดี๋ยวฉันทำเนื้อกวางตุ๋น แล้วตอนเย็นค่อยทำเกี๊ยวดีไหมคะ”
“กวางไม่ใช่สัตว์ที่จะล่ามาได้ง่ายๆ มีคนในบ้านขึ้นเขาไปจับมาเหรอ อย่าบอกนะว่าเป็เธอ” ซ่งมู่ไป๋ถามกลับ
“ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้นสักหน่อย” เด็กสาวส่ายหน้า
พอเห็นว่าเพื่อนที่มากับพี่ซ่งไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย เธอเลยเล่าเื่แม่ของเสี่ยวเฮยให้ฟัง
ชายหนุ่มมีสีหน้าตกตะลึง “โม่โม่ เธอนี่โชคดีจริงๆ มันถึงขนาดเอาสัตว์ที่ล่าได้มาวางไว้ให้ถึงหน้าบ้าน”
“ก็แค่โชคดีน่ะค่ะ” เด็กสาวยิ้มพลางกล่าวถ่อมตัว
ถึงกระนั้นชายหนุ่มไม่วายกำชับอย่างเป็ห่วง “เื่นี้อย่าได้เอาไปบอกใครเชียว ไม่งั้นเดี๋ยวจะมีปัญหาตามมาทีหลัง”
เธอพยักหน้ารับรู้ “พี่ซ่ง ฉันบอกเื่นี้เฉพาะคนในบ้านเท่านั้นแหละค่ะ”
ซ่งมู่ไป๋ได้ยินเช่นนั้นก็คลี่ยิ้ม เขายื่นมือไปลูบศีรษะเด็กสาวพลางเอ่ยเย้า “เธอนี่ดีจริงๆ ที่ยังไม่ลืมว่าฉันเป็คนในครอบครัวเธอ”
เซี่ยโม่รับรู้ได้ถึงััอ่อนโยนจากมือใหญ่ ขณะที่เธอกำลังจะเอี้ยวศีรษะออก ััอันอ่อนโยนนั้นกลับหายไปเสียก่อน
เซี่ยโม่มองนิ้วมือทั้งสิบของชายหนุ่มนิ่ง แต่ละนิ้วเรียวยาว ตรงข้อเป็สีขาว ดูมีเรี่ยวแรงมหาศาล
นึกถึงภาพสเกตช์รูปมือผู้ชายที่เคยดูเมื่อชาติที่แล้ว ไม่เห็นจะดูดีเหมือนมือคู่นี้เลย
ซ่งมู่ไป๋รับรู้ได้ถึงสายตาของเด็กสาวที่จ้องมองมา ก่อนเอ่ยถามด้วยท่าทางไม่เป็ธรรมชาติ “มัวมองอะไร พวกเรารีบขึ้นเขาไปตัดฟืนกันเถอะ”
เธอหน้าแดงพร้อมดึงสายตากลับอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเปลี่ยนไปพูดเื่อื่น “ูเาที่ฉันไปบ่อยๆ ่นี้ไม่มีฟืนให้เก็บแล้ว ไปเขาอีกลูกที่อยู่ด้านข้างดีไหมคะ ได้ยินว่าบนนั้นมีซากต้นไม้เก่าๆ ที่ใช้ทำฟืนได้เต็มไปหมดเลย”
“เอาสิ แล้วแต่เธอเลย” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เป็ครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าเสียงของพี่ซ่งก็น่าฟังดีเหมือนกัน น่าฟังพอๆ กับเสียงของคนจัดรายการวิทยุในชาติที่แล้วเลย
---------------------------------
[1] แป้งหมัว อาหารซึ่งทำจากแป้ง มีลักษณะกลม ตรงกลางผ่าซีกสำหรับใส่ไส้