ซย่านีได้ไตร่ตรองเื่นี้ไว้แล้ว เธอกล่าวกับน้องสาวว่า “เธอบอกพ่อกับแม่ไปว่าพี่จะจ่ายค่าเดินทางมาปักกิ่งให้เธอเอง แล้วก็จะจ่ายเงินชดเชยให้ที่บ้านทุกเดือนด้วยถือว่าเป็ค่าที่เธอไม่ได้อยู่ช่วยงานที่บ้านนะ”
พอได้ยินซย่านีพูดเช่นนี้ ซย่าซานนีก็มองเห็นความหวังที่จะได้ไปปักกิ่งขึ้นมาทันที เธอรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก “ได้ ฉันจะกลับไปพูดกับพ่อแม่ดูนะจ้ะ”
ซย่านีกล่าวต่อ “เธอกลับไปถามพ่อกับแม่ตอนนี้เลยนะ ถ้าให้ดีที่สุดคือเธอไปซื้อตั๋วมาปักกิ่งวันนี้เลย”
“เอ๊ะ? รีบร้อนปานนี้เชียว?”
ซย่านีกล่าวในใจ ‘ก็ใช่น่ะสิ ที่บ้านมีเด็กอยู่ตั้งสามคนเชียวนะ โดยเฉพาะลูกคนเล็กที่ไม่อาจปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ เมื่อไม่มีคนช่วยดูแลลูกต่อให้ในหัวของเธอจะมีวิธีหาเงินอยู่มากมายเพียงใด ก็ไม่อาจลงมือได้สักที’
ซย่านีเอ่ยกับน้องสาวต่อ “เดี๋ยวพี่จะส่งเงินให้เธอเดี๋ยวนี้เลย ตอนบ่ายเธอค่อยเอาบัตรประจำตัวไปยื่นที่ทำการไปรษณีย์เพื่อรับมันนะ แล้วก็ไปซื้อตั๋วที่สถานีรถไฟ เธอเตรียมเสื้อผ้ามาแค่นิดหน่อยก็พอไม่ต้องเอาอะไรติดตัวมาเยอะหรอก ตอนมาถึงปักกิ่งแล้ว หากเธอขาดเหลืออะไรเดี๋ยวพี่ค่อยซื้อให้เธอเอง” ซย่านีหยุดพูดไปแว็บหนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ “เธอกล้านั่งรถไฟมาคนเดียวไหม?”
ซย่าซานนีพยักหน้ารัวๆ จากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองกำลังคุยโทรศัพท์อยู่เพราะงั้นซย่านีคงมองไม่เห็นท่าทางของเธอ เธอเลยกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว “กล้า ฉันกล้าจ้ะ!”
ซย่านีกล่าว “ได้ ถ้าเธอตัดสินใจดีแล้วว่าจะมาที่นี่ ก็อย่าลืมส่งโทรเลขมาให้พี่นะ บอกเวลาเที่ยวรถที่จะถึงปักกิ่งให้พี่ด้วย พี่จะได้ไปรับเธอที่สถานีรถไฟถูก”
ซย่าซานนีกล่าว “ได้ ได้จ้ะพี่”
หลังจากอธิบายทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซย่านีก็สังเกตเห็นว่าคนข้างหลังตนเองดูเหมือนจะเริ่มอดทนรอไม่ไหวแล้ว เธอจึงรีบกล่าวลาซย่าซานนีแล้ววางสายพร้อมกับเดินไปจ่ายเงินทันที
การโทรศัพท์ทางไกลในยุคนี้จะถูกเรียกเก็บค่าบริการตามระยะเวลา อีกทั้งราคาก็ไม่ได้ถูกเลยสักนิด ซย่านีโทรศัพท์เป็เวลานานจึงต้องจ่ายเงินหลายหยวนเลยทีเดียว
จากนั้นเธอก็ควักธนบัตรใบใหญ่ออกมาสองใบ ตั๋วรถไฟจากบ้านเกิดของซย่าซานนีมาถึงปักกิ่งมีราคาสิบสองหยวน หลังจากที่ซย่าซานนีซื้อตั๋วรถไฟเสร็จแล้วก็จะเหลือเงินอีกแปดหยวน จำนวนเงินแปดหยวนนี้ถือว่าเพียงพอสำหรับเื่ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทางได้
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เต็มใจที่จะให้เงินซย่าซานนีมากกว่านี้ แต่รอให้ซย่าซานนีมาถึงที่นี่ก่อนแล้วเธอค่อยพาไปซื้อข้าวของให้น้องเยอะๆ ก็ยังได้ นั่นเป็เพราะซย่านีไม่อยากใช้จ่ายเงินต่อหน้าคนในครอบครัวเท่าใดนัก โดยเฉพาะพ่อกับแม่และน้องชายสองคนของเธอ
ซย่านีส่งเงินให้เ้าหน้าที่ไปรษณีย์แล้วกรอกแบบคำร้องการโอนเงิน หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินทางกลับบ้านทันที
เธอต้องรีบกลับไปทำยางรัดผมเพื่อหาเงินต่อ
อีกด้านหนึ่งซย่าซานนีไม่รู้เลยว่าจะวางสายโทรศัพท์อย่างไร เธอจึงหันไปยื่นโทรโข่งให้ผู้ประกาศเสียงตามสาย สหายผู้ประกาศรับหูโทรศัพท์มาแล้วก็วางสายโทรศัพท์ลง จากนั้นก็เอ่ยถามซย่าซานนี “พี่หญิงใหญ่เรียกให้คุณไปปักกิ่งหรือ?”
ซย่าซานนีพยักหน้าอย่างตื่นเต้น
สหายผู้ประกาศอิจฉาซย่าซานนียิ่งนักจึงกล่าวว่า “นี่เป็เื่ดีมากเลยนะ เื่ดีจริงๆ ฉันเองก็อยากไปปักกิ่งบ้างจัง อยากลองไปดูพิธีเชิญธงขึ้นสู่ยอดเสาสักครั้งแล้วก็อยากไปเที่ยวชมพระราชวังต้องห้ามอยากไปขึ้นกำแพงเมืองจีนด้วย น่าเสียดายที่ฉันไม่มีญาติอยู่ที่ปักกิ่งเลยสักคน พี่หญิงใหญ่ของคุณเลือกคนแต่งงานได้ดีมากเลย!” เธอถอนหายใจเบาๆ รู้สึกเสียดายว่าทำไมตอนนั้นตัวเธอถึงไม่เป็คนที่ค้นพบหยกที่ยังไม่ได้เจียระไนอย่างซ่งหานเจียงกันนะ หากเธอพบเขาสักครั้งล่ะก็เธอจะให้น้องสาวแต่งงานกับเขาแน่นอน
พูดแล้วก็บังเอิญตอนที่ซย่าซานนีกำลังกลับบ้าน ระหว่างทางก็เจอแม่ของตนเองกำลังกลับบ้านพอดี
แม่ของซย่าซานนีมีนามว่าสวีเจาตี้เธอเพิ่งกลับมาจากไร่เช่นกัน บนตัวยังมีคราบโคลนติดอยู่ตามร่างกาย
สวีเจาตี้มองเห็นซย่าซานนีจากที่ไกลๆ จึงะโถามลูกสาวเสียงดัง “ซานนี พี่เขยของแกโทรงั้นหรือ?”
ซย่าซานนีตอบ “ไม่ใช่พี่เขยหรอกจ้ะ” เธอวิ่งไปข้างกายสวีเจาตี้ แล้วกล่าวว่า “เป็พี่หญิงใหญ่ที่โทรมา”
“พี่หญิงใหญ่? พี่หญิงใหญ่ของแกโทรมาหาแกมีเื่อะไร?” สวีเจาตี้เท้าเอวพลางบ่นอุบ “เธอมีเื่แต่กลับไม่โทรมาหาแม่อย่างฉันหรือไม่ก็โทรหาน้องชายสองคนของเธอ แต่เลือกเธอโทรหาแกเนี่ยนะ?”
ซย่าซานนีตอบ “พี่หญิงใหญ่โทรหาฉัน เพราะอยากให้ฉันไปปักกิ่งเพื่อช่วยดูแลลูกๆ ให้พี่เขาจ้ะ”
“อะไรนะ? ทำไมต้องให้แกไปช่วยดูแลพวกลูกๆ ด้วย? เธอดูแลลูกตัวเองไม่ได้หรือไง? แล้วแม่สามีของเธอล่ะช่วยดูแลหลานไม่ได้หรือ?” สวีเจาตี้ไม่พอใจเอาเสียเลย แม้จะพูดได้ว่าหากที่บ้านขาดซย่าซานนีไปก็จะสามารถช่วยลดปากท้องไปได้อีกหนึ่ง แต่นั้นก็หมายความว่าทางบ้านจะขาดแรงงานไปอีกหนึ่งคนด้วยเช่นกัน
นโยบายปีนี้ดีมากมีการใช้ระบบสัญญาแบบครัวเรือน โดยจะมีการจัดสรรที่ดินให้แต่ละครัวเรือนตามจำนวนประชากร หากผลผลิตที่ปลูกได้จากที่ดินเหลือจากการส่งค่าภาษีเกษตรให้กับทางรัฐบาลแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ก็จะตกเป็ของครอบครัว บ้านของพวกเขาได้รับการจัดสรรที่ดินทั้งหมดสิบหมู่[1] ด้วยที่ดินจำนวนมากขนาดนี้จะไม่้าคนมาดูแลได้หรือไร?
“พี่หญิงใหญ่บอกว่าถ้าฉันไปปักกิ่งเพื่อช่วยพี่ดูแลลูกๆ ล่ะก็ พี่ก็จะสามารถออกไปหาเงินได้ รอเธอมีเงินแล้วเธอก็จะส่งเงินให้ครอบครัวเราทุกเดือนจ้ะ” ซย่าซานนีเข้าใจสิ่งที่ซย่านีพูดตามความหมายเช่นนี้
เมื่อสวีเจาตี้ได้ยินว่าคำว่ามีเงิน เธอก็เปลี่ยนคำพูดทันที “เธอพูดเองกับปากเลยหรือ?”
ซย่าซานนีพยักหน้า “ใช่จ้ะ”
สองแม่ลูกคุยกันระหว่างเดินกลับบ้าน เมื่อเจอญาติและเพื่อนบ้านระหว่างทางพวกเขาก็เอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “ฉันเพิ่งได้ยินจากลำโพงกระจายเสียงว่ามีสายโทรมาจากปักกิ่ง ใช่ซย่านีลูกสาวคนโตของพวกคุณหรือเปล่า?”
ทุกครั้งที่ถามเื่นี้ สวีเจาตี้ก็จะเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ก็ใช่น่ะสิ ลูกสาวคนโตของฉันได้ดิบได้ดีไปแล้วนะ ถึงได้สามารถโทรศัพท์มาที่นี่ได้อย่างไรเล่า!”
หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว สวีเจาตี้ก็นั่งลงบนเก้าอี้และเอามือเคาะโต๊ะ จากนั้นก็หันไปสั่งซย่าซานนี “รินน้ำให้แม่หน่อยสิ...ว่าแต่พี่สาวแกพูดว่าเธอมีเงินเท่าไหร่นะ?”
ซย่าซานนีหาแก้วน้ำมาแล้วหยิบกาต้มน้ำมารินน้ำใส่แก้วพลางกล่าวว่า “พี่ไม่ได้พูดอะไรเลยจ้ะ”
ความคิดของสวีเจาตี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้คนนอกจะมองว่าลูกสาวของเธอได้แต่งงานกับคนดีๆ ราวกับไก่ป่าได้โบยบินขึ้น์แล้วกลายเป็หงส์ แต่คนในครอบครัวล้วนรู้สถานการณ์จริงของซย่านีกันทั้งนั้น ครั้งล่าสุดเธออาศัยโอกาสที่ซย่านีให้กำเนิดบุตรแก่ซ่งหานเจียง เธอก็เลยติดตามลูกสาวไปยังบ้านลูกเขยที่กรุงปักกิ่งด้วย เมื่อคิดว่าลูกสาวของตนให้กำเนิดบุตรชายให้แก่บ้านตระกูลซ่งตั้งสองคน เช่นนี้แล้วซย่านีก็น่าจะมีความดีความชอบใหญ่หลวง จะว่าอย่างไรบ้านตระกูลซ่งก็ควรแสดงความขอบคุณถึงจะถูกแต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็ดังคาด คนบ้านนั้นกลับให้เงินพวกเธอยี่สิบหยวนเพื่อส่งพวกเธอกลับชนบท เงินเท่านั้นมันยังไม่พอค่าเดินทางเลยด้วยซ้ำ!
ลูกสาวคนโตที่ไร้น้ำยาอย่างซย่านี ต่อให้ตายเ้าลูกคนนั้นก็ไม่ยอมเอ่ยปากขอเงินจากสามีของตน เอาแต่พูดว่าสามีกำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่และยังเป็แค่นักศึกษาคนหนึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้มีเงินแต่อย่างใดแล้วปกติพวกเงินอุดหนุนการศึกษาเขาก็ให้แม่ตัวเองไปหมดแล้ว!
“แม่ นี่น้ำจ้ะ” ซย่าซานนีเดินถือแก้วน้ำมาให้แม่
สวีเจาตี้รับแก้วน้ำมาจากมือลูกสาวแล้วเป่าเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มจิบน้ำให้ชุ่มคอ “เธอออกไปทำงานจะหาเงินได้เท่าไหร่กันเชียว? เธอเป็แค่คนบ้านนอกแถมยังไม่มีสมุดธัญพืชประจำกรุงปักกิ่งอีก จะไปหางานทำได้อย่างไร? ”
ซย่าซานนีตอบ “พี่หญิงใหญ่ไม่ได้บอกไว้จ้ะ แต่ฉันฟังจากที่พี่พูดแล้ว พี่จะต้องหางานได้แน่ๆ”
“เธอพูดว่าอย่างไรบ้าง?”
ซย่าซานนีซื่อสัตย์เป็อย่างยิ่ง เธอบอกมารดาตามความจริง “พี่หญิงใหญ่บอกว่าจะส่งค่าเดินทางมาให้ฉันแถมยังสั่งให้ฉันเก็บของให้เรียบร้อย แล้วไปซื้อตั๋วรถไฟมาปักกิ่งวันนี้เลย”
สวีเจาตี้อุทานอย่างประหลาดใจ “รีบร้อนขนาดนี้เชียว?”
ซย่าซานนีกล่าวตามที่คาดเดา “อาจจะเป็เพราะพี่หางานได้แล้วหรือเปล่า ถึงได้รีบร้อนให้ฉันไปปักกิ่งเพื่อช่วยงานพี่?”
สวีเจาตี้ขมวดคิ้ว จะว่าไปแล้ว เื่นี้ก็มีความเป็ไปได้มากที่สุด
“แม่จ้ะ...” ซย่าซานนีถามอย่างไม่มั่นใจ “ฉันไปได้ไหมจ้ะ?”
“เธอจะไปไหนกัน?” ลูกชายคนเล็กของบ้านตระกูลซย่าซึ่งก็คือน้องชายคนรองของซย่านีกลับมาถึงบ้านพอดี และเป็เพราะเขาได้ยินเสียงประกาศตามสายจากลำโพงหมู่บ้าน เขาถึงได้รีบร้อนออกมาจากไร่มา
[1] หมู่ 亩 คือ หน่วยมาตรวัดที่ดินของจีนโดย 1 หมู่ มีขนาดเท่ากับ 666.667 ตารางเมตร
