เห็นมู่หรงสือทำหน้ามั่นอกมั่นใจทั้งยังยิ้มหน้าบาน และเห็นดวงตาของเตี้ยนเซี่ยมีไอเย็นะเืแผ่ออกมา เสิ่นจือเหยียนก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “องค์หญิง สหายร่วมเรียนหนังสือไม่จำเป็ต้องมีเยอะ มีน้อยแต่มากคุณภาพพ่ะย่ะค่ะ เตี้ยนเซี่ยมีกระหม่อมเป็สหายร่วมเรียนเพียงคนเดียวก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงสือเชิดคาง พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “สหายร่วมเรียนขององค์รัชทายาทมีน้อยแต่มากคุณภาพ ใต้เท้าเสิ่น ท่านทำงานเป็เซ่าชิงในศาลต้าหลี่ งานที่ต้องทำย่อมเยอะแยะมากมาย จะมีเวลามาเรียนหนังสือกับองค์รัชทายาทได้อย่างไร? เ้าเป็สหายร่วมเรียนขององค์รัชทายาทไม่นับว่าเป็ตัวเลือกที่ดีเท่าไร” นางมองไปทางมู่หรงฉือ ยืดอกขึ้น “เตี้ยนเซี่ย ต่อไปหม่อมฉันที่เป็สหายร่วมเรียนของพระองค์จะมาอยู่กับเตี้ยนเซี่ยทุกวัน จะคอยดูแลพระองค์อย่างดีเพคะ”
มู่หรงฉือพยายามสะกดความรู้สึกที่อยากจะโยนนางออกไปเอาไว้ แสดงท่าทางไม่เห็นด้วย มองไปทางเสิ่นจือเหยียนด้วยสายตาเ็า
เขาเข้าใจความหมายของเตี้ยนเซี่ย ในแววตาปรากฏความเ้าเล่ห์ “องค์หญิงเกิดในจวนอวี้หวาง นับว่าสูงศักดิ์ยิ่งนัก แน่นอนว่ามีคุณสมบัติที่จะเป็สหายร่วมเรียนกับเตี้ยนเซี่ย แต่ว่าการเป็สหายร่วมเรียนกับเตี้ยนเซี่ยนั้นไม่ง่าย ขอถามองค์หญิงได้หรือไม่ ท่านคุ้นเคยสี่ตำราห้าคัมภีร์หรือ? จะเป็สหายร่วมเรียนของเตี้ยนเซี่ย สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือการท่องสี่ตำราห้าคัมภีร์ให้คล่อง เช่นนั้นสู้ท่านท่องเม่งจื๊อ[1] ให้เตี้ยนเซี่ยฟังสักรอบได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินรั่วกับหรูอี้มองหน้ากัน องค์หญิงตวนโหรวจะท่องได้หรือ?
“เื่นี้...” มู่หรงสือลูบหัวตัวเอง ใบหน้าเผยความกระอักกระอ่วนออกมา “เมื่อหลายปีก่อนข้าเคยเรียนกับท่านอาจารย์มาก่อน แต่ทว่าเว้นว่างมาหลายปีมาก ข้าลืมไปหมดแล้ว”
“องค์หญิง มิสู้ท่านกลับไปเชิญอาจารย์มาสอนสี่ตำราห้าคัมภีร์ก่อนเถิด รอจนท่านท่องได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว ค่อยมาขอเข้าเฝ้าเตี้ยนเซี่ย”
เสิ่นจือเหยียนลอบรู้สึกสะใจ เขารู้มาก่อนว่าองค์หญิงตวนโหรวไม่ใช่คนที่ชอบเรียนหนังสือ แม้ว่าจะเล่าเรียนกับท่านอาจารย์มาหลายปี แต่ก็มักแอบหนีเรียนไปปีนต้นไม้หยิบรังนก ลงแม่น้ำจับปลาตลอด นอกจากนี้ ตระกูลที่นางเกิดมา จวนอวี้หวางไม่ค่อยสนใจเื่การศึกษาเล่าเรียนของลูกหลานสักเท่าไร
มู่หรงฉือเดินออกไปด้านนอกเงียบๆ ถอนหายใจยาว “ใต้เท้าเสิ่น เปิ่นกงยังมีเื่อยากจะปรึกษากับเ้า”
เขารีบตามไปทันที ปล่อยให้มู่หรงสือตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น
มู่หรงสือมองพวกเขาออกจากห้องไป อยากจะร้องเรียกเอาไว้ แต่กลับทำได้เพียงอ้าปาก ก่อนจะกัดริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ
ฉินรั่วพูดปลอบใจ “องค์หญิง นี่ก็มืดแล้ว ท่านกลับไปที่จวนหวางก่อนเถิดเพคะ”
มู่หรงสือยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก มองกลับไปที่ตำหนักบูรพา ในใจก็ยิ่งแน่วแน่มากขึ้น
…
ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกปรากฏเมฆสีขาวเหมือนท้องปลา ท้องฟ้าที่สว่างอยู่ในตอนแรกราวกับมีลูกธนูที่เต็มไปด้วยความมืดพุ่งฝ่าเข้ามาดอกหนึ่ง
ท่ามกลางความเงียบสงบ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นจากระยะไกลกำลังเคลื่อนเข้ามา
ขันทีที่เฝ้ายามตำหนักบรรทมของโอรส์ในตอนกลางคืนถูกเสียงฟ้าร้องทำให้ตื่นขึ้นมา หยวนซุ่นเงยหน้าขึ้นอย่างง่วงงุน มองผ่านหน้าต่างที่มีผ้าบางๆ ปิดอยู่ไปยังความมืดด้านนอก ก่อนจะนอนหลับลงไปอีกครั้ง
จากนั้นด้านนอกตำหนักก็เกิดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
ฝนแรกในต้นฤดูร้อนเม็ดใหญ่เท่าถั่วตกลงมากระทบกับกระเบื้องหลิวหลี้าจนเกิดเป็เสียงกรุ๊งกริ๊ง
หยวนซุ่นไม่เหลือความง่วงงุนแล้ว เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินไปดูฝ่าาที่อยู่ด้านในห้อง
ฝ่าานอนหลับลึกมาก บนเตียงขนาดใหญ่ปิดม่านเงียบสนิทราวปราศจากสิ่งมีชีวิต
จากนั้น หยวนซุ่นก็เดินเบาๆ ไปเปิดประตูตำหนักมองออกไปด้านนอก
น้ำฝนในยามค่ำคืนถูกลมหอบเข้ามาปะทะหน้า ไอเย็นแทรกซึมเข้ามาตามแขนเสื้อกับเสื้อคลุม จนตัวเขาสั่นสะท้าน
ฉับพลัน เขาเบิกตากว้างขึ้น บนใบหน้ามีความใปนสงสัยแผ่อยู่เต็มเปี่ยม ก่อนจะเปิดประตูตำหนักให้กว้างขึ้นอีกหน่อย
ในวินาทีนั้น เขาพลันสูดหายใจอย่างแรง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากทันที บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวาและพรั่นพรึง
เหตุใดจึงเป็เช่นนี้?
เขาไม่กล้าชักช้าอีก รีบวิ่งออกไปหาคน
ตำหนักบูรพา
มู่หรงฉือกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก นางถูกสายฝนเมื่อตอนค่ำปลุกให้ตื่นขึ้นมา ยามนี้พลิกตัวไปพลิกตัวมาอย่างไรก็นอนไม่หลับ
กระทั่งเสียงฝีเท้าที่แม้จะเดินอย่างรีบร้อนแต่กลับแ่เบายิ่ง นางก็ยังได้ยิน
นางลุกขึ้นมา มือกุมหัวที่ปวดอยู่เล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”
หรูอี้ใช้ตะขอทองมาเปิดผ้าม่านสีเขียวหยกออก พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบที่สุด “นางกำนัลที่ตำหนักชิงหยวนมารายงาน…”
“เกิดเื่กับเสด็จพ่อหรือ?” หัวใจของมู่หรงฉือกระตุกอย่างแรง รีบลงจากเตียงทันที แล้วดึงเสื้อคลุมตัวหนึ่งจากที่แขวนเสื้อ “เปลี่ยนเสื้อให้เปิ่นกง”
“เตี้ยนเซี่ยอย่าเพิ่งตื่นตระหนกเพคะ ฮ่องเต้ไม่เป็อะไร” หรูอี้รีบปลอบ “หยวนซุ่นที่เป็ขันทีข้างวรกายเห็นด้วยตาตนเองว่าตำหนักชิงหยวนมีฝนโลหิต”
มู่หรงฉือถึงได้วางใจลง แต่ว่าคิ้วก็ยังขมวดแน่น เื่ที่สองในเพลงนั้นเป็จริงขึ้นมาแล้ว
เพียงแต่ ฝนโลหิตที่ตกลงมานั้นแปลกมากไม่ใช่หรือ?
ครั้นออกมาด้านนอก ลมฝนปะทะเข้ามาพาให้อากาศเย็น นางมองไปยังท้องฟ้าสีเทา้า จ้องตำหนักเหลียนเหมียนที่ถูกสายฝนปกคลุม สภาพแวดล้อมถูกสายฝนต้นฤดูร้อนตกลงมาจนมองเห็นอะไรไม่ชัด ในชั่วขณะนั้นความหวาดกลัวพลันแล่นเข้ามาในใจ
ด้านหน้าตำหนักชิงหยวนมีข้าหลวงยืนอยู่ไม่น้อย แต่ละคนต่างหวาดกลัวไม่รู้จะทำอย่างไร
หลิวอันถือแส้หางม้ายืนอยู่ตรงทางเดินตำหนัก มองไปยังฝนสีโลหิตบนพื้น บนใบหน้าหล่อเหลามีความร้อนใจระคนกังวล
ครั้นเห็นองค์รัชทายาทมาถึงเขาก็รีบทำความเคารพจากนอกร่มกันฝน “เตี้ยนเซี่ย หนูฉายไม่กล้าทำลายสถานที่เกิดเหตุ จึงขออนุญาตทำความเคารพพระองค์จากตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ”
หรูอี้กางร่มให้เตี้ยนเซี่ย มู่หรงฉือยืนอยู่ด้านหน้าตำหนัก เท้าเหยียบลงไปบนน้ำฝนสีเื
มู่หรงฉือมองไป น้ำฝนที่อยู่บนพื้นด้านล่างบันไดตำหนักมีสีค่อนข้างแดง เหมือนกับสถานที่ฆาตกรรมที่ถูกน้ำฝนชะล้าง แต่น้ำฝนที่ไหลลงมาจากหลังคากลับเป็น้ำฝนที่ใสตามปกติ เพียงแต่มีสีแดงบ้างเล็กน้อย
นางเหยียบลงบนบันไดที่เปื้อนน้ำฝน หรูอี้หุบร่มเก็บ
“เตี้ยนเซี่ย ตอนที่ฟ้าเริ่มสาง หยวนซุ่นตื่นขึ้นมา เห็นว่าน้ำที่ไหลลงมาจากหลังคาล้วนเป็น้ำฝนสีแดงโลหิตพ่ะย่ะค่ะ” หลิวอันพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เื่นี้เป็เื่จริงแท้แน่นอน เพราะมีหลายคนที่เห็นกับตาตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งคนขึ้นไปดูบนหลังคาแล้วหรือไม่?” ความกดดันในใจของมู่หรงฉือเพิ่มขึ้นเป็ทวีคูณ
“อีกเดี๋ยวหลังจากฝนเบาลงแล้ว หนูฉายได้เตรียมให้คนขึ้นไปดูบนหลังคาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลิวอันตอบ
“เสด็จพ่อตื่นหรือยัง?” นางมองไปยังหยวนซุ่น ก่อนจะเดินไปด้านในตำหนัก
“ฮ่องเต้ตื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าเวลายังเช้านัก จึงยังไม่ลุกขึ้น” หยวนซุ่นเดินนำทางอยู่ด้านหน้า เข้าไปยังตำหนักบรรทม
บนเตียงใหญ่ มู่หรงเฉิงหลับตาราวกับหลับสนิท ใบหน้าสงบนิ่ง
มู่หรงฉือไม่อยากทำให้เสด็จพ่อสะดุ้งตื่น จึงถามหยวนซุ่นเสียงเบา “เป็อย่างที่หลิวอันพูดจริงๆ หรือ?”
หยวนซุ่นพยักหน้า “หนูฉายไม่กล้าปิดบังพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านนอกมีเสียงหลิวอันสั่งองครักษ์ให้ขึ้นไปตรวจดูบนหลังคา นางมายัง้าตำหนัก รอผลลัพธ์
ในเวลานั้นเอง เซียวกุ้ยเฟยก็รีบร้อนเข้ามา เห็นน้ำฝนสีแดงฉานบนพื้น นางก็ตกตะลึง กวาดสายตาเ็าไปยังมู่หรงฉือ ก่อนจะเข้าตำหนักไปหาฮ่องเต้
บันไดไม้สามขั้นถูกน้ำฝนสาดจนเปียกชื้นและลื่น องครักษ์จึงทำได้เพียงยืนอยู่้าสุดของบันไดเพื่อมองไป้า ต่างบอกว่า้าหลังคาไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
แต่เพียงไม่นานนัก มู่หรงอวี้ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ได้ทราบข่าวก็รีบรุดมาพร้อมกับกู้ฮวายหัวหน้าศาลต้าหลี่รวมถึงเสิ่นจือเหยียนเซ่าชิงของศาลต้าหลี่ด้วย
มู่หรงอวี้มองน้ำฝนสีแดงเต็มพื้นด้วยใบหน้าหงุดหงิดใจ
น้ำฝนทำให้ชุดสีดำของเขาชื้น ปลายเสื้อคลุมกับขากางเกงก็เปียกไปหมด เห็นได้ชัดว่าระหว่างทางเขารีบร้อนเพียงใด
ฝนตกลงมาราวครึ่งชั่วยามได้แล้ว แต่น้ำบนพื้นที่ขังอยู่กลับยังมีสีแดงอ่อนๆ เห็นได้ชัดว่าน้ำเืนั้นมีจำนวนมาก
สายตาอบอุ่นของเขากวาดไปยังข้างกายขององค์รัชทายาท เดิมทีมู่หรงฉือรอเสิ่นจือเหยียนมารายงาน จู่ๆ ก็ััได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองมายังตน จึงหันไปมอง สายตาของทั้งสองคนจึงสบประสานกัน ก่อนที่นางจะผละสายตาออกไปทันที จิตใจยุ่งเหยิงเล็กน้อย ไม่ค่อยเป็ตัวของตนเองเท่าไร
นางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็เช่นนี้
กู้ฮวายสอบถามหลิวอัน เสิ่นจือเหยียนตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุก่อนจะเดินไปตรงหน้าองค์รัชทายาท ครึ่งตัวถูกน้ำฝนจนเปียกชื้น “โลหิตปะปนไปกับน้ำฝน ตอนนี้แยกไม่ออกแล้วว่าเป็เืคนหรือว่าเืหมาเืหมู”
นางพยักหน้า “เื่นี้ไม่ปกติ เหมือนเื่หยกโลหิตตกจากฟ้าเมื่อวันก่อน เปิ่นกงคิดว่าจะต้องเป็ฝีมืุ์”
ตอนนี้เอง ที่บรรดาข้าหลวงที่มารวมตัวกันตรงทางเดินปีกตะวันออกเริ่มพูดคุยกันไปมา
“เื่นี้ช่างแปลกเกินไปแล้ว ตำหนักอื่นก็ไม่มีฝนตกเป็เื กลับมีฝนโลหิตตกลงมาที่ตำหนักชิงหยวน”
“ตำหนักเฟิ่งเทียนที่มีหยกโลหิตตกจากฟ้าก็ยังตรวจสอบไม่ชัดเจน วันนี้ก็ยังมีเื่นี้เกิดขึ้นอีก ฝนโลหิตนี้ช่างแปลกมากจริงๆ”
“หรือว่าจะเป็์ลงทัณฑ์?”
“ยังจำบทเพลงนั้นได้หรือไม่? สองเื่ได้กลายเป็จริงแล้ว ต่อไปจะมีปลากินคนหรือไม่?”
“ให้ข้าเดา แปดในสิบจะต้องเป็จริง จะต้องมีคนตายแน่ๆ”
“อย่าพูดจาไร้สาระ ระวังจะถูกหัวหน้าได้ยินเข้า”
หลิวอันกวาดสายตามา ข้าหลวงคนนั้นก็รีบหลบตา ไม่กล้าพูดอีก
เขาถามท่านอ๋อง “ท่านอ๋อง เื่นี้…”
แววตาของมู่หรงอวี้เข้มขึ้น “สั่งให้คนมาทำความสะอาดหน้าตำหนัก”
หลิวอันได้รับคำสั่ง ก็ไปสั่งการข้าหลวง
กู้ฮวายครุ่นคิดอยู่นานถึงจะพูดออกมา “เื่เช้านี้คงจะเป็การพิสูจน์เื่ที่สองในเพลงนั้น หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเพลงนั้นจริง? เพลงนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร?”
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เชื่อเื่ลี้ลับที่พูดกัน แต่สองเื่นี้ก็บังเอิญเกินไปแล้ว
มู่หรงฉือถาม “ได้ตรวจสอบว่าในวังมีข้าหลวงที่หายไปหรือตายแล้วหรือไม่?”
“กระหม่อมได้สั่งคนให้ไปตรวจสอบแล้ว จากที่ได้รับรายงานกลับมาไม่มีคนหายไปหรือว่าตายไปพ่ะย่ะค่ะ” กู้ฮวายขมวดคิ้วตอบกลับ
“วังหลวงไม่มีคนหายหรือว่าคนตาย เช่นนั้นก็แสดงว่าเืที่เอามาใช้ในสองเื่นี้ได้มาจากในวัง” เสิ่นจือเหยียนกล่าว
“ใต้เท้ากู้ รีบตรวจสอบหาความจริงโดยไวที่สุด” อากาศในตอนนี้กำลังชื้นและมืดครึ้ม ั์ตาของมู่หรงอวี้เปล่งประกาย ราวกับมีแค่เขาคนเดียวยังมีสติแจ่มใส
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง” กู้ฮวายประสานมือเข้าหากัน ในใจเริ่มร้อนรน
ฝนโลหิตนี่จะตกที่ไหนไม่ตก กลับมาตกที่ตำหนักบรรทมของโอรส์เสียนี่ เื่นี้ไม่ใช่เื่เล็ก น่ากลัวกว่าการที่มีหยกโลหิตตกลงมาจากฟ้าในเขตตำหนักเฟิ่งเทียนเสียอีก ลองคิดดู หากมีคนทำให้ตำหนักชิงหยวนมีฝนโลหิตตกลงมาได้ แสดงว่าคนร้ายสามารถเข้าออกตำหนักชิงหยวนได้ราวกับไม่มีคนเฝ้าอยู่ เช่นนั้นการที่จะเข้ามาทำร้ายฮ่องเต้ก็เป็เื่ง่ายไม่ใช่หรือ?
ดังนั้น ความปลอดภัยของฮ่องเต้จึงกลายเป็ดาบแหลมคมที่อยู่ในใจของทุกคน
ยิ่งเขาคิดก็ยิ่งหวาดหวั่น เห็นอวี้หวางปรึกษากับหัวหน้าองครักษ์ที่รีบรุดมา เื่ลาดตระเวนรอบๆ ในส่วนต่างๆ ของพระราชวังและตำหนักชิงหยวน
ครั้นฝนหยุดตกทุกคนก็พากันแยกย้าย
มู่หรงฉือเข้าไปหาเสด็จพ่อ ได้พูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็กล่าวลา
ตอนที่กำลังจะก้าวออกจากตำหนัก นางได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งยังเป็เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยยิ่งนัก
“เตี้ยนเซี่ย ข้าขอเวลาสักครู่” มู่หรงอวี้พูดเสียงต่ำ
“พูดที่นี่ไม่ได้หรือ?” นางเงยหน้าขึ้นมองเขาตรงๆ ปิดบังความคิดวุ่นวายเ่าั้
เขาเดินไปตามทางเดินปีกตะวันออก นางจึงทำได้เพียงเดินตาม
เส้นผมสีดำของเขามีหยดน้ำเล็กๆ เกาะอยู่ ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาดูเ็าเป็พิเศษ
“เตี้ยนเซี่ยตรวจสอบพบอะไรหรือไม่?” น้ำเสียงของเขาเย็นสบาย
“ตอนนี้ยังไม่พบสิ่งใด” มู่หรงฉือตอบกลับเสียงเรียบ หลังจากถูกสายฝนชะล้าง ใบไม้สีเขียวแวววาวเหมือนงอกใหม่ ดอกไม้สีสันสดใสยังคงขยับไปมาตามสายลม
บนหลังคามีน้ำฝนหยดลงมาไม่หยุด ราวกับไข่มุกที่หลุดจากสายสร้อยที่ขาด
มู่หรงอวี้หันมามองนาง ทำตาใส “หลายวันนี้ทางที่ดีที่สุดเตี้ยนเซี่ยอย่าออกไปข้างนอก อยู่ในตำหนักบูรพาให้ดีๆ แล้วก็ขอโปรดวางใจ เปิ่นหวางได้สั่งหน่วยลาดตระเวนให้เพิ่มการคุ้มกันที่ตำหนักชิงหยวนกับภายในวังแล้ว รับรองว่าฮ่องเต้จะต้องปลอดภัยแน่นอน”
เชิงอรรถ
[1] เม่งจื๊อ สี่ตำราห้าคัมภีร์ คือ สี่ตำราประกอบด้วย 1. คัมภีร์มหาบุรุษ 2. คัมภีร์ทางสายกลาง 3. คัมภีร์วิจารณ์พจน์ 4.คัมภีร์เมิ่งจื่อ
ห้าคัมภีร์ ประกอบด้วย 1.คัมภีร์ว่าด้วยเื่โหราศาสตร์ 2.ตำราประวัติศาสตร์ 3.คัมภีร์กวี 4.คัมภีร์ว่าด้วยเื่จริยะ 5.บันทึกพงศาวดารและปรากฎการณ์ธรรมชาติต่างๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้