ถึงแม้เสียงของซ่งฉียวนจะไม่ได้ดังมากนักแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนในที่นี้ได้ยิน ตอนนี้เป็ที่ประจักษ์แล้วว่าใครชนะหรือแพ้ภายในสนามเงียบเป็เป่าสาก จากนั้นเสียงปรบมืออันครึกครื้นก็ดังกึกก้องขึ้นศิษย์ทุกคนถูกเด็กหนุ่มที่หยิ่งยโสมาตลอดผู้นี้ รวมถึงความสามารถอันน่าตื่นตะลึงและพลังอันไร้ที่เปรียบเอาชนะได้พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
แต่ใน่เวลาที่ครึกครื้นนี้ ไป๋ลี่ที่นั่งอยู่ก็ะเิเสียงะโออกมาทำให้บรรยากาศในสนามชะงักงันในฉับพลัน “ผู้าุโทั้งหลาย! จบการประลอง! ”
ทันทีที่เขาะโคำว่าจบการประลองขึ้นมาผู้าุโทั้งสิบสามคนรวมถึงไป๋ลี่ที่นั่งอยู่้าก็พากันเหาะขึ้นไปบนลานประลองอย่างรวดเร็วเมื่อรวมกับผู้าุโเฉินทั้งหมดก็เป็สิบห้าคนที่ไปยืนประจำตำแหน่งอย่างว่องไวทันทีที่หยุดนิ่ง ธาตุในอากาศก็ค่อยๆ แปรปรวนไปทั่ว
ในตอนนี้อวี๋เคอรู้สึกว่าตนนั้นทำพลาดเป็อย่างมากเพราะจิ้งจอกเฒ่าไป๋ลี่ผู้นี้จะต้องสังเกตเห็นความผิดปกติจากการลงมือของเขาเมื่อครู่เป็แน่เพราะในขณะที่พลังปราณของตนถูกปลดปล่อยออกมา จิตสำนึกก็สั่นไหวไปเล็กน้อย คนผู้นั้นจะต้องจับช่องว่างนี้และหากลิ่นอายของเขาได้อย่างแน่นอนตอนนี้แม้แต่มหาค่ายกลพิทักษ์ูเาก็ยังถูกร่ายออกมาแล้วเห็นได้ชัดว่าเขามองตนเป็ศัตรูตัวฉกาจไปแล้ว ครั้งนี้จึงถือว่าเสียทีเข้าให้แล้ว
แต่ผิดคาดเพราะอวี๋เคอไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่กลับแอบรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้นนี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นการต่อสู้แบบนี้ด้วยตาของตนเอง เมื่อทอดสายตามองออกไปก็เห็นพลังปราณที่กำลังเคลื่อนไหวไปรอบกายของทั้งสิบห้าคน พวกเขาตั้งแขนชันขึ้นเพื่อควบคุมพลังปราณให้เข้าสู่ค่ายกลขนาดใหญ่ ทำให้มันก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆอยู่กลางอากาศ พลังที่แฝงเร้นอยู่ในนั้นน่าสะพรึงกลัวถึงขั้นสุด หากประมาทเพียงนิดเดียวก็สามารถทำลายูเาฉิงชางให้ราบเป็หน้ากลองได้เลย
มหาค่ายกลพิทักษ์ูเาของสำนักฉิงชางเป็ที่เลื่องลืออย่างยิ่งในนิยายเื่ “มหันตภัยแห่งแดนเซียนปีศาจ” เป็วิธีที่จะใช้ก็ต่อเมื่อสำนักฉิงชางได้ต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งจนไม่อาจเอาชนะได้และความน่ากลัวของพลังนี้ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเจตนารมณ์ของผู้ที่สร้างค่ายกลนั้นสื่อออกมาได้ชัดเจนมาก เพราะหากไม่สามารถใช้ค่ายกลนี้ปกป้องสำนักฉิงชางได้ก็จะสามารถปลดปล่อยพลังออกไปถล่มูเาทั้งลูก เพื่อให้ตำราวิชายุทธ์ของสำนักฉิงชางที่ถูกเก็บสะสมไว้ทั้งหมดถูกทำลายกลายเป็เถ้าธุลีไม่ให้บุคคลภายนอกได้แตะต้อง
ตามหลักแล้วไป๋ลี่ไม่ควรนำค่ายกลนี้ออกมาใช้อย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้นี่? อวี๋เคอรู้สึกสับสนเล็กน้อยเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าศัตรูของตนเป็ใคร การกระทำเช่นนี้จึงไม่ใช่วิถีของไป๋ลี่เลย
ช้าก่อน! หรือว่า... แค่เขาทะลุผ่านจิตสำนึกที่สั่นไหวนั่นก็จำตนได้แล้วหรือ!
เขาเดาไม่ผิด ไป๋ลี่จำเขาได้แล้วจริงๆแถมตอนนี้ยังขบกรามแน่นด้วยความโกรธ และแทบอยากจะสับอวี๋เคอออกเป็พันๆ ชิ้น!ตอนาที่แม่น้ำแห่ง์ หากไม่ใช่เพราะเขาต้องคอยอยู่ปกป้องสำนักฉิงชางก็จะต้องไปที่นั่นกับหร่วนสือจิ่วเพื่อสู้กับเ้าปีศาจตนนี้ให้ตายกันไปข้างอย่างแน่นอน!
ผ่านไปครู่ใหญ่ มหาค่ายกลก็สัมฤทธิผล จากนั้นก็เหมือนกับมีรังสีอาฆาตแผ่กระจายออกมาในอากาศ
ไป๋ลี่สงบสติอารมณ์ลงเล็กน้อยแล้วมองไปยังเฉิงเซียงกับซ่งฉียวนที่กำลังรู้สึกสับสนและสงสัยอยู่บนลานประลองก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “พวกเ้าทั้งสองคนไปปกป้องหลิวลี่ และยืนอยู่ข้างหลังพวกเราเอาไว้ ห้ามเข้าใกล้เหล่าศิษย์ในสนามเด็ดขาด!”
เฉิงเซียงประสานมือคารวะ และตอบว่า “ขอรับ” ส่วนซ่งฉียวนก็ขมวดคิ้วยุ่ง และกวาดสายตามองศิษย์แต่ละคนจากนั้นก็จ้องมองเข้าไปในดวงตาทั้งคู่ของไป๋ลี่ และพูดเสียงเรียบว่า “ท่านเ้าสำนักโปรดบอกกล่าวด้วยเถิดว่าเกิดอะไรขึ้น? ”
ในตอนนี้ไป๋ลี่ไม่ได้มัวมาสนใจจะไปตำหนิกิริยามารยาทของเขาจากนั้นจึงตอบด้วยสีหน้าขึงขังว่า “อีกประเดี๋ยวเ้าก็จะรู้เอง”
ซ่งฉียวนไม่กล่าวอะไรอีกต่อไปแต่ความสงสัยในใจกลับมีมากขึ้นเขาทราบถึงความสั่นไหวของการปะทะกันระหว่างพลังปราณทั้งสองสายที่อยู่ด้านหลังในขณะที่กำลังประลองกับเฉิงเซียงเมื่อครู่นี้แต่ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัวคนที่แอบลอบทำร้ายตนเอง สถานการณ์ทั้งสำนักฉิงชางก็เปลี่ยนเป็เช่นนี้แล้ว
ชักเริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเสียแล้ว...
ทันทีที่เขา เฉิงเซียงและไป๋หลิวลี่มายืนอยู่ด้านหลังขบวนทัพของผู้าุโทางด้านนี้ก็ได้ยินไป๋ลี่กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ใจความในประโยคนี้กลับทำให้ซ่งฉียวนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่
“เ้าปีศาจอวี๋เคอ!การซ่อนตัวอย่างหดหัวหดหางอยู่ท่ามกลางศิษย์ของสำนักฉิงชางของข้านับว่ามีความสามารถอันใดหรือ? กล้าออกมาสู้กันสักตั้งหรือไม่! ”
ดูเหมือนว่าการเดินทางมายังสำนักฉิงชางของตนในครั้งนี้คงหนีไม่พ้นการถูกด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายหลายคำอวี๋เคอรู้สึกขบขันมากการถูกกำหนดให้ทุกคนะโใส่หูว่าตัวร้ายมันช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!
“อาจิ่ว อีกประเดี๋ยวฟังคำสั่งของข้าผู้นี้ไว้นะเมื่อสั่งให้ไปเ้าก็จงไป”
อาจิ่วเองก็ทราบดีว่าสถานการณ์ตอนนี้กำลังอันตรายแต่การที่นายท่านจะให้เขาไปนั้นเป็ไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดเพราะเขาเคยพูดเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าจะเกิดเื่อะไรขึ้นก็จะคอยอยู่เคียงข้างนายท่านตอนนี้จึงไม่อาจกลับคำได้เป็อันขาด! อาจิ่วส่ายหัวและพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “นายท่านข้าจะไม่ไปตัวคนเดียว ท่านอยู่ที่ไหนข้าก็จะอยู่ที่นั่น! ”
เมื่ออวี๋เคอได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ได้เลยว่าเ้าเด็กอาจิ่วคนนี้จะต้องดื้อดึงตามติดเขาไปจนถึงที่สุดแน่จึงกลอกตาไปมา ก่อนจะคิดแผนการในใจขึ้นได้เขาเอื้อมมือไปลูบขนนกบนศีรษะของอาจิ่วอย่างเอ็นดู แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “อาจิ่ว เ้าดูสิ หากใช้พลังบำเพ็ญเพียรของข้ากับเ้าต้านทานสถานการณ์ในตอนนี้จะต้องได้เืมากกว่าชัยชนะแน่มีความเป็ไปได้สูงว่าจะต้องถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุอย่างแน่นอนแต่หากเ้าสามารถฉวยโอกาสนี้ออกไปได้ ป่าภูตอสูรก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เ้าจงไปเชิญท่านปู่ของเ้ามาต่อให้จะไม่ยื่นมือมาช่วยข้า แต่เมื่อมาเห็นเหตุการณ์กับตาที่นี่เขาก็จะช่วยข้าเอง”
“ได้จริงหรือ? ” สิ่งที่อวี๋เคอพูดนั้นมีเหตุผลหากเทพหลิงกวงมาถึงที่นี่แล้ว คงไม่อาจทนดูอวี๋เคอถูกฆ่าอยู่เฉยๆ หรอก เพราะนั่นเท่ากับการทำให้อาจิ่วเสียใจดังนั้นเขาจะต้องขัดขวางสำนักฉิงชางอย่างแน่นอน เมื่อลองคำนวณดูแล้วหากอวี๋เคอคิดจะหนีนั้นย่อมง่ายกว่ามาก
ในเวลานี้ศิษย์ที่อยู่รอบๆ กำลังมองหน้ากันไปมาเมื่อครู่ไป๋ลี่ะโบอกพวกเขา ว่าปีศาจตนนั้นต้องปลอมตัวเป็ศิษย์ในสำนักขั้นต้นมาปะปนอยู่ท่ามกลางพวกเขาแน่เรียกได้ว่าพวกเขาอยู่ในที่โล่งแจ้ง แต่ศัตรูกลับอยู่ในเงามืด แค่คิดก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบแล้วอีกอย่างอวี๋เคออะไรนั่นก็มีนิสัยกระหายเืหากอีกครู่หนึ่งเขาลงมือท่ามกลางเหล่าศิษย์ขึ้นมา พวกเขาจะไม่เป็ศพถูกฝังอยู่ที่นี่หรอกหรือ?
ยามนี้ศิษย์บางส่วนชักกระบี่ออกมาแล้วเพื่อเตรียมพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ ทำให้บรรยากาศยิ่งตึงเครียดมากขึ้นไปชั่วขณะ
สุดท้ายอวี๋เคอก็ลูบขนนกบนศีรษะของอาจิ่วแล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “อาจิ่ว ชีวิตของข้าผู้นี้ถูกส่งไปอยู่ในมือของเ้าแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะบอกให้เ้าไปเ้าก็ไปนะเข้าใจแล้วใช่ไหม? ”
“เข้าใจแล้ว! นายท่านท่านต้องอดทนจนกว่าข้าจะกลับมานะขอรับ! ”
“ได้”