Chapter 20
ที่นอกกำแพงสูง ออกจากชายแดนแห่งเทคโนโลยีล้ำสมัยและมนุษย์ที่อาศัยกระจุกรวมกัน คือพื้นที่ธรรมชาติไร้ไฟฟ้า หรือเทคโนโลยีใด ๆ หลังจากเมืองใหม่ในกำแพงสูงเป็แนวยาววนรอบโลกก่อสร้างเสร็จเมื่อห้าสิบปีก่อน ผู้คนได้ย้ายเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในนั้นจนเริ่มคุ้นเคยกับโลกในกำแพง ปล่อยบ้านเรือนตึกอาคารด้านนอกให้ร้างผู้คน บางส่วนมีบริษัททุบทำลายมาจัดการเพื่อหวังให้ธรรมชาติฟื้นฟูเร็วขึ้น
แต่การเจริญงอกงามแทงทะลุผ่านคอนกรีตหรือสิ่งก่อสร้างจากฝีมือของมนุษย์ยากเหลือเกิน ด้านนอกกำแพงสูงจึงไม่ต่างอะไรกับเมืองร้างผู้คน ไม้เลื้อย สัตว์ พร้อมกับกองขยะมากมายจากมนุษย์คือเ้าของที่แห่งนี้ พวกมนุษย์ยุคนี้ตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกกำแพงสูงอีก หลักจากทำลายพื้นที่ธรรมชาติมาหลายร้อยปี
ในความเงียบของฤดูหนาวด้านนอกกำแพงสูง คฤหาสน์กริฟฟิน ที่บัดนี้ตระกูลกริฟฟินไม่ได้เป็เ้าของมันอีกแล้วยังคงตั้งตระหง่าน มันตกเป็ทรัพย์สินของธนาคารและยังไม่มีคำสั่งให้ทุบทำลาย โครงสร้างที่แข็งแรงทำให้มันตั้งอยู่ดังเดิมแม้ผ่านมา 99 ปี มีเพียงต้นไม้ในสวนที่ไม่ได้รับการตัดแต่งอย่างเป็ระเบียบ จนเจริญเติบโตขึ้นหนาทึบคล้ายป่ารอผลิดอกบานสะพรั่งในฤดูกาลถัดไป ตามกำแพงมีไม้เลื้อยสีเขียวเข้มค่อย ๆ ครองคฤหาสน์แห่งนี้มาเป็ของตน มันจึงดูมีชีวิตชีวามากขึ้นแม้จะร้างผู้คนก็ตาม
แต่ที่ท้ายสุดของกำแพงคฤหาสน์ มุมอับสายตาในสวนรก ๆ ที่ยามนี้มีหิมะสีขาวโพลนกลบทับสีเขียวเอาไว้ มีกระท่อมเล็กที่สร้างด้วยหินสีน้ำผึ้งกับหลังคาสีเทาเข้มตั้งอยู่ มันเคยเป็บ้านพักของคนสวนประจำคฤหาสน์ และยังคงโครงสร้างของบ้านเมื่อร้อยปีก่อนเอาไว้ ปล่องไฟ้าหลังคามีควันลอยออกมาท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ แสดงถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิต ไฟสีส้มสว่างวูบวาบเล็ดลอดออกจากหน้าต่างเล็กของกระท่อม
เสียงยกของหนักวางลงบนพื้นแข็ง เสียงใส ๆ ของเครื่องเรือนกระทบกัน เสียงฟืนในเตาผิงที่กำลังเผาไหม้ ความอบอุ่นจากเปลวไฟแผ่รอบกระท่อมเล็ก กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ไม่รู้ว่าคือกลิ่นอะไรกำลังแย่งชิงพื้นที่กับฝุ่นละอองที่จะลอยเข้าจมูกเมื่อหายใจเข้า
โจไซอานอนขดใต้ผ้าห่มเก่าที่ยังมีฝุ่นเกาะบนเตียงเดี่ยวขนาดเล็กทำจากโครงเหล็กดัด มีฟูกแข็งวางรอง และเย็นเฉียบไปทุกอณูจนแทบไม่ช่วยให้ความอบอุ่น เปลือกตาช้ำขึ้นสีคล้ำค่อย ๆ ขยับ ตอนนี้โจไซอามีแรงมากพอจะลืมตา หลังนอนขดไม่ได้สติและเ็ปไปทั้งตัวจนลุกไม่ไหวอยู่นาน
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองสำรวจสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เขากะพริบตาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าคือความจริง เพราะข้าวของเก่า ๆ ภายในห้อง กับหลอดไฟดวงใหญ่สีส้มเพียงไม่กี่ดวงดูคล้ายกับหลงยุคสมัย เขาเกือบคิดว่าตนเองหลุดไปอยู่ในอดีตเมื่อครั้งยังอายุน้อย
โจไซอาพยายามลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงดึงผ้าห่มห่อกายเอาไว้เพราะยังหนาวเย็น แม้ไฟในเตาผิงที่ปลายเตียงยังคงลุกไหม้ให้ความอบอุ่น เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของใครอีกคนภายในบ้าน จึงพยายามมองผ่านไปอีกห้องหนึ่งที่เขาเห็นโต๊ะและเก้าอี้อยู่ แต่ยังไม่เห็นว่าเป็ใคร และอ่อนแรงเกินกว่าจะลุกขึ้นเดิน
ขณะที่กำลังขดขาสองข้างมากอดเอาไว้ให้รู้สึกอุ่นขึ้น แรงดึงจากที่ข้อเท้าข้างซ้ายก็ขัดขวางโจไซอา มือผ่ายผอมสะบัดผ้าห่มออกเผยให้เห็นข้อเท้าเรียวบาง มีเชือกธรรมดาเส้นใหญ่มัดข้อเท้าของเขาไว้กับโครงเหล็กปลายเตียง โดยมีผ้าสีขาวรองที่ข้อเท้าก่อนหนึ่งชั้นไม่ให้เชือกหยาบ ๆ เสียดสีกับผิวบอบบาง
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง และใกล้กว่าที่ได้ยินก่อนหน้านี้ โจไซอาจึงเงยหน้าขึ้นมอง ชายผมสีขาวซีด มีใบหน้าเหมือนกับเอเดน กริฟฟินทุกกระเบียดนิ้วเดินเข้ามาพร้อมกับฟืนในอ้อมแขนจำนวนหนึ่ง ดวงตาสีเฮเซลที่สะท้อนแสงไฟสีส้มมองโจไซอานิ่งและเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนจะหลบตา เพื่อเอาฟืนไปเติมในเตาผิง ใช้ที่คีบเหล็กเขี่ยมันเบา ๆ เพื่อให้ไฟไม่ดับ
“อุ่นขึ้นไหมครับ”
เสียงทุ้มที่เปล่งออกมายังคงไม่ต่างจากเดิม โจไซอามองแผ่นหลังกว้างใต้เสื้อแจ็กเกตสีน้ำตาลเข้มด้วยความใ ยิ่งได้ฟังเสียงยิ่งทำให้เขาคิดถึง และแม้จะได้ยินทุกถ้อยคำจากอีกฝ่าย แต่เขากลับไม่มีสติมากพอจะตอบคำถาม มัวแต่มองทุกการกระทำของชายตรงหน้าด้วยแววตาเต็มไปด้วยความรักและความโหยหาไม่ต่างจากเมื่อ 99 ปีก่อน
เมื่อแซ็กคารียังไม่ได้คำตอบ เขาจึงหันหลังมองอีกฝ่ายที่เขาเป็ผู้อุ้มมาวางลงบนเตียงนั้นด้วยตนเอง แซ็กคารีทั้งห่มผ้าให้หลายชั้น ทั้งจุดเตาผิงและนั่งเฝ้าไม่ให้มันดับอยู่นาน จนร่างผ่ายผอมที่นอนขดสั่นพร้อมตัวเย็นเฉียบเริ่มอุ่นขึ้น เปลี่ยนเป็นอนนิ่ง
เืสีแดงสดจำนวนมากไหลออกจากปลายจมูกของอีกฝ่ายตลอดทางที่อุ้มแนบอกบินผ่านชายแดนแล้วออกนอกกำแพงมา จึงมีจุดสีแดงเลอะตามคอเสื้อสีขาวของโจไซอา และเลอะมาถึงเสื้อแขนยาวตัวในของแซ็กคารีที่เขายังไม่ได้ถอดเปลี่ยนตัวใหม่ ผ้าสะอาดหลายผืนที่มีในกระท่อมเล็กแห่งนี้นำมาใช้เช็ดเืออกจากใบหน้าถึงลำคอโจไซอาจนสะอาด กระทั่งหยุดไหล แต่แซ็กคารีลืมรอยเืที่เลอะเสื้อตนเอง เพราะมัวแต่คอยดูเตาผิงไม่ให้ดับ
ร่างกายกำยำลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวเท้าเชื่องช้ามาหาผู้ที่ตนมั่นใจว่าไม่ใช่มนุษย์และกำลังนอนป่วยบนเตียงของเขา แซ็กคารีพยายามรื้อค้นความทรงจำทั้งชาติก่อนและชาตินี้หลายครั้ง แต่ยังคงนึกไม่ออก
“คุณเป็ใคร” เสียงทุ้มถามหนักแน่นฟังดูน่าเกรงขาม และแซ็กคารีอาจหาอาวุธมาป้องกันตัว หรืออาจอยู่ในร่างซาตาน หากชายร่างผ่ายผอมผู้นี้แข็งแรงพร้อมต่อสู้กับเขาได้
โจไซอาชะงักนิ่งราวมีก้อนหินอุดที่ลำคอ เพราะไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ยินคำถามนี้จากชายผู้เป็ที่รัก ถึงเสียงจะเหมือนเดิม ใบหน้าและร่างกายกำยำไม่มีความแตกต่างนอกจากสีผม เพราะอีกฝ่ายกลับมาเกิดเป็ซาตาน แต่เหตุใดเผ่าพันธุ์ุ์ที่ความทรงจำเป็เลิศกลับจำโจไซอาไม่ได้
“จำฉันไม่ได้เหรอ” เสียงของโจไซอาแหบแห้งและแ่เบา เขาช้อนตามองอีกฝ่ายด้วยความเสียใจเพราะผิดหวัง ซึ่งชายตรงหน้าที่ยืนห่างออกไปหลาย่แขนไม่ยอมก้าวเท้ามาใกล้และส่ายหน้าตอบเขาช้า ๆ ยิ่งสร้างความผิดหวังให้ทับถมสูงขึ้นอีก
“ฉันคือเทพแห่ง… ช่างเถอะ ฉันชื่อโจไซอา” เขาไขข้อสงสัย พร้อมเก็บคำถามและความผิดหวังไว้กับตัว
“ท่านองค์เทพ”
แต่สิ่งที่โจไซอาได้รับกลับไม่ใช่อย่างที่เขา้า ร่างกายกำยำคุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วก้มหัวคางชิดอก วางแขนไว้บนหน้าขาข้างที่ตั้งชันกับพื้น เป็ท่าทำความเคารพและแสดงความภักดีของซาตาน สร้างความห่างเหินยิ่งกว่าการไม่รู้จักกันกลับกลายเป็ช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเทพกับเผ่าพันธุ์ซาตานที่อยู่ต่ำกว่า
“ผมขอโทษที่เสียมารยาทกับท่าน”
“เธอไม่ต้องทำแบบนั้น ลุกขึ้น” อีกฝ่ายทำตามคำสั่ง ท่าทีน่าเกรงขามหายไป เหลือเพียงความนอบน้อมและเข้มแข็งในเวลาเดียวกันอย่างที่เห็นบ่อย ๆ จากซาตานผู้รับใช้เทพ
“พ่อถึงกับต้องส่งท่านองค์เทพมาตามผมกลับเผ่าเลยเหรอครับ” เสียงทุ้มพูดเบาราวบ่นกับตนเองและไม่คาดหวังคำตอบมากนัก ดวงตาสีเฮเซลแสดงความเหนื่อยหน่าย เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อส่งใครมาตามกลับเผ่า
“เปล่า เขาแค่บอกว่าเธออยู่โลกมนุษย์”
สรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าโจไซอาเป็เทพ ยิ่งสร้างความห่างเหินเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ แม้จะอยู่ในห้องเดียวกัน ใต้กระท่อมเล็กหลังเดียวกันเช่นนี้ก็ตาม โจไซอาเหนื่อยอ่อนเพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร และไม่รู้ว่าความทรงจำของเอเดนหายไปไหน แต่แน่นอนว่าโจไซอาไม่ได้คิดอยากยอมแพ้
ความสงสัยกับคำถามมากมายก่อเกิดในความคิดของแซ็กคารีอีกครั้ง เมื่อข้อสันนิษฐานแรกว่าพ่อผู้เป็าาเผ่าส่งเทพมาตามตัวเขากลับบ้านไม่ใช่เื่จริง ด้วยความเก็บตัวไม่สุงสิงกับเทพองค์ใดเท่าไรนัก และปรากฏกายในเมืองเทพนับครั้งได้ ทำให้เขานึกไม่ออกว่ามีเหตุผลใดให้เทพเดินทางมาหาเขาถึงโลกมนุษย์ ด้วยสภาพร่างกายอ่อนแรงราวป่วยหนักเช่นนี้
“ฉันเป็— คนรักของเธอเมื่อชาติก่อน”
โจไซอาเอ่ยติดขัดเพราะเ็ปที่ลำคอทุกครั้งยามเปล่งเสียง แซ็กคารีขมวดคิ้วแน่น เพียงแค่มองก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อสิ่งที่โจไซอาบอก
“ผมจำท่านไม่ได้”
“ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมเธอถึงจำฉันไม่ได้ แต่ว่า—” โจไซอาหยุดพูดกะทันหัน เพราะไอโขลกไม่หยุดจนไม่สามารถพูดต่อได้
“ผมจะไปชงชามาให้ครับ”
แซ็กคารีเอ่ยขัดขวางคำบอกเล่าไร้ความน่าเชื่อถือจากปากโจไซอา เขาเห็นเทพผ่ายผอมนั่งกอดตนเองและกายเริ่มสั่นเล็กน้อย พร้อมไอโขลกจนตัวโยน จึงรีบพูดโพล่งออกไป บรรยากาศบางอย่างที่โจไซอาแผ่ออกมาทำให้แซ็กคารีสับสนระคนสงสัย เขาไม่อาจทนความรู้สึกของการไม่รู้คำตอบของคำถามมากมายในหัว การรีบหลบหนีมายืนคิดเพียงลำพังสักพักระหว่างเทน้ำร้อนใส่แก้วที่มีใบชากลายเป็ความคิดที่ดีที่สุดสำหรับแซ็กคารี และเขาต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเอง ที่จับร่างกายผ่ายผอมไร้ทางสู้ของเทพทุ่มลงบนพื้นหิมะอย่างแรงจนอีกฝ่ายสลบ
โจไซอามองตามร่างสูงตาละห้อย กอดกระชับผ้าห่มห่อตัวแน่นขึ้น แล้วมองเชือกที่ผูกข้อเท้าไว้กับปลายเตียง ถึงเชือกเส้นนี้เป็แค่เชือกเก่า ๆ ธรรมดาไม่ได้มีอำนาจวิเศษใด ๆ และโจไซอาสามารถบันดาลให้มันหายไปได้โดยง่าย แต่มันบ่งบอกอะไรหลายอย่าง ว่านอกจากชายผู้เป็ที่รักจะจำเขาไม่ได้แล้ว ยังมีความกลัว และความไม่ไว้ใจอยู่ด้วย
โจไซอามองสำรวจพบว่ากระท่อมเล็กแห่งนี้มีเพียงแค่ส่วนห้องนอนกับห้องครัวที่น่าจะรวมห้องนั่งเล่นด้านนอก และทุกห้องเชื่อมถึงกันโดยไม่มีประตู แต่มีร่องรอยราวถอดมันออก ที่ผนังมีหมุดสำหรับแขวนเสื้อคลุม ส่วนที่พื้นห้องบนพรมสีน้ำตาลเข้มขนาดใหญ่หน้าเตาผิง มีกองหนังสือวางซ้อนกันหลายกอง มีทั้งภาษาของมนุษย์ ภาษาขยุกขยิกของเหล่าภูตผี และอักขระเทพ
แซ็กคารีเดินกลับมาที่ห้องนอนอีกครั้งพร้อมแก้วชาใบใหญ่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ และควันสีขาวลอยจากปากแก้ว มือหนาส่งแก้วชาให้ โจไซอาปล่อยมือจากผ้าห่มและรับความอบอุ่นจากแก้วไว้ ผิวกายทั้งสองแตะกันอย่างไม่ตั้งใจเพียงเสี้ยววินาที แต่จุดเชื้อเพลิงในกายของโจไซอาให้ลุกไหม้และสว่างไสว เพราะเป็ความอบอุ่นอย่างที่โจไซอาเฝ้าคิดถึง
แต่แซ็กคารีรักษาระยะห่าง เขาก้มหัวเล็กน้อยเป็การขอโทษ แล้วรีบถอยออกมายืนปลายเตียง โจไซอาต้องกุมแก้วชาไว้ในอุ้งมือสองข้างแทนความอบอุ่นจากมือแซ็กคารี เพื่อช่วยบรรเทาความหนาวเย็นถึงกระดูกได้เพียงเล็กน้อย เพราะมันเกิดจากโรค ไม่ใช่เพราะอากาศหนาวในคืนที่หิมะโปรยปราย
“ขอบใจ” แซ็กคารียังคงยืนจ้อง ราวไม่พอใจกับคำขอบคุณด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน โจไซอาขมวดคิ้วเอียงคอเล็ก ๆ รอคอยให้อีกฝ่ายขยายความ จนเขาค่อย ๆ ยกแก้วชาขึ้นจิบ ความไม่พอใจนั้นจึงหายไปจากแววตาของแซ็กคารี
กลิ่นหอมของใบชาแก่และน้ำร้อนไหลผ่านลำคอ ทำให้ร่างกายของเทพผู้เป็โรครักระทมอุ่นขึ้น แม้เพียงนิดแต่สร้างแรงกายให้โจไซอาได้อย่างน่าประหลาด ชาแก้วนี้มีอำนาจเยียวยามากกว่าชาแก้วไหน ๆ ที่เขาดื่ม อาจเป็เพราะชายผู้เป็ที่รักมอบให้โจไซอา
ความทรงจำชวนให้มีความสุขจึงย้อนกลับมาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มบาง เมื่อตอนที่เอเดน กริฟฟินรู้ดีว่าเทพไม่รู้จักความหิวโหย แต่ยังทำอาหารเผื่อโจไซอาทุกเช้า ไม่แตกต่างจากแซ็กคารีในตอนนี้ ซาตานย่อมรู้ดีว่าเทพไม่้าอาหาร แต่ดวงตาสีเฮเซลกลับจ้องโจไซอาเป็การบังคับทางอ้อมให้รีบดื่มชาเข้าไป
เมื่อเห็นว่าเทพดีขึ้นมาก แซ็กคารีจึงเดินถอยออกไปอีกครั้ง เพื่อไปผ่าฟืนด้านนอกกระท่อมมาเติมในเตาผิงเพิ่ม ซาตานอายุ 25 ปี เฝ้าคิดว่าเทพอย่างโจไซอาทำผิดกฎใดหรือไม่ ถึงได้ถูกลงโทษให้เ็ปกับอาการป่วยเช่นนี้จนดูเหมือนไม่ใช่เทพ แต่เป็มนุษย์ป่วยโรคอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น
“เดี๋ยวก่อน” โจไซอารีบรั้งอีกฝ่าย สองเท้าที่สวมรองเท้าบูทคลุมปิดถึงข้อเท้าหยุดนิ่ง
“ท่านอยากได้อะไรเหรอครับ”
“อยู่ด้วยกันก่อนได้ไหม”
แซ็กคารีมองโจไซอานิ่งสักพัก แล้วหันหลังออกไปจากห้องนอนราวไม่รับรู้ถึงคำขอของเทพ แต่เพียงไม่นาน มือหนาก็ยกเก้าอี้ไม้ข้างนอกเข้ามาวางข้างกับปลายเตียง แล้วนั่งลงไป เรียกรอยยิ้มบางด้วยความดีใจจากองค์เทพ
โจไซอาไม่สามารถห้ามใจตัวเองได้เลย เขานั่งมองแซ็กคารีไม่วางตาระหว่างจิบชาร้อน ๆ ในแก้ว มองสำรวจทุกรายละเอียดด้วยความโหยหา จึงกลายเป็ความอึดอัดหนาแน่นก่อตัวในใจของแซ็กคารีที่จำอะไรไม่ได้ ร่างสูงกำยำพยายามหลบตาไปมองเปลวไฟในเตาผิง แต่เมื่อหันกลับมาก็ยังเห็นว่าโจไซอานั่งจ้องเขาเช่นเดิม เลยได้แต่ถอนหายใจเสียงดัง
โจไซอารับรู้ความอึดอัดจากอีกฝ่าย จึงหักห้ามใจแล้วเลื่อนสายตามองอย่างอื่นบ้าง เชือกเส้นใหญ่ที่ผูกข้อเท้าของเขาไว้กับปลายเตียงเป็จุดวางสายตาพอดี มือผ่ายผอมดึงผ้าห่มขึ้นจนเห็นข้อเท้าผูกเชือก แล้วขยับมันเพียงเล็กน้อยด้วยแรงอันอ่อนล้า
“เกิดใหม่เป็ถึงซาตาน แต่ใช้เชือกโง่ ๆ นี่มัดฉันเนี่ยนะ”
แซ็กคารีเพิ่งนึกได้ว่าตนเองมัดข้อเท้าของเทพเอาไว้กับปลายเตียง เขารีบร้อนแกะมันออกจากข้อเท้าเรียวบาง แม้จะใช้ผ้ารองเอาไว้แล้ว แต่เชือกหนาที่เขามัดจนแน่นยังสร้างรอยแดงบนข้อเท้าอยู่ดี มือหนาอุ่นร้อนตามอุณหภูมิของซาตานแตะลงบนรอยแดงนั้นอย่างไม่รู้สาเหตุของการกระทำ เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกส่วนใดกำลังสั่งการมือของเขาเอง รู้เพียงว่าการลูบอย่างแ่เบาที่ข้อเท้าเรียวบางนี้เป็ความคุ้นเคยบางอย่าง
“ท่านดู… ไร้เรี่ยวแรง”
หากโจไซอาดูแข็งแกร่งสมเป็เทพผู้มีอำนาจวิเศษ แซ็กคารีคงหาแท่งเหล็กยาวมาจับดัดมัดรอบมือเท้าของอีกฝ่ายไว้ และอยู่ในร่างซาตานตลอดเวลาอย่างแน่นอน แต่เพราะโจไซอาดูอ่อนแอจนเขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายเขาได้ แซ็กคารีจึงใช้เพียงเชือกธรรมดาที่มีอยู่ในกระท่อมแห่งนี้มัดข้อเท้าอีกฝ่าย และกำลังรู้สึกผิดที่ทำเช่นนี้กับเทพไร้ทางสู้
มืออุ่นร้อนลูบข้อเท้าเรียวบางเพียงแ่เบา แต่สามารถเผื่อแผ่ความอบอุ่นให้โจไซอาได้มากกว่าเตาผิงและชาร้อน ๆ ในมือ ร่างกายของซาตานจะอุ่นร้อนยิ่งกว่ามนุษย์ ััจากแซ็กคารีจึงกลายเป็สิ่งที่โจไซอา้าในทันที เพราะทั้งอบอุ่น และทั้งคิดถึงสุดหัวใจ
แต่เพียงไม่นาน แซ็กคารีก็รีบชักมือออกหลังรู้ตัวว่าตนเองเผลอทำอะไรแปลก ๆ กับเทพที่ตนไม่รู้จัก ศีรษะของซาตานก้มลงเล็กน้อยเป็การขอโทษ ก่อนจะถอยไปนั่งหลังตรงบนเก้าอี้ไม้ข้างปลายเตียง รักษาระยะห่างระหว่างทั้งคู่ตามเดิม
แซ็กคารีเป็ซาตานช่างสงสัยมาแต่ไหนแต่ไร นับั้แ่ค่อย ๆ เติบโตมาพร้อมกับความทรงจำในชาติปัจจุบัน และความทรงจำของชาติก่อน เขาก็มีคำถามมากมายเกิดขึ้นพร้อมกับการออกหาคำตอบด้วยตัวเองที่โลกมนุษย์เสมอ และั้แ่ที่เขาอายุครบ 25 ปี เท่ากับอายุตอนตายในชาติก่อน ก็ไม่มีความทรงจำไหนที่เขายังไม่ได้รับอีก จึงน่าแปลกที่เทพนามว่าโจไซอาปรากฏกายในตอนนี้ พร้อมบอกว่าคือคนรักของเขา แต่เขาจำอะไรไม่ได้เลย
“ทำไมท่านถึงเรียกผมว่าเอเดน”
แม้คำบอกเล่าจากเทพจะไร้น้ำหนัก แต่เสียงแหบแห้งสามารถเรียกชื่อของเขาในชาติก่อนได้ถูกต้อง
“ฉันเป็คนรักของเธอไง เธอจำฉันไม่ได้จริง ๆ เหรอ” โจไซอาเริ่มร้อนรนกว่าเดิม มือผอมข้างซ้ายปล่อยแก้วชา ยื่นออกไปข้างหน้า
“ขอมือเธอหน่อยได้ไหม”
โจไซอาจะใช้วิธีเดียวกับที่เคยทำให้เอเดน กริฟฟินรู้ว่าเขาเป็เทพแห่งการร่วมประเวณี ขอเพียงแค่แซ็กคารียอมเอื้อมมือมาััเขาอีกครั้ง โจไซอาจะทำให้อีกฝ่ายเห็นภาพความทรงจำในชาติก่อนทั้งหมด เขาจะส่งความทรงจำกลับคืนเ้าของด้วยตัวเอง เมื่อนั้นอีกฝ่ายจะจดจำเขาได้ และทั้งคู่จะได้รักกันอีกครั้ง
แต่เทพสามารถสร้างความทรงจำปลอม ๆ ขึ้นมาได้เช่นกัน
แซ็กคารีจึงวางมือสองข้างของตนเองบนตักนิ่งไม่ขยับ และลุกขึ้นยืนด้วยเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“เชิญท่านกลับไปที่เมืองเทพเถอะครับ”
แซ็กคารีไม่ไว้ใจเทพร่างผ่ายผอมผู้นี้ ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม แล้วเขาจะไปหาคำตอบด้วยตัวเอง
“เอเดน…”
โจไซอายังไม่ยอมแพ้ เขาชูมือซ้ายขึ้น แบมันออกรอคอยให้แซ็กคารียอมส่งมือมาัั เสียงแหบแห้งยังคงเรียกชื่อในชาติก่อนด้วยความเคยชิน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนช้อนมองขอร้องวิงวอน สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดที่อธิบายไม่ได้ในอกของซาตานผู้เข้มแข็ง แต่แซ็กคารีกลบทับมันด้วยความโมโห
“ผมชื่อแซ็กคารี ไม่ใช่เอเดน! เขาเป็แค่อดีตเมื่อนานมาแล้ว”
ซาตานจดจำอดีตชาติ แต่ไม่ได้หมายความว่าซาตานเป็คนเดิมกับชาติก่อน
โจไซอารู้ข้อนั้นดี แต่ทุกการกระทำของซาตานที่เอ่ยว่าตนเองไม่ใช่เอเดน กริฟฟินกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด
“แล้วทำไมเธอถึงเอาของขวัญไปให้เด็กคนนั้นล่ะ…” โจไซอารู้ข่าวจากพวกภูต ว่าซาตานผู้นี้มักแวะไปที่กระท่อมย่านคนจนชั้นล่างสุดของกำแพงสูงเสมอ
“ไม่ใช่เพราะว่าเด็กคนนั้นคือทายาทกริฟฟิน หรือเหลนของเธอเหรอ”
แซ็กคารีนิ่งเงียบเพราะเถียงอะไรไม่ออก
“ถ้าเอเดนเป็แค่อดีตจริง เธอจะมาอยู่ในกระท่อมเก่า ๆ ในรั้วคฤหาสน์กริฟฟินทำไม”
แซ็กคารีหันหลัง ตั้งใจจะเดินหนีออกไปที่ใดสักแห่ง หรือไม่ก็ออกไปหาคำตอบเื่โจไซอาด้วยตัวเองคลายความสงสัย บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากโจไซอาทำให้เขาอยากวิ่งหนี มีแต่ความไม่รู้ และไม่เข้าใจอยู่เต็มไปหมดอย่างน่าหงุดหงิด
โจไซอาวางแก้วชาว่างเปล่าลงบนเตียง สะบัดผ้าห่มจากตัวพยายามลุกขึ้นยืนสุดกำลัง เท้าเปลือยเปล่าััพื้นเย็นเฉียบจนมันบาดลึกถึงกระดูก มือข้างหนึ่งจับฟูกเตียงนอนพยุงให้ตัวเองสามารถเดินไปคว้าข้อมือของอีกฝ่ายก่อนที่จะหายไปได้
ภาพซ้อนทับเมื่อ 99 ปีก่อนฉายซ้ำในความคิด เหตุการณ์ในวันนั้นที่เอเดนหันหลังให้เขาและไม่หันหลังกลับมาอีกเลย ร่างกายของโจไซอาก็อ่อนปวกเปียกจนไม่สามารถรั้งอีกฝ่ายไว้ได้เช่นเดียวกับวันนี้ โจไซอาไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซ้ำสองอีกต่อไปแล้ว
“เอเดน— ไม่ แซ็กคารี รอก่อน”
ยังไม่ทันได้คว้าข้อมือของแซ็กคารี ร่างกายผ่ายผอมอ่อนแรงของโจไซอาก็ล้มลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังโครมครามเสียก่อน แก้วชาที่วางบนเตียงร่วงหล่นตามเพราะมือผอมพยายามคว้าผ้าห่มพยุงร่างกายไม่ให้ล้ม แก้วจึงแตกเป็เสี่ยง ๆ กระจายอยู่รอบตัวโจไซอา มือสองข้างวางค้ำกับพื้น และััเข้ากับเศษแก้วแตกพอดีจนบาดลึกเืไหลอาบ
โชคไม่ดีนักที่เมื่อร่างกายไม่มีผ้าห่มให้ความอบอุ่น พร้อมกับการพูดยาวเหยียดด้วยแรงอารมณ์ดูดพลังงานอันน้อยนิดจากโจไซอาไป อาการของโรคหนักขึ้นอีกครั้ง โจไซอาไอโขลกรุนแรง เขาจะยกมือขึ้นปิดปาก แต่มือทั้งสองข้างก็มีแผลเืไหลอาบจากเศษแก้ว
แซ็กคารีคว้าข้อมือของโจไซอาไว้ก่อนมันปิดแนบริมฝีปากที่ไอไม่หยุด ซาตานใช้ผ้าสะอาดสีขาวปิดปากที่ไอโขลกเป็ละอองเืของโจไซอาเอาไว้ ใช้เท้าปัดเศษแก้วรอบตัวอีกฝ่ายออกไม่ให้าเ็ แล้วรวบกายโจไซอาแนบอก อุ้มขึ้นวางบนเตียงอีกครั้ง
แซ็กคารีรีบไปหาผ้าสะอาดสีขาวอีกผืนมา แล้วนั่งลงข้าง ๆ โจไซอา เพื่อใช้ผ้าเช็ดเืที่ฝ่ามือเรียวทั้งสองข้างให้ โจไซอายังคงไอไม่หยุด เ็ปทุกครั้งที่ไอจนน้ำตาไหลตาม มันร้อนและแผดเผาผ้าที่ใช้ผิดปากอยู่จนขึ้นรอยไหม้สีดำปะปนกับรอยเืสีแดง มือใหญ่จึงเปลี่ยนมาลูบแผ่นหลังโจไซอาขึ้นลง พร้อมคิ้วขมวดแน่นด้วยความกังวล
โจไซอาจึงได้รับความอบอุ่นจากอีกฝ่าย ความหนาวเหน็บจนตัวสั่นหายไปเพราะผิวกายอบอุ่นของซาตาน เขาหยุดไอพร้อมกับรอยเืมากมายที่เลอะตามริมฝีปากจนถึงคางและแก้ม ฝ่ามือสองข้างก็มีแต่เื และแสบแผลไปหมด รอยแผลแทบไม่ฟื้นฟูอย่างที่ควรจะเป็เลยสักนิด แซ็กคารีจึงใช้ผ้ามาพันห้ามเืให้ทั้งสองข้าง
“ยังไงฉันก็ไม่หายหรอก” โจไซอาเอ่ยเมื่อเห็นแววตาของความกังวล แต่แซ็กคารีแค่เงยหน้าขึ้นสบตา แล้วพันแผลให้ต่อไปจนเสร็จ ดูเหมือนว่าซาตานผู้นี้จะใสซื่อและไม่รู้จักโรครักระทมของเทพ ถึงได้พยายามทุกวิถีทางในการช่วยรักษาเขา
“เงยหน้าหน่อยครับ”
โจไซอาเชิดหน้าขึ้นตามคำขอ ให้แซ็กคารีเช็ดเืออกจากคางและรอบริมฝีปากให้ ระหว่างนั้นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจึงมองใบหน้าอีกฝ่ายในระยะใกล้ชิด สำรวจเส้นผมสีขาวซีดที่เปลี่ยนแปลงไป นึกอยากััเส้นผมของอีกฝ่ายแต่แซ็กคารีคงไม่ยอม จึงเลื่อนสายตามองส่วนอื่น ๆ ของใบหน้าต่อ ดวงตาสีเฮเซลยังเป็ประกายซับซ้อนมองไม่เบื่อ จมูกปลายทู่น่าเอ็นดูจนเรียกรอยยิ้มให้วาดประทับบนใบหน้าซูบผอมของเทพ
แซ็กคารีหยุดนิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นในความใกล้ชิด เขาเผลอสบตากับโจไซอาที่มีแววความสุขเปล่งประกายอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแม้ตนเองเพิ่งไอเป็เื และได้แผลที่ฝ่ามือสองข้าง เขาไม่สามารถจ้องมองแววตานี้ได้นานหากอยู่ในความใกล้ชิดเช่นนี้ จึงหลบตาและเช็ดรอยเืออกจนสะอาด ผ้าที่ใช้เช็ดเืนั้นเต็มไปด้วยสีแดงสด
“เอาไปเผาสิ” โจไซอามองผ้าผืนนั้นแล้วเอ่ยเสียงค่อย ปลายนิ้วที่มีผ้าพันแผลชี้รอยเืบนอกเสื้อแขนยาวตัวใน “นี่ด้วย ต้องเผาทิ้ง”
แซ็กคารีขมวดคิ้ว ใบหน้าแสดงความสงสัยชัดเจนราวกำลังถามโจไซอาว่าทำไม
“ไม่ควรเก็บเืของเทพตอนเป็โรคไว้ มันเป็คำแช่งไม่ให้สมหวังเื่ความรัก”
“ผมไม่สนเื่แบบนั้นหรอกครับ”
แซ็กคารีหลบตา เก็บผ้าหลายผืนที่เอามาเช็ดเืจนแทบไม่มีผ้าสะอาดผืนไหนหลงเหลือในกระท่อมเล็ก ๆ ที่อยู่อาศัยของเขาในโลกมนุษย์อีกแล้ว ก่อนที่แซ็กคารีจะลุกขึ้นไปจัดการกับเืเ่าั้และเศษแก้วที่พื้น มือเรียวก็คว้าข้อมือของเขาไว้ก่อน
โจไซอาใช้โอกาสนี้ให้เป็ประโยชน์ เขาหลับตาและนึกภาพความทรงจำทั้งหมดของตนเองกับเอเดน กริฟฟินในชาติก่อน ั้แ่ตอนเจอกันครั้งแรกที่คลับ ตอนไปเที่ยวเกาะส่วนตัวด้วยกัน จนถึงตอนที่ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันในบ้านชั้นเดียวแสนอบอุ่น บันดาลให้แซ็กคารีเห็นภาพเ่าั้เช่นเดียวกันกับเขาผ่านการัั
แต่ภาพที่แซ็กคารีเห็น กลับเป็สีดำมืด และว่างเปล่า
เขาจึงจับมือของโจไซอาออกจากข้อมือตนเองด้วยความสุภาพ และลุกออกไป หันหลังให้เทพที่ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
tbc.
#เฮเซลอาย