ไม่ต้องบอกก็พอจะทราบว่าประสิทธิภาพในการทำงานของพ่อบ้านนั้นสูงเพียงใด
่เช้าซูจิ่นซีพึ่งจะเอ่ยถึงเื่นี้ไป ่บ่ายก็ให้คนไปหาสิ่งที่ซูจิ่นซี้ามาให้อย่างรวดเร็ว
ในเมื่อสิ่งของมาถึงมือแล้ว ซูจิ่นซีว่างอยู่พอดีจึงเริ่มจัดการของพวกนั้นกับลวี่หลีทันที
ปกติแล้วกระถางต้นไม้ก็ต้องเอามาปลูกต้นไม้ หากเยี่ยโยวเหยาไม่ชอบต้นไม้ ดอกไม้ใบหญ้าแล้วละก็ ในจวนจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ได้ ทว่านางก็สามารถที่จะปลูกต้นไม้สักสองสามกระถางในเรือนอวิ๋นไคของนาง เพราะในยุคปัจจุบันนางก็เป็ผู้ที่ชอบชมนกชมไม้อย่างยิ่ง
สำหรับด้านหน้าเรือนอวิ๋นไคที่ว่างนั้น... นางคิดจะใช้เป็ที่ปลูกยาสมุนไพร
หลังจากได้เดินชมรอบจวนไปหนึ่งรอบถ้วน ซูจิ่นซีก็คิดได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
ในเมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่ให้ได้
เมื่อก่อนนางอยู่ในที่ที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้า ในยุคนั้นก็มีข้อดีของยุคนั้น ทว่าในยุคนี้ก็มีข้อดีของยุคนี้เช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น สมัยโบราณนี้ไม่มีแพทย์แผนตะวันตก ดังนั้นแพทย์แผนจีนจึงเป็ที่นิยมมากที่สุด
ในตัวของนางมีระบบถอนพิษ สิ่งนี้ยังสามารถเลื่อนขั้นได้แสดงให้เห็นว่ายังมีช่องว่างให้พัฒนาอีกมาก นางสามารถใช้สมุนไพรจีนโบราณฝึกฝนฝีมือให้ดีและไม่แน่ว่าอาจพัฒนาถึงทักษะสูงสุดของระบบถอนพิษนี้ก็เป็ได้ นางอยู่ในยุคนี้ยังสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างมาก มากจนกระทั่งอาจทำให้โลกนี้เป็โลกของพิษเลยก็เป็ได้
ซูจิ่นซีเดิมทีเป็คนมองโลกในแง่ดีอยู่แล้ว เมื่อคิดได้แบบนี้ ในโลกใบนี้ของนางจึงเต็มไปด้วยความหวังสำหรับชีวิตในอนาคต
สู้ ซูจิ่นซี! ลุย!
ซูจิ่นซีกับลวี่หลีกำลังจัดการกับดอกไม้และต้นไม้ตลอด่บ่าย แม้แต่ข้ารับใช้ที่ว่างงานในจวนหลายคนก็มาช่วย ดูเหมือนพวกเขาจะยุ่งอย่างเอาเป็เอาตาย
ซูจิ่นซีคิดว่าชีวิตแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่มีการต่อสู้ในวัง ไม่มีการต่อสู้ในจวน หากสามารถใช้ชีวิตเรียบง่ายและมั่นคงเช่นนี้ตลอดชีวิตได้ก็คงดีไม่น้อย
ทว่าข้อเท็จจริงนั้น ์ไม่ได้กำหนดให้เป็ไปตามที่มนุษย์้าทุกสิ่ง
เื่ยุ่งยากมาแล้ว!
เมื่อพ่อบ้านเฒ่าเข้ามาพูดว่าทางตำหนักหนานย่วนของเฉินไท่เฟย ส่งคนมารายงานให้ซูจิ่นซีเข้าพบพรุ่งนี้เช้า
แม่สามีเรียกมาพบเช่นนี้! ซูจิ่นซีขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด
เ้าของร่างเดิม เดิมทีมีใบหน้าที่น่าเกลียด โง่เขลาเบาปัญญา ไม่มีผู้ใดอยากจะคบหาสมาคมด้วย อีกทั้งยังเป็สตรีที่ไท่จื่อทิ้งขว้าง เมื่อไม่้าก็ผลักมาให้เยี่ยโยวเหยา คิดจะให้นางมาเป็ความอัปยศแก่เยี่ยโยวเหยา
ลูกสะใภ้ที่เป็ความอัปยศเช่นนี้ เป็ไปได้อย่างไรที่แม่สามีจะเรียกเข้าพบ
ทั้งยังเป็เฉินไท่เฟยเรียกพบ ที่สำคัญยังเลือกตอนที่เยี่ยโยวเหยาไม่ได้อยู่ในจวนเสียด้วย ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีได้คุยกับพ่อบ้านจึงเข้าใจแล้วว่าเยี่ยโยวเหยาอยู่จวนน้อยมาก หนึ่งเดือนจะอยู่จวนเพียงแค่สองถึงสามวัน ในเมื่อวันนี้พึ่งจะออกไปก็ไม่มีเหตุผลที่วันนี้ตอนกลางคืนจะกลับมา
ไม่แปลกหากจะบอกว่าพรุ่งนี้เฉินไท่เฟยจะจัดงานเลี้ยงที่หงเหมิน [1] เพื่อเป็เหตุผลในการวางแผนที่จะจัดการกับนางในภายหลัง หากเยี่ยโยวเหยาไปพร้อมกับนางด้วยก็ดีน่ะสิ!
ซูจิ่นซีคิดแบบนี้ไม่ใช่ว่าขี้ขลาดตาขาว ทว่ากลัวความยุ่งยากและปัญหา
หากนางตั้งใจที่จะอยู่ในตำหนักของโยวอ๋องต่อไปในอนาคต จะต้องไม่ทำให้แม่สามีอย่างเฉินไท่เฟยโกรธเคืองมากจนเกินไป ไม่อาจทราบได้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีสิ่งใดรอนางอยู่บ้าง อย่างน้อยดูปฏิกิริยาของแม่นมฮวาและคนอื่นๆ ใน่สองถึงสามวันที่ผ่านมาก็คล้ายว่าเยี่ยโยวเหยาจะมีทัศนคติที่ไม่เลวต่อนาง มีเขาอยู่เช่นนี้ ไม่แน่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นอาจสามารถแบ่งเบาภาระปัญหาได้ไม่มากก็น้อย
อย่างไรเสีย ตอนนี้นางก็อยู่ในฐานะชายาอ๋อง
“พ่อบ้าน วันนี้ตอนกลางคืนท่านอ๋องจะกลับมาหรือไม่? ”
แม้ว่าจะเป็ไปไม่ได้ ทว่าซูจิ่นซีก็ยังอยากจะสอบถามอยู่ดี
พ่อบ้านที่ฉลาดผู้นี้จึงเข้าใจความหมายของซูจิ่นซีได้โดยทันที
“เื่ในจวนมีองครักษ์เงาคอยรายงานต่อท่านอ๋องเป็ประจำอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เื่ที่ไท่เฟยอยากจะพบท่าน วันนี้กลางคืนท่านอ๋องก็อาจรับรู้แล้วเช่นกัน”
พ่อบ้านตอบกลับอย่างสุภาพ หมายความว่าท่านอ๋องอาจรับรู้เื่นี้ ทว่าจะกลับหรือไม่นั้นไม่ใช่เื่ที่ฐานะที่เป็เพียงพ่อบ้านเช่นตนจะสามารถตอบได้เช่นกัน
ซูจิ่นซีผิดหวังเล็กน้อยในใจ ทว่าก็แอบมีความหวังเล็กๆ
คิดอยู่นาน จู่ๆ ซูจิ่นซีก็พูดออกมาว่า “ท่านสามารถช่วยนำคำพูดของข้าส่งสาส์นถึงท่านอ๋องได้หรือไม่? ”
“เื่นี้... ทำได้พ่ะย่ะค่ะ! ”
ซูจิ่นซีคิดทบทวนอีกครั้ง
“ท่านให้คนนำคำพูดของข้าส่งถึงท่านอ๋องที บอกว่าพิษในร่างกายของเขาทั้งหมดข้าสามารถช่วยรักษาได้”
ขอเพียงเยี่ยโยวเหยาสามารถไปพบเฉินไท่เฟยกับนาง คำพูดด้านหลังนี่นางไม่ได้กล่าวออกไป ทว่าประโยคด้านหน้าก็ถือว่ามีความหมายแฝงแล้ว ซูจิ่นซีเชื่อว่าเยี่ยโยวเหยาสามารถเข้าใจได้หลังจากที่ฟังคำพูดนี้
ทว่าพ่อบ้านเมื่อได้ฟังคำพูดของซูจิ่นซีก็แทบจะก้าวไปปิดปากของนาง
ท่านอ๋องได้รับพิษเื่นี้เป็เื่ใหญ่ ในจวนมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าพูดถึง? คำพูดนี้หากท่านอ๋องได้ยินเข้าอาจทำให้หัวหลุดจากบ่าได้ทันที
ทว่าปัญหาก็ได้ผ่านไปแล้ว เพียงแต่พ่อบ้านยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับซูจิ่นซีอยู่บ้าง
ปัดข่าวลือเกี่ยวกับโรคทางประสาทและรูปลักษณ์ของพระชายาที่เคยประสบมาก่อนทิ้งไป ในเมืองตี้จิงนี้ต่างก็รับรู้ทั่วกันว่าตระกูลแพทย์สกุลซูมีไม้เสียที่ใช้ไม่ได้เช่นซูจิ่นซีอยู่ นางกล้าพูดได้อย่างไรว่าจะสามารถรักษาพิษในร่างกายของท่านอ๋องได้หมด?
พิษนั้นคือพิษที่แม้แต่ผู้ที่มีพร์ทางการแพทย์อย่างท่านหมออวิ๋นไท่ ณ ไท่อีเวี่ยน [2] และหมอเทวดาหวาที่อยู่ใต้อาณัติท่านอ๋องยังช่วยอันใดไม่ได้!
หลังจากไตร่ตรองดูแล้วพ่อบ้านก็ไม่อาจเชื่อคำพูดของซูจิ่นซีได้ในครานี้ ทว่าเนื่องจากพระชายาขอให้เขานำสาส์นดังกล่าวไปให้ฝ่าา ไม่นานหลังจากนั้นเขาจึงนำไปส่งให้ แม้จะมีข้อสงสัยแต่ไม่ได้ถามสิ่งใดให้มากความ
ั้แ่ได้ยินข่าวการเรียกพบของเฉินไท่เฟย ซูจิ่นซีก็ว้าวุ่นใจตลอด่บ่าย นางนั่งอยู่บนชั้นสองของเรือนอวิ๋นไค มองที่ประตูเรือนชิงโยวเพื่อรอให้เยี่ยโยวเหยากลับมา
เยี่ยโยวเหยา ท่านจะกลับมาหรือไม่?
ทว่ารอแล้วรอเล่า รอจนตัวเองเผลอหลับไปก็ยังคงไม่พบแม้แต่เงาของเยี่ยโยวเหยา
“พระชายาเพคะ เสด็จไปบรรทมที่เตียงเถิดนะเพคะ! ต้องลมเช่นนี้อาจทำให้ท่านประชวรได้นะเพคะ”
ซูจิ่นซีถูกเสียงของแม่นมฮวาทำให้ตื่น ประตูเรือนชิงโยวมืดสนิทมองไม่เห็นสิ่งใดแล้ว อย่างแรกที่นางทำคือมองไปทางตำหนักฝูอวิ๋นทันที ในตำหนักไม่มีแม้แต่แสงไฟ ตำหนักที่สูงสง่าและยิ่งใหญ่นั้นมืดและเงียบสนิท ทำให้หัวใจของซูจิ่นซีเหน็บหนาว
“ท่านอ๋องยังไม่กลับมาหรือ? ”
แม่นมฮวาถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ท่านอ๋องมีหน้าที่ที่ต้องแบกรับใหญ่หลวงนัก กิจค่อนข้างเยอะเพคะ! ”
ผู้คนในตำหนักนี้ดูเหมือนจะเห็นอกเห็นใจกันมาก พวกเขาพูดอย่างมีไหวพริบและไม่ทำร้ายจิตใจผู้อื่น
ซูจิ่นซีหัวเราะกับตนเองในใจ
ซูจิ่นซี เหตุใดเ้าจึงไม่พึ่งตัวเองเล่า จะอ่อนแอให้ผู้ใดมาแลมามองกัน?
หรือว่าเ้าจะมองว่าตนเองเป็พระชายาโยวอ๋องไปแล้วจริงๆ?
ตื่นเสียเถิด !
เขากับเ้าแม้แต่คำนับฟ้าดินยังไม่เคยเสียด้วยซ้ำ เช่นนี้จะเรียกว่าคู่สามีภรรยาได้อย่างไร?
มีที่พักพิงอิงอาศัยอย่างปลอดภัยก็ดีเพียงใดแล้ว
ซูจิ่นซีสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากคิดดูแล้ว นางก็ไม่ได้ผิดหวังอันใดมากนัก ถอนหายใจกับตัวเองแรงๆ เพียงครั้งเดียวจึงเข้านอนห่มผ้าและผล็อยหลับไปจนรุ่งสาง
กระทั่งพระอาทิตย์ส่องก้น ซูจิ่นซีจึงค่อยๆ ตื่นขึ้นมา
แสงยามเช้าที่ส่องเข้ามาในตา ซูจิ่นซีค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นดวงอาทิตย์สีแดงห้อยอยู่สูงนอกหน้าต่าง ซูจิ่นซีก็เด้งตัวออกจากเตียงทันที
ยุคที่ไร้เสียงนาฬิกาปลุกช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน คิดไม่ถึงว่าจะนอนเกินเวลาแล้ว
เมื่อวานพ่อบ้านบอกว่าคนจากหนานย่วนขอให้นางไปถึงในเวลาแปดเก้าโมงเช้า แดดส่องถึงก้นขนาดนี้แล้ว แต่ไม่มีใครเรียกให้ตื่นเลย ไม่รู้ด้วยว่าหนานย่วนไกลจากที่นี่หรือไม่ การเดินทางก็ไม่สะดวก เจอแม่สามีครั้งแรกก็สายแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็สมัยโบราณ แม้แต่สมัยปัจจุบันเื่การไปพบหน้าแม่สามีก็ยุ่งยากเหมือนกัน
ซูจิ่นซียืนอยู่บนพื้น มองหาเสื้อผ้าของนางอย่างไม่สนใจอันใด แม่นมฮวาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของซูจิ่นซีที่ลุกตื่นจากที่นอน นางยกอุปกรณ์ชำระล้างใบหน้าและผ้าเช็ดร่างกายเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางราวกับมีเลศนัย ดูมีความสุขมาก
“แม่นมฮวา พวกเ้าก็ไม่รู้จักปลุกข้าเล่า ตอนนี้กี่โมงแล้ว? ”
“กี่โมง? ”
เอ่อ... ซูจิ่นซีตบหน้าผากตนเอง “หมายถึงตอนนี้ยามใดแล้ว! ”
แม่นมฮวาไม่ได้ตอบคำถามของซูจิ่นซี ทว่าเพียงเผยยิ้มที่มีความสุขกลับมาอีกครั้ง
แม่นมฮวาวางสิ่งของทั้งหมดในมือลง นางยืนตัวตรงริมหน้าต่าง ไขว้มือไว้ทางด้านข้างลำตัว จงใจกระแอมไอแห้งๆ ปากของนางก็บุ้ยชี้ออกไปทางหน้าต่างและยิ้มแล้วยิ้มอีก “พระชายาเพคะ ท่านดูสิเพคะว่าผู้ใดมา? ”
ซูจิ่นซีสงสัยจึงมองออกไปทางหน้าต่าง แค่เพียงมองลงไปข้างล่างเท่านั้นตาของนางก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
โอ้ ์!!!
นางไม่ได้มองผิดไปใช่หรือไม่?
เยี่ยโยวเหยา???
คิดไม่ถึงว่าจะเป็เยี่ยโยวเหยา!!!
เขากลับมาั้แ่เมื่อไรกัน???
......
เชิงอรรถ
[1] งานเลี้ยงที่หงเหมิน หมายความถึงงานเลี้ยงที่ประตูห่านป่าเป็เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดใน 206 ปีก่อนคริสตกาล เป็ส่วนหนึ่งของาฉู่-ฮั่น
[2] ไท่อีเวี่ยน คือ สถาบันแพทย์หลวงในยุคราชวงศ์สุย