สมมุติฐานคือการคาดเดา สมมุติฐานจะเป็จริงหรือไม่คือสิ่งที่เราต้องลงมือค้นคว้า ตรวจสอบ ทดลองให้เกิดผลสำเร็จที่สามารถอ้างอิงได้จากหลักฐานที่แท้จริง สรุปง่ายๆ ก็คือ ต่อให้ต้องพลิกหุบเขาอู่หลิงให้กลับด้าน หรือแม้แต่ต้องขุดดินลงไปสามฉื่อก็ต้องหารังของพวกมันออกมาให้จงได้ เื่ง่ายๆ ที่ท้ายทายความตาย ชวนให้เืในกายเดือดพล่าน เนื้อหนังเต้นกระตุกยิกๆ อยากจะออกกำลังสักเล็กน้อยไปจนถึงมากที่สุด
“พวกชั่วไม่ดูเงาหัวตัวเอง”
พุบ!
ร่างเล็กผอมแห้งมองดูน่าเวทนา ในแง่การดำรงชีวิตถือว่าน่าสงสารแต่มันก็มีข้อดีอยู่บ้าง ด้วยร่างกายเล็กจ้อยผอมแห้งทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไว ประกอบกับทักษะที่เ้าตัวได้รับการฝึกฝนมาั้แ่ชีวิตในโลกที่จากมา ทำให้สัญชาตญาณตอบสนองต่อภัยคุกคามตื่นตัวอยู่ในระดับสูงเมื่ออยู่ในพื้นที่ปฏิบัติภารกิจ จางจื่ออี๋มองสิ่งมีชีวิตที่พุ่งจู่โจมเข้าแบบสายฟ้าแลบจากทางหางตา ร่างเล็กเบี่ยงกายหลบวิถีการโจมตีโดยไม่มีแม้แต่อาการตื่นตระหนกกระทั่งจังหวะการเต้นของหัวใจก็ยังไม่เปลี่ยน
ไร้ความตระหนก ไร้ความลังเล เมื่อ้าฆ่านางก็ย่อมสนองกลับไปโดยไร้ปราณี
ร่างเล็กพลิกดีดตัวด้วยพละกำลังอันแข็งแกร่งแล้วพุ่งทะยานไปด้วยฝีเท้าอันรวดเร็วพร้อมกับมีดสั้นที่หมุนควงอยู่ในเมือ เพียงเสี้ยววินาทีก็สามารถตัดสินความเป็ความตาย ภาพรอบด้านเชื่องช้าลงหลายสิบเท่านี่คือการประมวลผลจากสมองของจางจื่ออี๋ ร่างสีขาวมีเกล็ดเล็กละเอียดสะท้อนแสงแวววาวสะท้อนเข้ามาในสายตา และก่อนที่มันจะตั้งตัวและโจมตีอีกครั้งมีดสั้นในมือของนางก็พุ่งเข้าสังหารเป้าหมายทันที!
ฉึก!
การแทงครั้งนี้เป็การใช้กำลังกว่าครึ่ง หัวของสิ่งมีชีวิตที่ลอบโจมตีถูกปักตรึงแน่นอยู่บนหิน ร่างยาวเฟื้อยบิดสะบัดเป็สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดทว่าดิ้นไปก็เท่านั้น
ดิ้นกระแด่ว กระแด่ว เลยมั้ยล่ะ
รนหาที่โดยแท้
“แกทำให้ข้าเสียเวลาเพิ่มเ้างูโง่ ข้าจะชำแหละแก ข้าจะถลกหนังแก ดูท่าแล้วคงเป็งูคู่รักสินะ ดีแล้วเวลาขายหนังของพวกแกได้ได้มีเื่เล่าเพิ่มมูลค่า เ้าเหลือมั์ไปสบายเถิดนะ”จางจื่ออี๋กล่าวอาเมนในใจให้กับความโชคร้ายที่เ้างูสองตัวโคจรมาพบกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่จุดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหาร เพื่อไม่ให้เป็การเสียเวลาไปมากกว่านี้เมื่อเ้าเหลือมตัวที่สองแน่นิ่งไปแล้วจางจื่ออี๋ก็เริ่มลงมือถลกหนังของมันทันที
จางจื่ออี๋ลงมือด้วยความฉับไวเพื่อไม่ให้เป็การเสียเวลา น่าแปลกในในท้องของเ้างูเหลือมเผือกตัวนี้ไม่มีเศษซากใดๆ คาดว่ามันคงยังไม่มีอาหารตกถึงท้องกระมัง แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่าใดนัก เพียงเบาะแสที่ได้จากเ้าเหลือมตัวแรกก็เพียงพอแล้ว หญิงสาวใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางครุ่นคิด ชีวิตการเดินทางข้ามมิตินี้ช่างยากลำบาก แม้ข้าวสารกรอกหม้อยังไม่มีต้องดั้นด้นเสี่ยงชีวิตเพื่อปากท้องและเงินทอง ไหนจะหนี้แค้นที่ต้องตามทวงทั้งต้นทั้งดอก
จึงกล่าวได้ว่า ชีวิตไม่ง่าย…
ยิ่งเป็ชีวิตตัวร้ายที่เป็ตัวประกอบลำดับที่สาม ที่ชีวิตถูกบี้แบนั้แ่ต้นเื่อย่างจางจื่ออี๋ผู้นี้แล้วนั้น การที่จะมีชีวิตรอดต่อไปจนจบเื่จะต้องงัดเอาทุกความสามารถ และแต้มบุญแต้มกรรมที่สะสมไว้อีกแปดชาติออกมาประชันกับเหล่าตัวเอกของเื่
จิ๊ๆๆ
ก็ว่าตัวนางจางจื่ออี๋ผู้นี้ไม่ได้กู้โลกมาก่อนแต่ก็ได้ทำประโยชน์เพื่อมวลมนุษยชาติมาไม่มากก็น้อย 120เดือนกับการท่องอวกาศคือเื่ล้อเล่น การค้นพบเพื่อมนุษยชาติรุ่นหลังไม่นับว่าเป็คุณ? ช่างเถอะ! ถึงจะคร่ำครวญก็ไม่สามารถกลับบ้านที่จากมาได้อีกแล้ว เด็กกำพร้าอย่างนางตราบใดที่ยังหายใจที่แห่งหนใดก็สามารถนับเป็บ้านได้ทั้งสิ้น
ไม่รู้ว่าเป็เพราะจิติญญาจากโลกเดิมนางคือหญิงโสดวัยใกล้เลขสี่หรือไม่ อยากบ่นฟ้าต่อว่าพื้นดินคร่ำครวญถึงชีวิตรนทดซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่น เพี้ยนไม่น้อยเลยตัวเรา
หลังจากจัดการเก็บกวาดเศษซากที่เหลือจนสะอาดสะอ้าน แม้กระทั่งคราบเืก็ถูกถมกลบด้วยดิน เท่านี้คงพอถูไถกลบเกลื่อนร่องรอยได้บ้าง เวลาไม่คอยท่าเพียงครึ่งค่อนวันแรกก็มาเสียเวลาอยู่บนูเาลูกแรก ที่บ้านยังมีเด็กเล็กและทารกคอยให้นางกลับไปเลี้ยงดู ภารกิจหาเงินและเบาะแสคนร้ายต้องทำควบคู่กันไป คนร้ายหาไม่เจอในครั้งนี้ครั้งหน้าก็ยังมี ทุกสิ่งต้องดำเนินไปบนเส้นทางที่ตัวนางประเมินแล้วว่าปลอดภัย มีทางหนีทีไล่ เสี่ยงได้แต่ห้ามตาย
“ชีวิตตัวประกอบนั้นไม่ง่าย พระเ้าไม่ได้สาดแสงให้เหมือนพระเอกนางเอก จางจื่ออี๋เ้าต้องพึ่งหนึ่งสมองและสองมือของตนเสียแล้ว คนอื่นเขาทะลุมิติพร้อมระบบตัวช่วยสุดโกง ตัวข้าล่ะมีอะไร ไม่มี!”บ่นกับตัวเอง บ่นกับลมกับฟ้า บ่นแล้วได้อะไรเปลืองน้ำลายเปล่า ถึงจะรู้แต่ก็ขอบ่นหน่อย ในป่านี้นอกจากต้นไม้กับสิงห์สาราสัตว์ก็หาคนเป็ๆ ยังไม่เจอ ไว้เจอคนเป็ๆ แล้วค่อยมานั่งสนทนาพาทีก็ยังไม่สาย
ร่างผอมบางขาดสารอาหารแบกตะกร้าสานขึ้นหลังเริ่มออกเดินไปด้วยฝีเท้ามั่นคง เสียงย่ำเท้าสวบสาบเป็จังหวะจะโคน ยิ่งเดินลึกเข้าไปในป่ามากเท่าไหร่มวลแมกไม้ยิ่งหนาแน่น กิ่งไม้แผ่ปกคลุมตลอดทั้งปีต่อให้เข้าสู่ฤดูหนาวภายในหุบเขาก็ยังรกทึบ เวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ แสงจากดวงอาทิตย์ยิ่งริบหรี่ลงทุกที อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามพระอาทิตย์จะตกดิน จางจื่ออี๋ที่เดินทางมาโดยไม่หยุดพักเริ่มชะลอฝีเท้าและมองหาจุดพักแรม จะนอนบนพื้นก็เสี่ยงครั้นจะนอนบนต้นไม้ก็ขยาดกลัวจะเจอญาติพี่น้องเ้าเหลือมโง่โพล่มาทักทาย ไม่ว่าทางใดล้วนต้องเสี่ยง เอาเป็บนต้นไม้ก็แล้วกันนอนหลับเอาแรงสักสองชั่วยามไว้กลางดึกตื่นมาค่อยเดินทางต่อ
“คนเราคงไม่ซวยซ้ำซ้อนถึงขนาดนั้นหรอก”
จางจื่ออี๋วางตะกร้าลงข้างโคนต้นไม้ขนาดสองคนโอบต้นหนึ่ง หลังจากที่ใช้สายตาสำรวจบรรดาต้นไม้รอบๆ โดยคร่าวผลจึงมาลงตัวที่ต้นไม้ต้นนี้ ร่างผอมบางบิดคลายกล้ามเนื้อไล่อาการปวดเมื่อยอยู่สักครู่ ก่อนจะฉวยกระบอกน้ำที่ถูกดื่มจนหมดมาถือไว้ เพราะนางสำรวจพื้นที่ในรัศมีห้าร้อยเมตรอย่างละเอียดจึงพบว่าในกลุ่มหินที่เป็เนินเขาขนาดย่อมมีแอ่งหินขนาดไม่ใหญ่นัก ในนั้นผุดน้ำแร่ธรรมชาติเป็ตาน้ำขนาดเล็ก ด้วยการค้นพบนี้จึงทำให้นางอารมณ์ดีไม่น้อย บนเขาสูงเช่นนี้จะหาแหล่งน้ำนั้นยากเสียยิ่งกว่าอะไร
“แต้มบุญที่สะสมจากชาติก่อนเริ่มส่งผลแล้วสินะ ใครว่าทำบุญอย่าหวังผลชาติหน้า นี่ไงชาติหน้าที่ข้ากำลังเผชิญอยู่ เป็ไงล่ะ...นี่ล่ะชีวิต ชีวิตหนอ”แอ่งน้ำขนาดเท่าอ่างล้างหน้าถูกหญิงนางหนึ่งสูบเอาไปจนแห้งเหือด ปากเล็กๆ ของนางพึมพำโอดครวญต่อฟ้า ร่ำร้องต่อผืนดิน คำพูดชวนให้คนเวทนาท ว่าการกระทำกลับโเี้ยิ่งนัก เกรงว่าเทพเซียนแห่งป่าเขาที่ผ่านมาเห็นคงมีโทสะจนหนวดกระตุก หากนางหญิงจอมล้างผลาญรู้ว่าน้ำแร่แห่งนั้นทรงคุณค่ามากเพียงใด คงร่ำไห้จนน้ำตาเป็สายเืแน่แท้
นั่นเป็เื่ในภายหลังจากนี้ เมื่อจางจื่ออี๋รู้ว่าตนเองถูกิญญาล้างผลาญสิ่งร่างจนสูญน้ำทิพย์ศักดิ์ไปเกือบครึ่งก็ล้มป่วยอยู่บนเตียงไปสามวันห้าวัน ปากของนางเอาแต่คร่ำครวญว่า น่าตายนัก โถ่์เอ๋ย... ซ้ำไปซ้ำมา
ฟู่ววว
สายลมหอบหนึ่งพัดวูบผ่านมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ต้นไม่และใบหญ้าไหวเอนตามแรงลม สายลมที่พัดมาอย่างกะทันหันทำเองจางจื่ออี๋ที่กำลังก้มหน้าก้มตาใช้หลอดไม้ไผ่ดูดเอาน้ำในแอ่งที่เหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งถ้วยได้แต่มองซ้ายขวา พร้อมกับอาการขนลุกชันอย่างห้ามไม่อยู่ แม้จิตใจของนางจะสงบนิ่งดุจขุนเขา แต่ก็ไม่อาจควบคุมความคิดไร้แก่นสารตามสันดานที่แก้ไม่หายของตัวเองไม่ได้
หรือว่าจะเจอผีเข้าแล้ว?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้