ฉันถึงกับอึ้งในพฤติกรรมที่แสนจะเห็นแก่ตัวของผู้ชายที่อยู่ด้านข้าง ก่อนที่ความกดดันทุกอย่างจะทำให้ฉันที่ทนไม่ไหวปะทุอารมณ์ที่คับคั่งอยู่ภายในให้ออกมาพร้อมกับน้ำตา...
“ฮึก...ฮึก...ฉันไปทำอะไรให้พวกนายกัน ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้ นี่นายฉันไม่รู้จักนายเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมาให้ฉันรับผิดชอบในสิ่งที่ฉันไม่ได้เป็คนก่ออย่างนั้นเหรอ นายยังมีความเป็คนอยู่บ้างไหม ฮึก ฮึก...” ฉันกัดฟันกรอดพูดในสิ่งที่รู้สึกอัดอั้นใส่หน้าผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างออกไปอย่างเหลืออด พร้อมกับมองเขาด้วยสายตาที่นึกรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง
ก่อนที่ฉันจะหันไปะเิอารมณ์ใส่คนที่ไร้ทั้งหัวใจและไร้ถึงความเมตตา ผู้ชายที่มีดีแค่หน้าตาแต่นิสัยเลวร้ายจนเผลอคิดว่าใครได้เป็ไปคู่ชีวิตชะตาคงสู่ขิตแน่ ๆ
“ส่วนนาย ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่เกี่ยวข้อง ทุกอย่างมันเกิดจากความผิดพลาด ทำไมไม่ฟังกันบ้าง ฮึก...ฮึก...ฉันบอกว่าไม่ได้ทำไง...ฉันไม่ได้ทำเข้าใจกันบ้างซิ...ฮืออออ”
คำพูดที่ระบายออกมาอย่างสุดกลั้น ความอดทนที่มีให้ต่อเหล่าพวกคนเห็นแก่ตัวพวกนี้ ฉันถึงกับไม่สนหน้าอิฐหน้าพรหมตะคอกใส่ผู้ชายที่นั่งทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว อย่างคนที่จนปัญญาแล้วจริง ๆ ที่จะทำให้เขาเชื่อได้
แต่ด้วยสถานการณ์ของฉันในตอนนี้ที่เป็เหมือนเบี้ยที่ไร้ค่าในหมากเกมแสนสกปรก มีหรือที่คนมีอำนาจจะแยแสสนใจ เขาที่ไม่ได้มีความรู้สึกเมตตาอะไรอยู่แล้วก็ได้เอ่ยคำพูดที่ดูใจร้ายออกมาจากอีกครั้ง และคงจะตั้งใจใช้ให้มันทำร้ายความรู้สึกของฉันจนป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี
“ไม่ต้องมาทำเป็บีบน้ำตา น้ำตาของมึงมันใช้ไม่ได้หรอกนะ” คนใจไม้ไส้ระกำที่ใจร้ายใจดำขัดกับหน้าตาอันหล่อเหลาอย่างสิ้นเชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า เหมือนกับว่าเขาเห็นฉากตรงหน้าแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แล้วน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งหัวใจเมื่อบวกเข้ากับสายตาที่ส่งมาอย่างไม่มีความปรานีอยู่ในนั้นแล้ว ทำให้แม้แต่เด็กอนุบาลก็รับรู้ได้ในทันทีว่าจุดจบของชีวิตฉันได้มาถึงแล้ว...
"ฮึก...ฮึก...ฮึก..." ฉันก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่างไม่นึกอาย พร้อมกับความรู้สึกที่นึกสมเพชตัวเองในใจที่ทำไมชะตาชีวิตของฉันมันถึงได้บัดซบแบบนี้
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งในอดีต...
ฉันที่เคยมีครอบครัวสมบูรณ์แบบ ที่เหมือนกับใครหลาย ๆ คน ความอบอุ่นในครอบครัวแบบอุ่นบ้างร้อนบ้าง ตามประสาครอบครัวสามัญชนที่มีพ่อ แม่ ลูก อยู่ด้วยกันทั่วไป แต่ถึงครอบครัวฉันจะเป็แบบนั้น ฉันก็ยังรับรู้ได้ถึงความสุขในฐานะลูกที่พ่อกับแม่มอบให้อยู่ดี
จวบจนกระทั่ง...เมื่อโชคชะตาเริ่มกำหนดให้ฉันต้องเข้าสู่ความโชคร้าย...ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเบื้องบนหรือใครสักคนหนึ่งที่กำหนดชะตาชีวิตของฉันเขา้าจะทดสอบความอดทนของฉัน...โดยเหตุการณ์ในวันนั้นมันก็เป็วันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันไปตลอดกาล...
‘พ่อค่ะ แม่ล่ะคะ...’ ฉันที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านได้ระบายยิ้มสดใสเหมือนเช่นเคย ก่อนจะะโถามหาผู้เป็แม่กับพ่อของตนออกไป เนื่องจากสงสัยว่าทำไมวันนี้ที่หน้าบ้านถึงมีเพียงรถของผู้เป็บิดาแค่เพียงคันเดียวเท่านั้น แต่ไม่ยักเห็นรถของผู้เป็มารดา
‘พ่อค่ะ...’
แต่ทว่า...ความเงียบที่ตอบกลับมาจากผู้เป็พ่อนั้น กลับทำให้ฉันรู้สึกวูบไหวในหัวใจแปลก ๆ โดยที่ความรู้สึกนั้นก็ทำให้ฉันเลือกที่จะเดินไปหาผู้เป็บิดาที่น่าจะอยู่ภายในห้องนอนของท่าน...
ตึก...ตึก...ตึก
ทั้งเสียงฝีเท้าและเสียงเต้นของหัวใจที่ดังระคนปะปนจนแทบจะเป็เสียงเดียวกัน ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหวาดหวั่นด้วยกลัวว่าจะเกิดเื่ไม่ดีขึ้นกับพวกเขา
กระทั่งฝีเท้าฉันได้ก้าวมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูห้องนอนของพ่อกับแม่ ประตูที่ถูกแง้มเอาไว้จนมีแสงไฟเล็ก ๆ สาดออกมานำทาง ฉันที่รู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าภายในห้องนั้นจะต้องมีพ่อของฉันอยู่อย่างแน่นอน
แอ๊ดดดด...
‘พ่อค่ะ...มะ...แม่ล่ะ...ค่ะ...’ และทันทีที่ฉันเปิดประตูเข้าไป อีกทั้งยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยค เสียงสะอื้นของผู้เป็บิดาก็สวนออกมาแทบจะในทันที
ฮึก...ฮึก...ฮืออออออ ~~
ภาพของพ่อที่นั่งร้องไห้น้ำตาไหล พร้อมกับถอดสายตามองไปยังตู้เสื้อผ้าที่แหว่งหายไปหลายส่วน อีกทั้งเมื่อลองสังเกตดูดี ๆ ก็จะพบว่าในตู้เสื้อผ้าใบเดียวกันนี้เหลือเพียงเสื้อผ้าที่บ่งบอกว่าเป็ของผู้ชายเท่านั้น
และความจริงที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็ทำให้ฉันในวัย 13 ปี รู้ดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร...
แม้จะตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นได้รับรู้ แต่ด้วยสัญชาตญาณของลูกที่ผุดขึ้นมาว่าต้องรีบเข้าไปปลอบประโลมคนตรงหน้าให้เร็วที่สุด ทำให้วินาทีนั้นฉันต้องรีบรวบรวมสติที่หลุดลอยออกไปให้กลับมา จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็บิดาแม้จะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มปลอบโยนท่านอย่างไร
นั่นก็เพราะว่า...ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของฉันพักหลัง ๆ นี้พวกท่านมักมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง เพียงแต่ฉันไม่นึกว่ามันจะลงเอยแบบนี้
‘พะ...พ่อ...ค่ะ’ ฉันเอ่ยเรียกผู้เป็บิดาด้วยเสียงอันแ่เบา พร้อมกับมืออันสั่นเทาที่ยื่นออกไปจับยังมือของท่านด้วยความระมัดระวัง และด้วยการััของฉันก็ทำให้สายตาที่กำลังทอดเหม่อลอยออกเมื่อครู่นั้นหันกลับมาโฟกัสยังใบหน้าจิ้มลิ้มที่ละม้ายคล้ายกับคนที่ทิ้งเขาไปอยู่หลายส่วน
‘ลิน อยู่กับพ่อได้ใช่ไหมลูก’ ประโยคสั้น ๆ ที่ออกมาจากปากผู้เป็บิดา แต่ช่างบาดลึกกรีดลงไปยังหัวใจดวงน้อย ๆ ของฉัน และถึงแม้จะเ็ปแต่ฉันก็ทำได้เพียงพยักหน้าตอบช้า ๆ ก่อนจะแนบใบหน้าลงไปที่ตักของผู้เป็บิดาอย่างเศร้าใจ
ฉันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาต่อหน้าผู้ชายที่หัวใจกำลังแตกสลายตรงหน้า ก่อนที่จะรอสักพักแล้วค่อยขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยไม่ลืมที่จะเริ่มจัดการความคิดตัวเองใหม่อีกครั้งในวันที่ไม่มีแม่อยู่ข้างกายอีกแล้ว...
นับจากวันนั้น ฉันก็เลือกที่จะทำตัวให้เป็ปกติเหมือนเดิม แม้ว่าทั้งที่ความจริงแล้วหัวใจที่อยู่ข้างในมันจะแตกสลายไปแล้วก็ตาม แต่เพื่อที่จะไม่ให้พ่อต้องมาเป็กังวลหรือเป็ห่วงฉัน ฉันจึงคิดว่ามันเป็วิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ส่วนแม่ที่หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย...ฉันคิดว่าท่านก็คงตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไปแบบไม่หวนกลับมาอีก นั่นก็เพราะว่านับั้แ่วันนั้นก็ไม่มีแม้กระทั่งการติดต่อกลับมา หรือส่งสัญญาณกลับมาว่าท่านนั้นยังคงคิดถึงฉันและคิดว่ายังมีฉันเป็ลูกอยู่อีกเลย
แต่ทว่า...เหนือสิ่งอื่นใดคงไม่มีใครรับรู้ว่าการทำตัวเป็ปกติของฉันต่อเื่ราวที่เกิดขึ้นนั้นได้สร้างาแและความเ็ปจนมันค่อย ๆ กัดกินเด็กสาวที่กำลังอยู่ใน่หัวเลี้ยวหัวต่อไปทีละนิดๆ และความรู้สึกที่เริ่มจะด้านชาก็ก่อตัวขึ้นทีละน้อย ๆ ฉันที่กักเก็บความรู้สึกเ่าั้เอาไว้ในใจและพยายามกดมันไว้ให้ลึกที่สุด โดยเฉพาะความว่างเปล่าที่เริ่มกลืนกินความสดใสของวัยสาวให้มอดดับลงไป
...นับั้แ่ที่แม่จากไปไม่ลา...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้