“เพื่อนซี้หานรั่วซีเป็ชู้ทายาทเศรษฐี ลอบสวีทกลางป่าแต่ทว่ารถะเิ!“
คนที่รู้จักหานรั่วซีคงรู้ดีว่าเพื่อนซี้ของเธอก็คือไฮโซสาวตระกูลเฉินสองคนมักไปไหนมาไหนด้วยกันโดยตลอด ทำให้พวกสื่อมักจะได้ภาพยามที่หานรั่วซีกับเฉินเสวียนเสวียนนั่งจิบชาหรือไปเดินช้อปปิ้งด้วยกันเป็เื่ประจำ
แต่เพราะเฉินเสวียนเสวียนไม่ใช่ดาราต่อให้มีภาพของเธอลงหนังสือพิมพ์ คนที่จะถูกเอ่ยถึงก็มักมีแต่หานรั่วซีหรือไม่ก็เอ่ยถึงเธอแค่ในฐานะเพื่อนซี้ของหานรั่วซีที่ชาติตระกูลดีน่าภาคภูมิใจ
ครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่ชื่อของทั้งสองคนลงสื่อพร้อมกันแถมคนที่ถูกเอ่ยถึงมากกว่านั้นคือเฉินเสวียนเสวียนหาใช่หานรั่วซีอย่างทุกที
นักข่าวถ่ายรูปของเฉินเสวียนเสวียนขณะกำลังทานอาหารเย็นที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งก่อนจะขับแลมโบกินีของเธอไปยังนอกเมือง เพื่อพบกับประธานบริษัทแห่งหนึ่งอย่างลับๆ
ประธานคนนี้เองก็มีภรรยาอยู่แล้วแต่ที่น่าใยิ่งกว่าคือ ภรรยาของประธานที่ว่าเป็เพื่อนสนิทกับเฉินเสวียนเสวียน
เมื่อพบหน้าเฉินเสวียนเสวียนกับประธานหนุ่มก็กอดจูบกันอย่างโหยหาพออารมณ์เริ่มได้ที่ ทั้งสองคนก็เดินกอดกันเข้าไปในป่าข้างทางโดยทิ้งรถหรูราคาแพงเอาไว้ริมถนนอย่างไม่ใส่ใจ
แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือไม่นานหลังจากนั้น แลมโบกินีของเฉินเสวียนเสวียนก็เกิดะเิขึ้นทั้งสองคนวิ่งออกมาที่ถนนอย่างใด้วยสภาพที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยโดยไม่ต้องเดาให้ยากว่า ก่อนหน้านี้พวกเขากำลังทำอะไรอยู่
ข่าวฉาวดังกล่าวทำให้เฉินเสวียนเสวียนถูกแบนจากสาวไฮโซทุกคนซึ่งต่างเห็นพ้องกันว่าไม่ควรเอาคนแบบนี้เป็เพื่อนส่วนทางด้านคุณหญิงคุณนายในสังคมชั้นสูงก็พากันวิจารณ์ว่าเวลาเลี้ยงลูกสาวควรอบรมเื่คุณธรรมและจริยธรรมให้มากดีกว่าปรนเปรอลูกด้วยวัตถุเพียงอย่างเดียว
ตระกูลเฉินที่เฉิดฉาย กลับกลายเป็ตัวอย่างของความผิดพลาดที่ถูกนำไปเล่าปากต่อปากเพื่อสอนใจให้กับผู้คนในพริบตาเดิมทีแค่เื่นี้ทางตระกูลเฉินก็ปวดหัวมากพออยู่แล้ว ทว่ากลับมีอีกปัญหาใหญ่ที่โถมเข้ามาอีกนั่นก็คือ...
“ตระกูลเฉินฉาวต่อเนื่องร้านอาหารแฟรนไชส์ ‘เฉินเจียฉู’ ไม่ผ่านมาตรฐานอนามัย หลังพบว่าแปดสาขาจากยี่สิบสาขาทั่วเมืองไม่ผ่านข้อกำหนดเื่ความสะอาดและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค”
ก่อนเกิดเื่ร้านอาหารแฟรนไชส์ของ ‘เฉินเจียฉู’ เป็ที่นิยมชมชอบอันดับต้นๆ ของผู้คนทั่วทั้งเมืองเนื่องด้วยราคาย่อมเยา บรรยากาศน่านั่ง และเปิดทำการยาวนานสิบเจ็ดชั่วโมงทุกวันอีกทั้งมักมีสาขากระจายอยู่ตามแหล่งธุรกิจและแหล่งชุมชนที่มีผู้คนพลุกพล่านทำให้หลายครั้งมีลูกค้าเต็มร้านจนที่นั่งไม่พอ
แต่มาวันนี้เพราะข่าวเื่ถูกสั่งปิดสาขาเนื่องจากไม่ได้มาตรฐานเื่ความสะอาดถูกแพร่งพรายทำให้ร้านที่เคยคึกคัก กลับกลายเป็เงียบเหงาแทบจะไร้ลูกค้า
ข่าวฉาวทั้งเื่ธุรกิจและชื่อเสียงวงศ์ตระกูลออกมาพร้อมกันแบบนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจแพร่ข่าวอยู่เื้ั คนนอกอาจจะไม่ได้คิดอะไรแต่คนวงในต่างรู้ดีว่าเื่นี้ไม่ใช่เื่บังเอิญ
ทว่าคนที่ทำให้เื่นี้ออกสู่สาธารณชนนั้นคือใครยังไม่อาจคาดเดาและในโลกอินเทอร์เน็ตเองก็ไม่มีใครกล้าเดาส่งเดช
ูเี่อันวาง iPad ลงก่อนจะนั่งเหม่อลอย
คนอื่นอาจจะเดาไม่ถูกแต่เธอพอจะเดาออกว่าเป็ฝีมือใคร...ลู่เป๋าเหยียน
แต่...แค่เพราะเฉินเสวียนเสวียนขับรถชนเธอเขาถึงกับต้องทำให้เป็เื่ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ?
แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตอนที่ลู่เป๋าเหยียนถามว่าเฉินเสวียนเสวียนขับรถชนเธอยังไง แทนที่จะถามว่าหาเหตุผลที่เฉินเสวียนเสวียนทำแบบนั้นพอเธอตอบเขาไป เขาก็ทำสีหน้าเ็านิ่งเฉย จนเธอนึกว่าเขาแค่ถามไปอย่างนั้นไม่นึกเลยว่าเขาจะจำใส่ใจ แถมยังช่วยจัดการให้แบบนี้
“เจี่ยนอันหนูดูอะไรอยู่จ๊ะ” ถังอวี้หลันถาม
“แค่ข่าวซุบซิบน่ะค่ะ”
เธอกลัวว่าถังอวี้หลันจะสังเกตเห็นความผิดปกติจึงเก็บ iPad และเดินไปชงชามานั่งคุยเล่นกับถังอวี้หลัน
อีกด้านคนที่นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศอย่างซูอี้เฉิงก็เห็นข่าวนี้แล้วเช่นกัน
แต่เมื่อเทียบกันแล้วเขาดูนิ่งกว่าูเี่อันมาก หลังอ่านข่าวจบเขาก็วางหนังสือพิมพ์ลงก่อนจะเริ่มจัดการงานตรงหน้าราวกับรู้อยู่แล้วว่าลู่เป๋าเหยียนจะจัดการเื่นี้ออกมาในรูปแบบไหน
จางเหมยเคาะประตูก่อนจะนำกาแฟเข้ามาเสิร์ฟแต่เธอก็ไม่ได้เดินออกจากห้องไปในทันที
คืนนี้ก็จะมีงานเลี้ยงครบรอบของเครือลู่แล้วแต่ซูอี้เฉิงยังไม่ได้เอ่ยปากชวนเธอให้เป็คู่ควงของเขา
ตอนนี้ไม่เพียงแตู่เี่อันกับลั่วเสี่ยวซีเท่านั้นที่กำลังเดาว่าเธอกับซูอี้เฉิงนั้นมีความสัมพันธ์แบบไหนแต่คนทั้งเครือเฉิงอันก็พากันเดาไปต่างๆ นานา ซึ่งเื่นี้ซูอี้เฉิงเองก็รู้ดี
ถ้าวันนี้เขาพาเธอออกงานด้วยกันก็เท่ากับยอมรับว่าพวกเราเป็แฟนกัน แต่ถ้าไม่...วันพรุ่งนี้เธอคงกลายเป็เื่ขบขันให้คนพูดกันทั้งออฟฟิศ
ซูอี้เฉิงเอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง
“เลขาจางมีเื่อะไรหรือเปล่า”
“เื่งานเลี้ยงครบรอบของเครือลู่คืนนี้คุณมีอะไรให้ฉันช่วยเตรียมการอีกไหมคะ” จางเหมยถามอย่างนุ่มนวล
มือที่เปิดเอกสารของเขาชะงักไปชั่วอึดใจก่อนจะเงยหน้ามองจางเหมย
“ถ้ามีอะไรผมจะบอกคุณเอง”
เขาไม่ได้สั่งอะไรเพิ่มก็คือไม่้าให้เธอช่วยเื่อะไรที่จริงเธอไม่ควรถามเื่นี้ขึ้นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
จางเหมยพูดอย่างอึดอัดใจ“หรือเป็เพราะเสวียนเสวียนขับรถชนน้องสาวคุณ คุณเลยไม่ยอมออกงานกับฉัน? อี้เฉิงฉันกับเสวียนเสวียน...”
“ผมรู้ว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวกับคุณ”ซูอี้เฉิงพูดขัด “วางใจเถอะ เื่นี้ผมไม่คิดจะโทษคุณแต่ผมอยากให้คุณกลับไปทุ่มเทกับงานให้ดีที่สุด อย่าคิดข้ามเส้นพวกเราเป็แค่เ้านายกับลูกน้อง เพราะฉะนั้น การที่เลขาจางเรียกผมแบบนั้น เกรงว่าคงไม่เหมาะสม”
สิ่งที่เขา้าจะสื่อช่างชัดเจนจางเหมยได้ยินดังนั้นก็เริ่มใจเสีย
“คุณรับปากพ่อฉันฉันก็นึกว่าพวกเรา...”
ตอนที่พ่อฝากเธอให้เข้ามาทำงานที่เฉิงอันเขาฝากฝังให้ซูอี้เฉิงช่วยสอนงานเธอก็จริง แต่ความหมายโดยนัยนั้นชัดเจนว่าเขา้าอะไรที่ผ่านมาซูอี้เฉิงเองก็สอนงานเธออย่างใจเย็น ช่วยสนับสนุนเธอหรือแม้แต่เวลาอยู่ข้างนอกก็ปกป้องเธอ เมื่อเธอถูกคนกลั่นแกล้งเขาก็มักจะยื่นมือเข้ามาช่วยเสมอ...
ซูอี้เฉิงปฏิบัติกับเธอต่างจากผู้หญิงคนอื่นเธอนึกว่าที่เขาเลิกกับแฟนเก่าก็เพราะเธอวันนั้นที่บังเอิญเจอลู่เป๋าเหยียนกับูเี่อันที่ร้านอาหารลู่เป๋าเหยียนยังคิดเลยว่าเธอคือคนที่ซูอี้เฉิงจะชวนไปงานเลี้ยงครบรอบของเครือลู่ด้วยกันในฐานะคู่ควงของเขา
แต่คำพูดของเขาเมื่อกี้...มันหมายความว่าอย่างไร
“จางเหมย” ซูอี้เฉิงวางปากกาหมึกซึมสีดำด้ามหรูลงก่อนเอ่ย“ที่ผมดูแลคุณอย่างดีก็เพราะพ่อของคุณเคยช่วยเหลือผม ไม่ได้เป็เพราะตัวคุณต่อให้เขาส่งคนอื่นมา ผมก็จะดูแลคนคนนั้นอย่างดีเช่นกันถ้าผมทำให้คุณเข้าใจผิดก็ต้องขอโทษด้วย ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดอีกอย่าง ผมไม่อยากให้เื่นี้กระทบกับเื่งาน ถ้าคุณจัดการมันไม่ได้ผมคงต้องย้ายคุณไปแผนกอื่น”
เขาพูดสีหน้าเรียบเฉยโดยไม่รู้ตัวเลยว่า นั่นเป็การทำร้ายจางเหมยยิ่งกว่าเดิม
พนักงานสาวทั้งบริษัทต่างเฝ้ารอจุดจบของเธอกับซูอี้เฉิงถ้าเธอถูกสั่งย้ายไปแผนกอื่น คงต้องโดนคนอื่นหัวเราะเยาะแน่ๆแต่ถ้าเธอยังได้อยู่ข้างกายเขา นั่นก็หมายความว่าเธอยังพอมีโอกาส
“ฉันทำได้ค่ะ!”เธอแย้มยิ้มก่อนจะปรับสีหน้ากลับมาเป็หัวหน้าเลขาผู้คล่องแคล่วน่าเชื่อถืออีกครั้ง
“ถ้าเื่แค่นี้ฉันยังจัดการไม่ได้ที่ผ่านมาคุณคงเสียเวลาเปล่าที่พร่ำสอนฉัน วางใจเถอะค่ะฉันไม่ปล่อยให้เื่ส่วนตัวกับเื่งานมาปนกันแน่นอน”
ในตอนนั้นเองมือถือของซูอี้เฉิงก็ดังขึ้นเมื่อหน้าจอสว่างขึ้นมา จางเหมยก็เหลือบไปเห็นภาพหน้าจอของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
รูปของลั่วเสี่ยวซี
“งั้นฉันไม่รบกวนคุณแล้วดีกว่าขอตัวก่อนนะคะ”
สิ้นเสียงจางเหมยก็หันหลังกลับโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามือของตนกำลังกำหมัดแน่นแค่ไหน
ภาพหน้าจอมือถือของเขาเป็รูปของลั่วเสี่ยวซีได้อย่างไรเป็ไปไม่ได้ คนทั้งโลกต่างก็รู้ดีว่าเขาเกลียดลั่วเสี่ยวซีมากแค่ไหน!
แต่เธอคงไม่มีทางรู้ว่าคนที่โทรเข้ามาหาเขาเวลานี้ ก็คือลั่วเสี่ยวซีนั่นเอง
ลั่วเสี่ยวซีกำลังวิ่งอยู่บนลู่ออกกำลังกายจนเหงื่อท่วมเธอลดสปีดลง แต่ตอนพูดก็ยังมีเสียงหอบอยู่บ้างเสียงดังกล่าวดูยั่วเย้าอย่างประหลาดเมื่อคนฟังได้ยิน ซูอี้เฉิงกำมือถือตัวเองแน่น
“ลั่วเสี่ยวซีเธอจงใจใช่ไหม?”
“บ้าหรือเปล่า”ลั่วเสี่ยวซีไม่รู้ตัวสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น “จงใจเื่อะไร? ฉันมีเื่จะถามนายตกลงนายชวนใครเป็คู่ควงไปงานคืนนี้กันแน่ บอกฉันมานะ”
“บอกเธอแล้วเธอจะทำอะไร” ซูอี้เฉิงพูดพลางยิ้มเยาะ
“ถ้าเป็จางเหมยอย่างที่ฉันเดาล่ะก็ฉันก็จะขับรถชนเธอเลียนแบบลูกพี่ลูกน้องเธอน่ะสิ” ลั่วเสี่ยวซีตอบ“จะได้แก้แค้นแทนเจี่ยนอันไปด้วยเลย”
ซูอี้เฉิงรู้ดีว่าลั่วเสี่ยวซีไม่ได้ล้อเล่นเธอทำได้อย่างที่พูดจริงๆ เขายกมือนวดขมับก่อนเอ่ย
“ไม่ใช่เธออย่าทำอะไรโง่ๆ”
“หืมนายกำลังเป็ห่วงฉันงั้นเหรอ”
ลั่วเสี่ยวซียิ้มอย่างดีใจแต่ซูอี้เฉิงกลับเอ่ยคำที่เหมือนกับสาดน้ำเย็นเข้าหน้าเธอ
“ฉันเป็ห่วงจางเหมย”
“ชิท!”ลั่วเสี่ยวซีกดเร่งสปีดให้เร็วขึ้น “เอาเป็ว่าไม่ว่าจะเป็ใครคืนนี้เธอคงไม่ได้อยู่จนงานจบแน่! เห็นแก่คู่ควงของนาย ฉันแนะนำว่าอย่าพาเธอไปงานจะดีกว่า”
“ลั่วเสี่ยวซีฉันเคยเตือนเธอกี่ครั้งแล้ว” ซูอี้เฉิงกัดฟันพูดอย่างหงุดหงิด“ว่าอย่าให้ฉันได้ยินเธอพูดคำหยาบคายแบบนั้นอีก”
“นายอยากให้ฉันเชื่อฟังนาย?” ลั่วเสี่ยวซีแค่นเสียงเย็น“ฉันบอกให้นายมาคบกับฉันเป็สิบปี ไม่เห็นนายจะฟังกันบ้างเลย! ไม่เลยสักนิด!แล้วทำไมฉันจะต้องเชื่อฟังนายด้วย!?”
โวยจบลั่วเสี่ยวซีก็กดวางสายถึงเขาจะไม่ได้ยินแต่ก็พอเดาได้ว่า ตอนนี้เธอคงด่าเขากับมือถืออยู่แน่ๆ
เขาเพิ่งเคยเจอคนที่ตามตื๊อใครสักคนอย่างก๋ากั่นขนาดนี้มาได้นานนับสิบปีโดยไม่เปลี่ยนท่าทีแม้แต่น้อย
ซูอี้เฉิงวางมือถือลงซึ่งในตอนนี้ภาพหน้าจอโผล่ขึ้นมาแทนที่ภาพโทรศัพท์ขณะพูดสายใบหน้าของลั่วเสี่ยวซีที่กำลังยิ้มแย้มอย่างซุกซนเข้าสู่สายตาเขาจึงหยิบมือถือขึ้นมา และกดเลือกเมนูตั้งค่าหน้าจอ
แค่กดอีกไม่กี่ครั้งภาพหน้าจออันเดิมของเขาก็จะเข้ามาแทนที่ใบหน้ายิ้มแย้มของลั่วเสี่ยวซี
แต่ท้ายที่สุดเขาก็วางมือถือลงที่เดิม
ในห้องฟิตเนสลั่วเสี่ยวซีเพิ่งลงจากลู่วิ่ง ฉินเว่ยส่งข้อความชวนเธอไปกินข้าวด้วยกันเขาบอกว่ามีเื่จะคุยกับเธอ เธอคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะตอบกลับไป
่นี้ฉันต้องกินมื้อกลางวันที่บริษัทจัดไว้ให้เพื่อรักษาหุ่นคงไปกินกับนายไม่ได้ ว่าแต่นายมีอะไรจะคุยกับฉัน?
ฉินเว่ยไม่ได้ตอบคำถามของเธอเพียงแต่บอกว่า
งั้นออกมาดื่มกาแฟด้วยกันสักแก้วสิ
พวกเธอจึงนัดกันที่คาเฟ่ใกล้ๆกับ Lu Media ฉินเว่ยเองก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก ลั่วเสี่ยวซีสั่งกาแฟนั่งรอเขาและเมื่อเขามาถึงก็เข้าเื่ทันที
“จัดการเื่ซูอี้เฉิงได้หรือยังถ้ายัง ก็มาเป็คู่ควงให้ฉันซะ”
“ายังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหารสิ”หลายปีที่ผ่านมาเธออาศัยแรงใจและความพยายามไม่ย่อท้อของตนล้วนๆซูอี้เฉิงยังไม่แต่งงานสักหน่อย แล้วเธอจะยอมแพ้ได้อย่างไร
“คืนนี้ฉันจะต้องจัดการเขาให้ได้”
ฉินเว่ยยิ้มก่อนเอ่ย“เพื่อความปลอดภัย งั้นฉันไม่ควงใครไปก็แล้วกัน เผื่อเธอโดนเขาผลักไสไล่ส่งฉันจะได้ช่วยเป็คู่ควงเพื่อรักษาหน้าเธอเอาไว้”
เดิมทีลั่วเสี่ยวซีตั้งใจจะชมเขาว่าสมแล้วที่เป็เพื่อนแท้แต่พอคิดดูอีกที ดูจะเป็การเอาเปรียบเพื่อนคนนี้มากเกินไปหน่อย
“นายควงสาวสวยไปสักคนเถอะ”เธอกล่าว “ฉันโดนซูอี้เฉิงปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วถ้าคืนนี้เขายังปฏิเสธฉันอีก ฉันก็แค่ย้อนกลับไปที่เดิม พักฟื้นสักหน่อยก็หายแล้วนายไม่ต้องเป็ห่วงฉันหรอก เป็ห่วงตัวเองเถอะ”
“ก็บอกว่าจะไม่พาใครไปไง”ฉินเว่ยพูดพลางยกมือจัดทรงผมกับกระจกหน้าต่าง
“ฉันออกจะหล่อขนาดนี้ถึงเวลาคงหาใครได้สักคนเองแหละ”
ลั่วเสี่ยวซีพยักหน้า“ก็จริง งั้นฉันจะช่วยอวยพรให้นายได้ควงสาวสวยในคืนนี้นะ!”
ฉินเว่ยยกแก้วกาแฟในมือของตนชนกับแก้วของลั่วเสี่ยวซี
“งั้นฉันก็ขออวยพรให้เธอไม่ถูกซูอี้เฉิงไล่ออกมานะ”
ลั่วเสี่ยวซีเตะขาเขาจากใต้โต๊ะไปหนึ่งที
“ไปเล่นตรงนู้น!ถ้าขนาดฉันยังโดนซูอี้เฉิงไล่ออกมาคนอย่างนายชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่มีวันหาเมียได้เหมือนกันนั่นแหละ!”
“หืม?” ฉินเว่ยยิ้มหน้าบาน“งั้นถึงเวลาฉันค่อยมาขอเธอเป็เมียก็ไม่เลวนี่”
ลั่วเสี่ยวซีกลอกตามองบนใส่ฉินเว่ยไปหนึ่งทีโดยคิดว่าฉินเว่ยคงแค่ล้อเล่น
