ตอนที่ 2
จ๋ายจ๋ายก็ขู่เป็นะ
สองสัปดาห์ต่อมา
จ๋ายในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นกำลังเดินเลียบไปตามทางที่มีสวนดอกไม้ประกบทั้งสองข้าง พลางสูดกลิ่นอายของบรรยากาศยามเย็นให้พอชื่นใจ...หลังจากที่แท็ปเสนอคาเฟ่ของคนรู้จักให้เป็สถานที่ถ่ายทำแล้ว สุดสัปดาห์นี้พวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองหลวงมายังที่นี่ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทของจังหวัดแห่งหนึ่ง
หลังจากถ่ายทำั้แ่เช้าจนถึงเย็น ก็พบว่ายังมีอีกหลายฉากไม่เข้าท่าและต้องถ่ายทำใหม่ในสถานที่เดิม ดังนั้น พวกเขาจึงต้องหารีสอร์ทแถว ๆ นี้เพื่อนอนพักอีกสักหนึ่งคืน ถึงแม้จะเป็กังวลและกลัวที่จะต้องอยู่กับกลุ่มของไฮบริดครึ่งสัตว์นักล่า ทว่าอย่างน้อยทิวทัศน์ของทางรีสอร์ทที่ได้เห็นในตอนนี้ก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อยเลย
แชะ!
เสียงกดชัตเตอร์ถ่ายภาพทำให้คนที่เดินเหม่ออยู่เริ่มรู้ตัว เมื่อหันไปจึงเห็นแท็ปที่เดินตามมาั้แ่เมื่อไรไม่รู้กำลังค่อย ๆ ลดกล้องลงเพื่อเช็คภาพที่ถ่ายได้ ร่างขาวเอียงคอเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามพาซื่อ
“แท็ปถ่ายรูปจ๋ายทำไมเหรอ”
“ใครบอกกูถ่ายมึง โน่น กูถ่ายูเา”
ว่าพลางพยักเพยิดหน้าไปทางวิวูเาซึ่งอยู่ด้านหลังของจ๋ายพอดี เ้าของดวงตากลมใสหันมองูเาสลับกับคนตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมพยักหน้ารับเมื่อคิดว่าตนเข้าใจผิด ทว่าเดินนำออกมาได้ไม่เท่าไรก็ได้ยินเสียงกดชัตเตอร์อีกครั้ง คราวนี้สามารถจับได้คาหนังคาเขาว่าอีกฝ่ายกำลังถ่ายภาพเขาอยู่ชัด ๆ
แชะ!
“แท็ปถ่ายจ๋ายนี่!”
“ถ่ายไว้เผื่อได้ภาพหน้าตลก ๆ ของมึงติดกล้องไว้ไง”
คนที่ถูกหลักฐานมัดตัวจนดิ้นไม่หลุดแอบโคลงศีรษะเล็กน้อยพลางเอ่ยตอบเสียงยียวน ทั้งยังแอบหันกล้องมาให้ดูภาพถ่ายที่มีตัวจ๋ายยืนอยู่กลางเฟรม คนตัวเล็กที่ยังไม่เห็นภาพถนัดดีก็คิดนำไปก่อนเสียแล้วว่าตัวเขาในภาพจะต้องดูตลกมากแน่ ๆ
“ทะ แท็ปลบเลยนะ!”
“มาแย่งไปลบเองดิ”
โบกกล้องไปมาเพื่อยั่วโมโหกัน ไฮบริดครึ่งกระต่ายรีบวิ่งเข้ามาหมายจะแย่งกล้องไปทันที ในขณะที่อีกคนซึ่งคอยท่าอยู่ก่อนแล้วรีบชูมือขึ้นจนสุดแขน เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังแ่เบา ยามหลุบสายตาลงมองคนตรงหน้าที่เขย่งตัวขึ้นจนเต็มความสูง พลางเอื้อมมือหมายจะคว้ากล้องให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไร้ผล ซ้ำยังเผลอเสียหลักจนหน้าจุ่มอก
“ฮื่อ...”
ร่างขาวส่งเสียงเครือแ่เบาอย่างขัดอกขัดใจ โดยมีวงแขนข้างหนึ่งของอีกฝ่ายรวบเอวเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป คางมนเกยกับแผงอกกว้างแล้วเงยหน้าขึ้น เพื่อพบกับดวงตาสีอำพันที่ฉายแววเ้าเล่ห์ ทั้งยังทอดมองกันอยู่ก่อนแล้ว น้ำเสียงทุ้มต่ำกระซิบแ่เบา
“เขย่งสิคะจ๋ายจ๋าย ไม่เขย่งแย่งกล้องไม่ถึงนะ”
คราวนี้จ๋ายหน้างอทันที เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกกลั่นแกล้งเข้าอีกแล้ว
“จ๋ายเขย่งแล้วนี่...แท็ปเอาแต่แกล้งเรา”
เอ่ยพูดเพียงเท่านั้นแล้วเดินหนีทันที ไม่สนใจจะไปแย่งกล้องมาลบภาพอีกแล้ว ในขณะที่คนด้านหลังรีบเดินตามมากอดคอกันทันที
“ขี้งอนจังเลยเว้ย”
“...”
“ใครได้มึงเป็แฟนคงต้องวิ่งตามง้อทั้งวันเลยไหม หื้ม?”
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงเข้าหา มองเสี้ยวใบหน้าของคนขี้งอนที่อมลมจนแก้มพอง ก่อนจะเอ่ยถามหยอกเย้าด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลง กระนั้นก็ยังไม่วายส่งมือไปดึงข้างแก้มนุ่มจนยืด ในขณะที่คนถูกแกล้งซึ่งไม่เคยมีแฟนมาก่อนเริ่มหน้าเหลอหลาทำตัวไม่ถูก ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกดึงความสนใจจากพวกตนไปเสียก่อน
“ไอ้แท็ป!! แดกเบียร์โว้ย!!”
“จ๋ายมานี่เร็ว!”
กลุ่มเพื่อนของแท็ปที่เพิ่งกลับจากร้านสะดวกซื้อะโเสียงดังลั่นพลางยกถุงซึ่งบรรจุไปด้วยขวดเบียร์หลายขวดให้เห็น ในขณะที่มะนาวซึ่งไปด้วยกันก็รีบป้องปากะโเรียกเพื่อนสนิทของตนเช่นกัน จ๋ายรีบเดินนำกันไปก่อน โดยที่ร่างสูงข้างกายก็ยอมปล่อยกันแต่โดยดี
...
20.00 น.
จ๋ายรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็แกะดำในกลุ่ม ในขณะที่ทุกคนที่นั่งล้อมวงอยู่บริเวณเก้าอี้ม้าหินอ่อนหน้าห้องพักกำลังกรอกเบียร์เข้าปากราวกับเป็น้ำเปล่า ไม่เว้นแม้แต่มะนาวที่เป็ผู้หญิง แต่ก็ยังสามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในปริมาณมากได้อย่างหน้าตาเฉย ทว่าจ๋ายได้แต่ดูดน้ำส้มจากหลอดเงียบ ๆ เท่านั้น
“เฮ้ยไอ้ติ๋ม มึงแดกเบียร์เป็ไหมวะ”
คนที่กำลังนั่งเหม่ออยู่แอบสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อถูกเอ่ยทักกะทันหัน เ้าของเสียงที่เอ่ยทักเป็ไฮบริดครึ่งเสือจากัวร์ มีชื่อว่าเพทาย ได้ยินมาว่าเ้าตัวเป็เพื่อนสนิทกับแท็ปมาั้แ่สมัยมัธยม เป็คนพูดจากระโชกโฮกฮากและมีบุคลิกแข็งกระด้างกว่าใคร...เขาเห็นเ้าของดวงตาสีอำพันชะงักมือที่กำลังถือแก้วจรดริมฝีปาก พลางปรายตามองกันราวกับกำลังรอฟังคำตอบอยู่ด้วย
“จ๋ายดื่มไม่เป็...”
เอ่ยตอบไปตามความจริง หม่าม้าบอกว่าเหล้าเบียร์ไม่ดี เพราะงั้นจ๋ายจึงไม่กล้าดื่ม เพทายพยักหน้ารับแล้วเงียบไปสักพัก ก่อนจะหยิบแก้วใสมารินเบียร์ให้เสร็จสรรพ พลางยื่นมันไปวางไว้ตรงหน้าของจ๋าย
“...”
“ลองแดกสิมึง”
“จะ...จะดีเหรอ”
เอ่ยถามเสียงตะกุกตะกักอย่างลังเล การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่ทางของเขาเลยสักนิด กระนั้นก็ยังปฏิเสธคนไม่เป็อีกเสียอย่างนั้น...ดวงตากลมใสเหลือบมองไปทางแท็ปซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกันอยู่เป็ระยะ ทว่าอีกฝ่ายในยามนี้กลับมีสีหน้าเรียบเฉยเสียจนคาดเดาแทบไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“ลองสิจ๋าย รับรองชื่นใจ”
มะนาวที่เริ่มเมาได้ที่แล้วออกตัวเชียร์เต็มที่ เหล่าชายฉกรรจ์ในวงเหล้าทุกคนเริ่มหันมามองจ๋ายเป็ตาเดียว เมื่อคิดว่าเริ่มมีเหตุการณ์น่าสนใจเกิดขึ้น เสียงเชียร์ยุยงเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่จ๋ายได้แต่กำแก้วเบียร์เอาไว้แน่น ทว่าในจังหวะหนึ่งกลับถูกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอื้อมมือมาแย่งคว้าไป พลางกระดกดื่มเองรวดเดียวจนหมด
“ไอ้ห่าแท็ป มึงไปแย่งมันทำไมว้า”
เพทายโวยวายใส่เพื่อนสนิทอย่างไม่จริงจังมากนัก ในขณะที่เ้าของดวงตาสีอำพันไม่ตอบคำถามใด เพียงยกหลังมือขึ้นเช็ดคราบเครื่องดื่มข้างมุมปาก แล้วตวัดสายตาที่ติดจะดูไม่พอใจอยู่เล็กน้อยขึ้นมองจ๋ายพลางเอ่ยพูดเสียงราบเรียบ...ทำไมต้องทำเหมือนโกรธด้วย จ๋ายยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด
แท็ปใจร้าย โดยเฉพาะกับจ๋าย!
“แดกน้ำส้มไปเถอะมึงอะ ตัวก็เท่าต้นถั่วงอก”
ไม่ว่าเปล่า ยังหยิบหลอดที่เสียบคากับกล่องน้ำส้มมาจ่อปากกัน จนจ๋ายต้องรีบคว้ากล่องเครื่องดื่มมาถือเอง ระหว่างนั้นเพื่อนของเ้าตัวก็เอาแต่ถามกันยกใหญ่ว่าเพราะอะไรจึงต่อต้านไม่อยากให้คนตัวเล็กลองดื่มเบียร์ถึงขนาดนั้น
“เดี๋ยวเมาแล้วอาละวาด กูี้เีต้องมาแบกเข้าห้อง”
ยิ่งได้ฟังเหตุผล ริมฝีปากอิ่มก็เบะลงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกน้อยใจ...หากเขาเกิดเมาขึ้นมาจริง ๆ ก็จะไม่ทำตัวเป็ภาระให้แท็ปต้องมาตามดูแลอย่างแน่นอน ถ้าไม่ชอบกันถึงขนาดนี้ก็ไม่ต้องเอาตัวเองมาอยู่ใกล้กับจ๋ายก็ได้นี่ ทำไมเขาไม่เคยคาดเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เลยสักทีนะ
เริ่มคิดมากก็ชักจะปวดหัว ได้แต่นั่งดูดน้ำส้มไปเรื่อย ๆ จนเต็มท้อง...ครั้นเมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มจะหย่อนตาม ทั้งเดินทางทั้งถ่ายงานทั้งวัน คนที่ชอบนอนกลางวันอยู่เป็นิจอย่างจ๋ายก็ชักจะเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาจริง ๆ ตัดสินใจฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วหลับตาลงหมายจะพักสายตาสักครู่หนึ่ง ทว่าเพียงไม่กี่นาทีต่อมา ทุกอย่างก็มืดดับไป
...
“อือ...”
เสียงครางเครือดังขึ้นแ่เบาเมื่อจ๋ายเริ่มรู้สึกตัว ดวงตากลมค่อย ๆ ลืมขึ้นแล้วหรี่ลงเล็กน้อยพลางกระพริบถี่ ๆ เพื่อปรับให้เข้ากับแสงไฟภายในห้อง ครั้นเมื่อกวาดมองไปรอบ ๆ จึงได้รู้ว่าตนนอนอยู่บนโซฟาภายในห้องพักเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
ภาพจำครั้งสุดท้ายคือตัวเขาที่นั่งตัวลีบอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนที่กำลังอาบเบียร์กันอย่างเต็มที่ เพราะรู้สึกง่วงจึงกะว่าจะฟุบหลับพักสายตาสักหน่อย หลังจากนั้นภาพทุกอย่างก็ตัดไป...นั่งขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะต้องชะงักไปเมื่อเห็นร่างของใครบางคนในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า ยืนหันหลังทำอะไรสักอย่างกับกล้องอยู่ที่อีกมุมของห้อง
RRRRRRRRRRRRRR
“แม่งใครโทรมานักหนาวะ...อะไรของมึง”
เสียงทุ้มสบถแ่เบากับตัวเอง ก่อนจะยอมกดรับสายแล้วเอ่ยพูดอย่างไม่เป็มิตร ติดจะรำคาญเสียด้วยซ้ำไป จ๋ายพอได้เห็นท่าทางดังกล่าวก็ยิ่งพยายามขดตัวให้เล็กลง จะขยับตัวแต่ละทีก็ระแวดระวังเป็พิเศษ กลัวว่าจะเผลอไปทำให้อารมณ์เสียหนักกว่าเก่า
(ไม่มาดื่มต่อกับพวกกูแน่เหรอวะ)
“ไม่ไป ไม่มีกูอยู่ด้วยแล้วพวกมึงจะกระเดือกเหล้าไม่ลงหรือไง”
(ตอนมึงอยู่ คนในรีสอร์ทมาชนแก้วด้วยเยอะดี---)
หนึ่งในเพื่อนสนิทเอ่ยพูดยียวนคล้ายกับ้าจะโทรมาปั่นประสาทกันเสียมากกว่า แท็ปกลอกตาถอนหายใจ ไม่รอฟังให้จบประโยคก็ตัดสายทิ้งไปทันที ขยับตัวบิดี้เีเล็กน้อยพลางหยิบเบียร์กระป๋องที่ยังไม่หมดมากระดกดื่มต่อ ครั้นเมื่อปรายตามองไปยังคนบนโซฟาจึงพบว่าอีกฝ่ายตื่นขึ้นมานั่งแล้ว ทั้งยังอยู่ในสภาพหางโผล่ หูตั้งไม่กระดิก หน้าตาดูทั้งเหลอหลาและใเสียจนน่ากลัวว่าจะช็อคไปก่อน
“ตื่นแล้วเหรอ”
“...”
“มึงขี้เซานะ กูปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น”
เอ่ยพูดเสียงเรียบพลางเดินไปหา ก่อนจะยื่นมือไปเกลี่ยหูกระต่ายสีน้ำตาลเล่น ดวงตาสีอำพันเป็ประกายทุกครั้ง ยามเห็นอีกฝ่ายลู่หูลงหนีัั พักสักก็สะบัดหูขึ้นตั้งใหม่อีกครั้ง บรรยากาศระหว่างกันตกอยู่ในความเงียบ ก่อนจ๋ายจะเริ่มถามเสียงแ่
“จ๋ายหลับไปนานมากเลยเหรอ”
ปลายลิ้นเกลี่ยเขี้ยวคมของตัวเองแ่เบา ดวงตาคมสะท้อนภาพของคนตัวเล็กที่ขดตัวนั่งอยู่ที่ซอกหนึ่งของโซฟา ว่ากันว่ากระต่ายแต่ละตัวก็จะมีอุปนิสัยที่แตกต่างกันไป ดูท่ากระต่ายตัวนี้คงจะมีนิสัยขี้กลัวเป็หลักอย่างแน่นอน
...ขี้กลัว น่าแกล้ง
...ลองแกล้งอีกสักหน่อยดีไหมนะ...
“ใช่ มึงสร้างเื่ไว้เยอะแยะเลย”
เอ่ยพูดเสียงเรียบพลางนั่งยองลงตรงหน้าคนที่อยู่บนโซฟา พลันหูกระต่ายดีดผึงขึ้นตั้งตรง รีบถามทันทีหน้าตื่น ในขณะที่แท็ปเพียงกระดกเบียร์ขึ้นดื่มด้วยท่าทีสบาย ไม่ได้สังเกตว่าบนใบหน้าจิ้มลิ้มเริ่มขึ้นสีแดงเรื่อจาง ๆ ยามได้เห็นแผงอกเปลือยเปล่าและหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
“ระ เราไปทำอะไรไว้เหรอ”
“แน่ใจเหรอว่าจะให้เล่า?”
ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมองสบกันพลางเลิกคิ้วถาม คราวนี้จ๋ายหูตก เมื่อคิดว่าจะต้องเกิดเื่ร้ายแรงขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็รอฟังอย่างตั้งใจ ไม่ได้รู้เลยว่ากำลังติดกับคนช่างแกล้งเข้าเสียแล้ว
“มึงหลับลึก เพื่อนปลุกแล้วไม่ตื่น กูเลยอุ้มมึงกลับเข้าห้อง”
เลือกเล่าส่วนที่เป็ความจริงออกไปก่อน ทว่าเพียงแค่เริ่มต้นจ๋ายก็หน้าตื่นไปเสียแล้วเมื่อรู้ว่าตนถูกพามาอย่างไร แต่การเล่าเื่โดยหมาป่าแท็ปยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น
“แล้วหลังจากนั้นมึงก็แผลงฤทธิ์”
“...ยังไงเหรอ”
คนที่กำลังกระดกเบียร์เข้าปากนิ่งไปครู่ใหญ่ ดวงตาสีอำพันกลอกไปมาราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง พลันริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อยเป็รอยยิ้มร้ายแล้วจึงเอ่ยพูดต่อ เช่นเดียวกันกับเนื้อความในนั้นที่บ้าดีเดือดพอจะทำให้ผู้ฟังหูตาตื่นอย่างกับโลกกำลังจะถล่ม
“จู่ ๆ มึงก็ละเมอ ลุกขึ้นมากระชากเสื้อกูจนกระดุมหลุด”
“ฮะ...”
“มึงเริ่มะโขึ้นมางับคอกูก่อน หลังจากนั้นก็ถอดเสื้อกูออกจนกูไม่เหลือเสื้อใส่”
หูกระต่ายสีน้ำตาลดีดขึ้นตั้งตรงทันทีด้วยความตระหนกใ ก่อนมันจะค่อย ๆ ลู่ลงทีละน้อยทั้งใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดงก่ำเป็ลูกตำลึงสุก ยิ่งอีกฝ่ายเล่า ในหัวก็จินตนาการภาพไปไกล ในขณะที่แท็ปทอดสายตามองภาพตรงหน้าอยู่ตลอด พลางเล่าบทที่เพิ่งจะคิดออกมาสด ๆ ได้อย่างลื่นไหล
“มึงเอามือน้อย ๆ ของมึงมาตะปบหน้าอกกูแบบนี้”
“ฮื่อ!!!”
ไฮบริดครึ่งกระต่ายเบิกตาโพลง ใบหน้าแดงก่ำลามไปจนถึงข้างใบหู เมื่ออีกฝ่ายวางมือตะปบลงบนแผงอกแน่นเปลือยเปล่าของตัวเองเป็การสาธิต ร่างเล็กรีบลู่หูกระต่ายลงมาปิดตาเอาไว้ทันที ในขณะที่แท็ปขยับใบหน้าเข้าใกล้ ยกหูข้างหนึ่งที่ใช้ปิดตาขึ้นให้ต้องสบตากันในระยะใกล้ หมาป่าเ้าเล่ห์เริ่มเล่าต่ออย่างออกรสออกชาติ ในขณะที่กระต่ายตัวน้อยนั่งตัวลีบแทบจะจมไปกับโซฟา...แค่พูดก็พอ ไม่เห็นต้องบีบนมสาธิตกันเลยนี่!
“หลังจากนั้นมึงก็เลียปากตัวเองแผล่บ ๆ เหมือนหิวมาจากไหน”
“...มะ ไม่เอาไม่ฟังแล้ว”
“มึงหายใจฟืดฟาดรดต้นคอกับอก ผลักกูลงเตียงแล้วขึ้นคร่อม”
หูกระต่ายลู่ลงเสียจนน่าสงสาร ริมฝีปากอิ่มเบะลงเล็กน้อยทั้งั์ตากลมใสที่สั่นไหวระริกคล้ายคนอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ พอได้จินตนาการภาพของตัวเองที่ทำอะไรแบบนั้นโดยไม่รู้ตัวก็อายจนแทบอยากจะเอาหน้ามุดดินหนี พยายามยกมือขึ้นปิดตา ทว่าสักพักก็ถูกดึงออก
ไม่รู้ว่าควรจะวางสายตาเอาไว้ตรงไหน ไม่ว่าจะเป็ใบหน้าหล่อร้าย หรือท่อนบนเปลือยเปล่าที่เผยหุ่นสมบูรณ์แบบจากการออกกำลังกาย ไม่ว่าตรงไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น ไหนจะเนื้อความที่พาให้รู้สึกหน้าร้อนไปหมดด้วยความอับอาย โดนแกล้งแน่ ๆ เลย โดนแท็ปแกล้งอีกแล้ว!
แท็ปใจร้าย แท็ปนิสัยไม่ดี!!
“หลังจากนั้นมึงก็---”
ปุ๊ง!!!!
พูดยังไม่ทันจบประโยค พลันร่างสูงที่กำลังเล่าเื่แต่งก็ต้องชะงักไป เมื่อจ๋ายในตอนนี้ะเิตัวเองกลายร่างเป็กระต่ายตัวน้อย หูสีน้ำตาลลู่ลงทั้งตัวสั่นหงึก มองแท็ปอย่างกับเหยื่อที่กำลังจะถูกรังแก ครั้นเมื่อชายหนุ่มเริ่มขยับตัว ไฮบริดในร่างกระต่ายก็รีบวิ่งหนีไปซุกหน้าอยู่ที่ซอกเล็ก ๆ ของโซฟาทันที จนเห็นแค่ก้นกับหางกลม ๆ ที่โผล่ออกมาเท่านั้น
“...”
บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ในความเงียบทันที แท็ปนั่งเคาะนิ้วรอให้กระต่ายตัวกลมหันหน้ามาหากัน ทว่าจนแล้วจนรอดก็เอาแต่ซุกหน้ามุดกับซอกโซฟาอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังแง่งอนกันอย่างจริงจัง พลันร่างสูงถอนหายใจเสียงเบา เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิกับพื้นห้องแล้วยื่นนิ้วไปจิ้มก้นกระต่ายเบา ๆ
“จ๋ายจ๋าย...จริง ๆ แล้วกูแต่งเื่โกหกแกล้งมึง กูขอโทษ”
“...”
“ความจริงแล้วกูแค่แบกมึงมานอนบนโซฟา แล้วมึงก็นอนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ละเมอลุกมาทำอะไร...มากสุดก็แค่ทำเสียงแจ๊บ ๆ เหมือนแดกอะไรอยู่ในฝัน”
ตึง!
จ๋ายในร่างกระต่ายหมุนตัวกลับมาแล้วกระทืบเท้าลงกับพื้นโซฟาจนเกิดเสียงดัง ตามสัญชาตญาณของกระต่ายที่จะกระทืบเท้าใส่ใน่เวลาที่ไม่พอใจ แท็ปเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยต่อปฏิกิริยาดังกล่าว ก่อนจะแค่นหัวเราะเสียงเบา เอ่ยพูดตอบโต้ด้วย ไร้ซึ่งความรู้สึกกลัวแต่อย่างใด
“ตัวเท่าถั่วงอกทำเก่งนะมึง งอนแล้วก็กระทืบตีนขู่กู”
ตึง!
เสียงกระทืบเท้าดังขึ้นอีกครั้งเป็การตอบโต้ พอร่างสูงใช้นิ้วเกลี่ยปลายหูกระต่ายก็สะดุ้ง รีบวิ่งไปซุกอยู่ที่ซอกโซฟาอีกมุมหนึ่งทันที หูสีน้ำตาลทั้งสองข้างตั้งตรงไม่กระดิก ในขณะที่แท็ปนั่งเท้าคางมอง ริมฝีปากยกขึ้นเป็รอยยิ้มร้ายเ้าเล่ห์ เอ่ยเรียกหยอกเย้าทั้งดวงตาสีอำพันที่เป็ประกาย
“หึ ไอ้จิ๋วน้อย”
ตึง!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้