คุณยายเตรียมพร้อมสรรพ ทั้งเมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสง ลูกอม ขนมเค้ก วางเรียงรายเต็มโต๊ะ แล้วดึงร่างเล็กของหมี่หลันซิงเข้าไป จัดการยัดของกินใส่มือเด็กน้อยอย่างเต็มที่ ใน่ต้นยุค 80 ชีวิตผู้คนยังไม่ได้มั่งคั่งอะไรนัก ของบนโต๊ะเหล่านี้ แม้แต่่ตรุษจีน บางบ้านก็ยังหามาวางให้ครบไม่ได้เลย
"คุณยายครับ ไม่ต้องแล้วครับ ใส่ไม่ไหวแล้ว"
หมี่หลันซิงยังคงเป็เด็กดี ไม่ใช่เพราะหวังหย่วนฉิงกับหมี่จิ้งเฉิงอบรมสั่งสอนมาดีเท่านั้น แต่ยังมีส่วนของหมี่หลันเยว่ด้วย กระเป๋าสะพายข้างใบเล็กของหมี่หลันเยว่ มักจะมีของกินสำรองให้หมี่หลันซิงเสมอ
สิ่งนี้ทำให้หมี่หลันซิงไม่จำเป็ต้องไปอิจฉาของคนอื่น หมี่หลันเยว่บอกเขาว่า อยากกินอะไร บอกพี่สาว พี่สาวจะซื้อให้ แต่ห้ามไปขอของคนอื่น ทำให้หมี่หลันซิงมีนิสัยไม่ละโมบ ดังนั้นแม้จะเป็ของดีๆ ที่คุณยายให้ เขาก็ยังรู้จักยับยั้งชั่งใจ
"ขอบคุณคุณยายครับ แค่นี้ผมก็กินพอแล้วครับ"
มองดูหลานชายตัวน้อยที่แสนจะว่านอนสอนง่าย ไม่เหมือนเด็กบ้านอื่นที่ตะกละตะกลาม อยากได้เท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอ คุณยายก็ยิ่งเอ็นดูเขาเป็พิเศษ
"หลานยายคนนี้ว่านอนสอนง่ายจริงๆ อายุแค่นี้ก็รู้จักพอ เด็กคนนี้สอนมาดีจริงๆ"
คุณยายมองหลานชายตัวน้อยของตัวเอง ชมลูกสาวและลูกเขยไปหนึ่งยก หวังหย่วนฉิงกับหมี่จิ้งเฉิงมองหน้ากัน ไม่ได้พูดอะไร พวกเขารู้ดีแก่ใจว่า ลูกชายมีนิสัยเช่นนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็เพราะลูกสาว
เพียงแต่บางเื่รู้กันในใจก็พอ ถ้าอธิบายออกไปก็คงยุ่งยาก ยิ่งไปกว่านั้น ลูกสาวยังแค่สิบขวบ สองสามีภรรยาไม่อยากให้เธอโดดเด่นเกินไปนัก ยังไงซะเด็กคนนี้มีความคิดเยอะ มีความคิดใหม่ๆ เสมอ ถ้ามีคนสนใจเธอมากเกินไป อาจจะสร้างปัญหาให้กับการทำอะไรในอนาคตได้ ต้องบอกว่า พ่อแม่ย่อมคิดถึงลูกอย่างรอบด้านที่สุด
"หลันเยว่กับหลันหยางก็เอาขนมไปกินบ้างสิ เดี๋ยวน้าจะพาพวกเธอไปหาคุณตา"
น้าชายดึงหลันเยว่และหลันหยางไปที่โต๊ะ ให้พวกเขาเอาขนมไปกินบ้าง ทั้งสองคนเป็เด็กดี จึงไม่อยากหยิบอะไร
"ทำไมมาถึงบ้านคุณยายแล้วยังเกรงใจกันอีก มาๆ เอาไปเยอะๆ หน่อย เดี๋ยวเราจะไปที่ที่ไกลพอดู"
น้าชายเปิดกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กของหลันเยว่ แล้วยัดของต่างๆ ใส่เข้าไป ไม่ว่าอะไรก็ใส่ให้หมด ทำให้หลันเยว่จนปัญญา ในกระเป๋ายังมีหนังสืออยู่นะ แบบนี้จะไม่เปื้อนหรือไง
"หลันหยาง เธอก็หยิบถั่วลิสงสองสามกำใส่กระเป๋าเสื้อไปด้วยสิ"
พอใส่ของให้หลันเยว่เสร็จ ก็จะใส่ให้หลันหยางต่อ หลันหยางรีบหลบมือของน้าชาย
"น้า ไม่ต้องครับ ผมอยากกินเมื่อไหร่ ก็หยิบจากกระเป๋าหลันเยว่ก็ได้ เยอะขนาดนี้ เธอคงกินไม่หมดหรอก"
น้าชายมองกระเป๋าสะพายข้างของหลันเยว่ ก็ใส่ไปเยอะจริงๆ งั้นก็แล้วไป
"งั้นเราก็ออกเดินทางกันเลย ฉันจะพาพวกเธอไปหาคุณตากัน พี่ พี่เขย พวกพี่อยู่บ้านกับแม่นะ"
หวังหย่วนฉิงกับสามีจึงอยู่บ้านกับแม่ ช่วยกันเตรียมอาหารกลางวัน
ตอนใกล้จะออกเดินทาง หมี่หลันเยว่ให้แม่เตรียมน้ำใส่ขวดไปสองขวด ใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง แม้จะหนักไปหน่อย แต่กันไว้ดีกว่าแก้ อากาศร้อนขนาดนี้ ถ้าหิวน้ำขึ้นมาคงแย่ เพียงแต่กระเป๋าสะพายข้างไม่ค่อยใหญ่ หมี่หลันเยว่จึงต้องเอาหนังสือออกมา ให้แม่เก็บไว้ก่อน ยังไงวันนี้ออกมาเล่น คงไม่มีเวลาอ่านมันแล้ว
"น้าครับ คุณตาไปอยู่ที่ไหนเหรอครับ"
หมี่หลันซิงยังเด็กนัก ในหัวจึงเต็มไปด้วยความสงสัย ตลอดทางจึงได้ยินแต่เสียงเขาถามไม่หยุด น้าชายก็ตอบไม่หยุดเช่นกัน
"วันนี้คุณตาไปช่วยคนอื่นเฝ้าสวนแตง ที่บ้านเขามีธุระ วานให้คุณตาไปช่วยดูแลหนึ่งวัน"
"แล้วที่บ้านเขามีธุระอะไรเหรอครับ"
หมี่หลันเยว่กลอกตาในใจ เด็กคนนี้นี่ช่างสอดรู้สอดเห็นจริงๆ
"เหมือนว่าญาติๆ ลูกเขาแต่งงานมั้ง เขาเลยต้องไปดู"
"แล้วใครแต่งงานครับ เป็น้องชาย น้องสาว หรือว่าเป็หลานชาย หลานสาว"
คราวนี้ทำเอาน้าชายถึงกับพูดไม่ออก หมี่หลันเยว่กับหมี่หลันหยางกลั้นหัวเราะอยู่ข้างๆ
น้องชายนี่น่ารักจริงๆ ใครๆ ก็ว่าคำพูดของเด็กไร้เดียงสา ความคิดของเด็กน้อย ช่างไร้ขีดจำกัดจริงๆ
"หลันซิง ดูสิว่านี่คืออะไร"
โชคดีที่มาถึงที่หมายแล้ว น้าชายรีบหาอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจของเ้าตัวเล็ก ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องถูกถามจนพูดไม่ออกแน่ๆ
"ผมรู้จักสิ พริกนี่นา หลังบ้านเราก็ปลูก ได้เยอะแยะเลย"
"แล้วที่นี่ปลูกเยอะกว่าที่บ้านเราไหมล่ะ"
หลันซิงมองดูผืนดินกว้างสุดลูกหูลูกตาตรงหน้า ส่ายหน้า
หมี่หลันเยว่เหลือบมองน้าชายอย่างไม่พอใจ ไม่น่ามาหลอกเด็กเลย ที่นี่เป็ผืนดินกว้างใหญ่ จะเอาไปเทียบกับสวนหลังบ้านตัวเองได้ยังไง เธอเพิ่งจะอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงของหมี่หลันหยางก็ดังขึ้น
"ดูสิ ตรงนั้นมีสวนแตงอยู่แปลงหนึ่ง คุณตาอยู่ที่นั่นหรือเปล่า"
น้าชายพยักหน้า
"ใช่แล้ว สวนแตงแปลงนั้นแหละ เรารีบเดินไปอีกหน่อยก็ถึงแล้ว เห็นกระท่อมเล็กๆ ข้างสวนแตงไหม คุณตาอยู่ที่นั่นแหละ"
ได้ยินว่ามีที่เย็นๆ ให้หลบแดด หมี่หลันซิงก็วิ่งไปทางนั้นทันที ตลอดทางเป็แต่ผืนดิน ไม่มีที่ร่มเงาเลยสักนิด จะทำให้คนตายเอา
"คุณตา คุณตาครับ ผมมาแล้ว"
ได้ยินเสียงของหมี่หลันซิง คุณตาก็โผล่ออกมาจากกระท่อม พอดีกับที่หลานชายตัวน้อยวิ่งมาถึงตรงหน้า คุณตากอดเขาไว้ในอ้อมแขนทันที หอมแก้มยุ้ยๆ ของเขาไปสองที หนวดเคราสากๆ ทิ่มแทงจนเ้าตัวเล็กส่งเสียงร้องดังลั่น ท้องทุ่งกว้างใหญ่ เสียงหัวเราะและเสียงกรีดร้องดังไปไกลแสนไกล
"รีบเข้ามาข้างในเถอะ ข้างนอกมันร้อน"
ก็ใช่น่ะสิ พระอาทิตย์แขวนอยู่บนท้องฟ้าแล้ว แสงแดดที่สาดส่องลงมา ทำให้รู้สึกเจ็บแสบไปหมด ทุกคนเบียดเสียดกันเข้าไปในกระท่อมเล็กๆ ดูจะคับแคบไปหน่อย
"คุณตาครับ ผมหิวน้ำ"
ตลอดทางที่ผ่านมา ระยะทางก็ไม่ใกล้ แถมยังเป็ที่ราบโล่ง หมี่หลันซิงตัวแดงก่ำไปหมด เขาจะไม่หิวน้ำได้ยังไง
"หิวน้ำเหรอ ง่ายนิดเดียว เดี๋ยวตาจะไปเก็บแตงโมให้กิน ที่นี่มีแต่แตงเหลืองลูกเล็กๆ อร่อยมากๆ เลย"
คุณตาพูดจบก็ลุกขึ้น แต่กลับถูกน้าชายกดตัวไว้
"พ่อครับ พ่ออยู่กับเด็กๆ เถอะ เดี๋ยวผมไปเก็บแตงเอง"
รู้ว่าลูกชายเป็ห่วงตัวเอง กลัวว่าอากาศจะร้อนเกินไป แล้วตัวเองจะทนไม่ไหว แต่เขาก็กลัวว่าลูกชายจะเลือกไม่ดี เสียแตงของคนอื่นเปล่าๆ หลานก็ไม่ได้กินของอร่อยๆ เลยยืนกรานจะออกไปเอง
"ผมเลือกเป็น่า พ่อสบายใจได้เลย"
สุดท้ายน้าชายก็ไป หมี่หลันหยางตามออกไปด้วย ส่วนหมี่หลันซิงก็ถามคุณตาด้วยความสงสัย
"คุณตาบอกว่าจะให้ผมกินแตงโม ทำไมถึงกลายเป็แตงกวาเหลืองไปได้ล่ะครับ"
คุณตาหัวเราะเสียงดังลั่น
"คุณตาพูดถึงแตงโมเนื้อเหลืองลูกเล็กๆ ไม่ใช่แตงกวาเหลืองที่หลานคิด เข้าใจหรือยัง"
หมี่หลันซิงเกาหัว คิดไม่ออก หมี่หลันเยว่ยื่นน้ำที่เอามาให้เขา
"หลันซิง ดื่มน้ำแก้ร้อนไปก่อน อย่าดื่มเยอะนะ เดี๋ยวจะกินแตงโมไม่ลง"
หลันซิงรับขวดน้ำไปอย่างดีใจ ดื่มไปสองอึกใหญ่ๆ การมีพี่สาวอยู่ข้างๆ นี่ดีจริงๆ ไม่ว่าตัวเอง้าอะไร พี่สาวก็จะจัดการให้
"ขอบคุณพี่สาวครับ!"
พอยื่นขวดน้ำคืน หลันซิงก็ขอบคุณ คุณตารีบชมเขา
"ดูหลานชายสิ ว่านอนสอนง่าย รู้จักขอบคุณพี่สาวด้วย"
หมี่หลันซิงกลับถ่อมตัวโบกมือ
"แม่บอกว่า ต้องเป็เด็กดีมีมารยาทครับ"
"แตงโมมาแล้ว"
เสียงของหมี่หลันหยางดังมาจากนอกกระท่อม พริบตาก็วิ่งเข้ามา เหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก คงเป็เพราะวิ่งมา อากาศร้อนขนาดนี้ แค่อยู่เฉยๆ ก็เหงื่อออกแล้ว ยิ่งเขาต้องวิ่งกลับมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเขาเป็ห่วงน้องชายที่เพิ่งจะกระหายน้ำ
"วิ่งกลับมาทำไมเนี่ย อากาศร้อนขนาดนี้ ระวังจะเป็ลมแดด เอาน้ำที่อยู่ในกระเป๋าหนูไปกินสิ"
หมี่หลันเยว่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดเหงื่อให้พี่ชาย หมี่หลันหยางรับไปเช็ดเอง
"เธอนี่ใส่ใจจริงๆ พี่ไม่เคยคิดถึงเื่เอาน้ำออกมาเลย"
หมี่หลันเยว่เก็บผ้าเช็ดหน้ากลับ
"พี่ไม่ได้สะพายกระเป๋า จะเอาอะไรใส่น้ำล่ะคะ หนูก็แค่พกติดตัวไว้เฉยๆ"
หลันหยางรู้ดีว่าน้องสาวไม่ได้พกติดตัวไว้เฉยๆ เธอเตรียมพร้อมเสมอ
"ไม่มีมีด เราทุบแล้วใช้ช้อนตักกินกัน"
คุณตาทุบแตงโมด้วยกำปั้น แล้วเอาช้อนตักเนื้อแตงโม
"มา ลองชิมดู อร่อยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฝีมือเลือกแตงของน้าหลานจะเป็ยังไงบ้างนะ"
แตงโมลูกนี้เล็กจริงๆ เหมือนกับะเิลูกเล็กๆ พอทุบออกมา เนื้อแตงโมข้างในเป็สีเหลือง สีนี้ดูจืดชืด ไม่ชวนให้เจริญอาหาร แต่หมี่หลันเยว่รู้ดีว่า แตงโมแบบนี้มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เพราะชาติก่อนเธอเคยได้ลิ้มรสมันที่นี่
หมี่หลันเยว่ตักเนื้อตรงกลางที่ไม่มีเมล็ด และเป็ส่วนที่หวานที่สุด
"หลันซิง ไม่หิวน้ำเหรอ กินตรงนี้ก่อนสิ"
แม้หลันซิงจะยังเล็ก แต่เขาก็รู้ว่า พี่สาวตักส่วนที่อร่อยที่สุดของแตงโมให้ตัวเอง
"ขอบคุณพี่สาวครับ!"
หลันซิงพูดขอบคุณพี่สาวทั้งๆ ที่ในปากเต็มไปด้วยแตงโม หมี่หลันเยว่จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมา เช็ดน้ำแตงโมที่ไหลออกมาจากมุมปากให้เขา
"มาๆๆ ดูสิว่าน้าเอาอะไรกลับมา"
ขณะที่เด็กๆ กำลังกินแตงโมกันอย่างสนุกสนาน น้าชายก็กลับมาจากข้างนอก พร้อมกับอุ้มรวงข้าวสาลีพะรุงพะรัง ภาพนี้ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของหมี่หลันเยว่มาตลอด ชาตินี้เหมือนกับภาพเก่าฉายซ้ำ
"ว่าแล้วทำไมนานนัก ที่แท้ก็ไปเก็บรวงข้าวให้พวกหลานนี่เอง"
หมี่หลันซิงจ้องมองรวงข้าวสาลีด้วยความสงสัย เอื้อมมือไปัั แต่กลับถูกหนามแหลมๆ ของรวงข้าวสาลีตำเอา หมี่หลันเยว่เอื้อมมือไปห้าม แต่ช้าไปก้าวหนึ่ง เื่ราวเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อกี้ และเหมือนจะนานมาแล้ว
"น้าครับ มันตำมือ น้าเก็บมันมาทำไมเหรอครับ"
หมี่หลันเยว่ช่วยนวดนิ้วเรียวเล็กของน้องชาย น้องชายก็ยังคงถามด้วยความสงสัย
"นี่คือรวงข้าวสาลี ยังไม่สุกเต็มที่ แต่เอาไปย่างตอนนี้กำลังดี"
ได้ยินว่าเป็ของกิน ความไม่ชอบที่รวงข้าวเคยตำมือตัวเองก็จางหายไปเกือบหมด ตามน้าชายออกไปย่างรวงข้าวสาลีอย่างกระตือรือร้น หมี่หลันเยว่กับพี่ชายก็เดินตามออกไปด้วย มองดูน้าชายหาที่ปลอดภัย จุดไฟกองเล็กๆ ย่างรวงข้าวสาลี
ไม่นานกลิ่นหอมของข้าวสาลีก็โชยออกมา พอย่างจนเปลือกนอกไหม้เกรียม น้าชายก็ใช้มือขยี้เปลือกไหม้ๆ ออก เผยให้เห็นเม็ดข้าวที่อ่อนนุ่มข้างใน ข้าวสาลีที่ยังไม่สุกเต็มที่แบบนี้ เพราะมีน้ำอยู่ข้างในเยอะ จึงย่างให้สุกง่าย แถมยังมีรสชาติที่ยอดเยี่ยม
อยู่ที่บ้านคุณยายสามวัน ไม่ต้องพูดถึงหมี่หลันซิงเลย แม้แต่หมี่หลันเยว่ก็ยังรู้สึกไม่อยากกลับ อากาศที่ชนบทดี ตอนที่ลมพัดผ่าน กลิ่นหอมพิเศษของไร่นาที่กำลังจะสุก ทำให้อดไม่ได้ที่จะเคลิบเคลิ้ม ไม่อยากจากลา แต่ชีวิตก็เป็เช่นนี้ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ครอบครัวจึงกลับขึ้นรถไฟสีเขียวขบวนเดิม
