ชิวเซียงมองดูองค์หญิงอันหย่าซึ่งอยู่ในสภาพทรุดโทรมอย่างประหม่า นางกังวลมากจนเหลือบมองไปที่ประตูวังหลวงเป็ครั้งคราว
นางไม่สามารถพูดสิ่งใดกับหลงเซี่ยวเจ๋อได้ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าคุยกับหลงเซี่ยวเจ๋ออีกต่อไป นางทำได้เพียงตั้งตารอด้วยความหวังว่าชิวเยวี่ยจะพาใครสักคนมาได้
แต่คนที่รอยังมาไม่ถึง ในยามนี้ องค์หญิงอันหย่าทรงไอไม่หยุด ก่อนจะกระอักเืออกมาเต็มปาก และตามด้วยเือีกคำหนึ่ง...
เืเต็มปาก หยดย้อมชุดสีขาวราวหิมะของนางจนกลายเป็สีแดงในทันที นางกำลังตกอยู่ในสภาพที่น่าอนาถ ดูเหมือนว่าจะก้าวเท้าเข้าไปในประตูนรกกว่าครึ่งก้าวแล้ว
“องค์หญิง! องค์หญิง!” ชิวเซียงใมากจนหน้าซีด มือและเท้าของนางก็อ่อนแรง
ทำอย่างไร? จะทำอย่างไรดี? เหตุใดชิวเยวี่ยถึงยังไม่มา?
หากองค์หญิงอันหย่าสิ้นพระชนม์เช่นนี้ พวกนางคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่ ไม่ได้ องค์หญิงของพวกนางจะตายไม่ได้
ชิวเซียงกระวนกระวายเหมือนมดบนกระทะร้อน ขณะที่กำลังเฝ้าดูสถานการณ์ขององค์หญิงอันหย่า นางก็หันไปมองที่ประตูวังไปด้วย หันแรงจนคอแทบหัก
หลงเซี่ยวเจ๋อที่เพิ่งทำให้มู่อี๋เสวี่ยหมดสติไป กับมู่จื่อหลิงที่ดูการแสดงที่เคยจบไปครั้งหนึ่งแล้ว
ทั้งสองคนมองภาพนั้นอย่างตั้งใจ แต่ยามนี้พวกเขากำลังดูการแสดงภาพนี้อีกครั้ง ใบหน้าของทั้งสองยังคงนิ่งเฉย แต่ในใจของพวกเขากลับรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น
เหตุใดพวกเขาจึงกล้ามองดูดวงใจของไทเฮาอย่างสบายใจเช่นนี้ได้ พวกเขายังคงไม่หวั่นไหวกับความจริงที่ว่าโรคนี้ร้ายแรงมากจนไม่ไหวแล้ว...
แน่นอนว่าหลงเซี่ยวเจ๋อย่อมคิดว่ามีพี่สามของเขาอยู่ที่นี่ เขาจึงไม่กลัวเลย
ส่วนมู่จื่อหลิงแค่คิดว่าองค์หญิงอันหย่าสมควรที่จะได้รับความอยุติธรรมแล้ว หากนางเสียชีวิตเช่นนี้ นั่นเป็ความโชคร้ายของนางเอง
ที่นี่มีสายตานับสิบคู่เฝ้าจับจ้อง แต่ทหารยามเ่าั้เมื่อครู่นี้เพิ่งได้รับลูกะุปืนใหญ่เคลือบน้ำตาล [1] และเมื่อหนึ่งคนบอกเล่ากับสิบคน สิบคนนั้นก็ไปบอกต่ออีกร้อยคน [2] หากไทเฮา้าที่จะเอาผิดนาง เช่นนั้นก็ต้องหาหลักฐานให้ได้!
มู่จื่อหลิงแตะคางของตน ดวงตาคู่งามกลอกไปมาอย่างครุ่นคิด
แม้ว่าต้นกล้าอ่อนแอผู้นี้้าหาความผิดให้นางจริง แต่ยามนี้หากพวกเขายังอยู่ที่นี่ต่อไป แล้วองค์หญิงอันหย่าเกิดอ่อนแรง และหลับตาลง...เสด็จขึ้นสู่สรวง์ มันคงเป็เื่ใหญ่
เช่นนั้น...ยามนี้ควรจากไปได้แล้ว
ขณะที่มู่จื่อหลิงกำลังคิดเกี่ยวกับเื่นี้ ชิวเซียงก็รีบวางองค์หญิงอันหย่าลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง แล้วจ้องไปที่มู่จื่อหลิง ก่อนจะก้มกราบ “หวางเฟย ได้โปรด ขอท่านช่วยองค์หญิงด้วย...”
แต่เดิมชิวเซียงคิดว่าฉีหวางเฟยจะคุยด้วยได้ง่ายกว่า
อย่างน้อยก็จะไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง อย่างน้อยฉีหวางเฟยจะต้องรับรู้ว่าองค์หญิงอันหย่าทรงเป็ที่โปรดปรานของไทเฮา จึงไม่น่าจะกล้าพูดสิ่งใดมากเกินไป บางที หากนางถามอีกครั้ง ฉีหวางเฟยอาจลงจากรถม้า เพื่อเข้าช่วยองค์หญิงของพวกนางก็เป็ได้
ชิวเซียงแอบคิดในใจ
หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับองค์หญิงของพวกนาง เช่นนั้นฉีหวางเฟยจะไม่ใช่เพียงแค่เห็นคนตายแล้วไม่ช่วยเท่านั้น เพราะหากไทเฮาทรงไล่สืบค้น ผลที่ตามมาก็จะร้ายแรงมากยิ่งขึ้น
มู่จื่อหลิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ยักไหล่ แล้วกางมือออก “ไม่มีประโยชน์ที่จะถาม สิ่งที่องค์ชายหกเพิ่งกล่าวไปยังไม่ชัดเจนเพียงพอหรือ?”
“หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับองค์หญิง เช่นนั้นท่าน…” ชิวเซียงลังเลที่จะพูด ในท้ายที่สุด นางยังไม่ลืมที่จะกล่าวอ้างถึงองค์ไทเฮา “องค์หญิงเป็พระราชนัดดาผู้เป็ที่รักขององค์ไทเฮา”
ความหมายในคำพูดของชิวเซียงนั้นชัดเจน
แต่ปรากฏว่าความคิดของชิวเซียงเป็เพียงความคิดของนางเพียงผู้เดียว มู่จื่อหลิงไม่เคยคิดที่จะช่วยเหลือคนมาั้แ่ต้นจนจบ นับประสาอะไรกับการถูกคุกคามเพื่อให้ช่วยชีวิตใครสักคน
มู่จื่อหลิงพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง นี่เป็ภัยคุกคามหรือไม่?
นางกำนัลน้อยกล้าดีอย่างไรมาขู่นาง? ช่างน่าขันยิ่งนัก!
“ในเมื่อเ้าไม่เข้าใจสิ่งที่องค์ชายหกพูด เปิ่นหวางเฟยก็จะกรุณาบอกเ้าอีกครั้ง” มู่จื่อหลิงยิ้มบางๆ เป็รอยยิ้มที่เฉยชา
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง นางจ้องมององค์หญิงอันหย่าซึ่งทรุดตัวลงอย่างเหนื่อยล้าด้วยความเฉยเมย พูดเน้นทีละคำว่า “ฟังนะ เปิ่นหวางเฟย ไม่ รักษา ให้ หมู”
เดิมทีหลงเซี่ยวเจ๋อก็ตรงไปตรงมาเพียงพอแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าคำพูดของมู่จื่อหลิงจะตรงไปตรงมามากยิ่งขึ้นไปอีก ชิวเซียงหันหลังกลับทันที ทั้งสองเรียกองค์หญิงอันหย่าว่าหมู
“ใช่ ฉีหวางเฟยจะรักษาหมูได้อย่างไร? อีกทั้งยังเป็หมูที่ตายไปอย่างไร้ยางอายตัวหนึ่ง เ้าทาสหมา เ้ายังไม่ยอมจบอีกหรือ?” หลงเซี่ยวเจ๋อเหลือบมององค์หญิงอันหย่าอย่างดูถูกดูแคลน และแสดงออกว่าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว
หมูที่ตายไปอย่างไร้ยางอาย? เป็คำที่เหมาะสมมาก แต่ใช้คำว่าตายไปอย่างไร้ยางอายได้หรือ!
หึ...มู่จื่อหลิงเกือบจะยกนิ้วให้หลงเซี่ยวเจ๋อแล้ว เด็กผู้นี้ตรงไปตรงมามากเกินไป!
ทั้งสองคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ [3] ชิวเซียงแทบกระอักออกมาเป็เื “หวางเฟย องค์ชายหก พวกท่าน...บังอาจนัก กล้าดีอย่างไร...ถึงเรียกองค์หญิงของเราว่าหมูออกมาอย่างเปิดเผย”
แม้ว่าชิวเซียงจะมีความรู้สึกขุ่นเคืองใจเกี่ยวกับเื่ขององค์หญิงอันหย่าอยู่ภายใน แต่ถึงแม้จะมอบความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่ให้แก่นาง นางก็ยังไม่กล้าพูดให้จบประโยค
แม้ว่าชิวเซียงกล้าที่จะพูดคำเหล่านี้ แต่พวกของมู่จื่อหลิงทั้งสองคนกลับยืนขึ้นแบมือทั้งสองข้างออกราวกับเป็ผู้บริสุทธิ์ ทั้งสองพูดประโยคหนึ่งออกมาพร้อมเพรียงกันว่า มีผู้ใดได้ยินหรือ?
แม้ว่าองค์หญิงอันหย่าจะประชวรหนักจนกระอักเื แต่นางก็ยังมีสติอยู่เล็กน้อย
หลังจากได้ยินสิ่งที่มู่จื่อหลิงกับหลงเซี่ยวเจ๋อพูดออกมาที่ดูเหมือนไม่ตั้งใจ แต่มันกลับเป็คำที่มีความหมาย ราวกับว่าพวกเขากำลังข่วนหัวใจที่กำลังเ็ปของนางซ้ำลงไปอีกครั้ง และความเ็ปนี้ทำให้นางหายใจไม่ออก
หลังจากเห็นว่าองค์หญิงอันหย่าสำลักเืออกมาอีกคำหนึ่ง จากนั้นนางก็หมดสติไปอย่างสมบูรณ์
“อ๊าย...องค์หญิง องค์หญิง...ตื่นเถิดเพคะ องค์หญิง...” เมื่อเห็นว่าองค์หญิงอันหย่าหมดสติไปแล้ว ชิวเซียงตื่นตระหนกมากจนไม่อาจตื่นตระหนกมากไปกว่านี้ได้อีก
มู่จื่อหลิงกับหลงเซี่ยวเจ๋อมองหน้ากันด้วยท่าทางไร้เดียงสา ทั้งคู่เห็นความอึดอัดเล็กน้อยที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของกันและกัน
แต่...เหมือนมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ใช่ว่าจะตายไปจริงๆ แล้วหรือ? หากไทเฮาไม่พบหลักฐานใดๆ และ้าใช้อำนาจมาเล่นงานใครสักคน เช่นนั้นไทเฮาก็หาข้ออ้างได้เสมอ!
วันนี้พอแค่นี้ก่อน ก่อนที่ทหารกู้ภัยจะมาถึง ต้องรีบไปแล้ว หลังจากนั้นไทเฮาอยากเล่นอย่างไร นางขอกลับไปคิดให้ดีก่อนค่อยว่ากัน
มู่จื่อหลิงแอบคาดเดาในใจ และในขณะเดียวกันก็ภาวนาขอให้หญิงชราในวังมีความสามารถมากพอที่จะหาข้อผิดพลาดได้ในภายหลัง
เพียงพริบตาเดียว มู่จื่อหลิงก็วางแผนที่จะหลบหนีแล้ว
“หวางเฟย องค์ชายหก พวกท่าน พวกท่าน...” ชิวเซียงชี้นิ้วที่สั่นเทาไปยังคนทั้งสองด้วยท่าทางอวดดีเล็กน้อย แต่กลับพูดได้เพียงแค่คำว่า ‘พวกท่าน’ มานานแล้ว และนางก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยคำใดออกมาอีก
แค่นางกำนัลตัวน้อยผู้หนึ่ง มู่จื่อหลิงคร้านเกินกว่าที่จะพูดเื่ไร้สาระกับนาง ดังนั้นจึงทำเพียงแค่เพิกเฉย
หลงเซี่ยวเจ๋อเองก็เพิกเฉยไม่ต่างกัน
“ฮาว~~ ออกมาข้างนอกนานถึงเพียงนี้แล้ว คงถึงเวลากลับเสียที” มู่จื่อหลิงหาวและเหยียดตัวอย่างเกียจคร้าน นางไม่ลืมที่จะถามว่า “หลงเซี่ยวเจ๋อ เ้ายังจะกลับกับพวกเราอีกไหม?”
เมื่อได้ยินคำถามของมู่จื่อหลิง หลงเซี่ยวเจ๋อก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงในทันที ถอยหลังออกไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว โบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่แล้ว จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าข้ามีบางอย่างที่ต้องทำ”
อันที่จริงเขาอยากติดตามด้วยเป็อย่างมาก แต่นี่มันเื่ล้อเล่นอะไรกัน?
มันไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่พี่สามของเขาจะปล่อยผ่านเหตุการณ์ที่เขาแอบออกเที่ยวเล่นไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ดังนั้นเขาจึงยังคงต้องจุดธูปบูชาพระพุทธอมิตาภะอยู่ในใจ
ดังนั้น เขาจะพุ่งเข้าหาเื่ ‘หฤโหด’ ต่อตนเองได้อย่างไร?
นั่นเป็ไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะกล้าติดตามพี่สะใภ้สามอย่างไร้ยางอายได้อย่างไร? ร้อยทั้งร้อยย่อมไม่กล้า!
มู่จื่อหลิงหรี่ตาลงแล้วจ้องมองไปที่หลงเซี่ยวเจ๋อ
เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าชายผู้นี้ทำตัวผิดปกติเล็กน้อย ปฏิกิริยาของเขารุนแรงเกินไปสักหน่อยนะ
คนผู้นี้มักจะประพฤติตัวประจบประแจงต่อหน้าคนอื่นๆ อย่างไม่กลัวความตายเสมอมา ทันทีที่เอ่ยถึงหลงเซี่ยวอวี่เขาก็ว่านอนสอนง่ายไม่ต่างไปจากแมว คำพูดไม่ดีต่างๆ ล้วนไม่กล้าหยิบยกออกมาพูด
เมื่อคิดถึงเื่นี้ มู่จื่อหลิงก็แทบจะกลอกตาใส่หลงเซี่ยวเจ๋อ
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ราวกับมีคำถามของมู่จื่อหลิง ด้วยเกรงว่านางจะถามอีกครั้ง หลงเซี่ยวเจ๋อจึงโบกมือของตนครั้งแล้วครั้งเล่า และส่ายหัวเสริมความมั่นใจ “พี่สะใภ้สาม ในที่สุดยามนี้ข้าก็สามารถเรียนรู้วรยุทธ์และปรับปรุงความสามารถของตนได้แล้ว ข้าต้องไปหาเล่อเทียน”
เล่อเทียนคือผู้ที่มีทักษะวรยุทธ์ดีที่สุดในบรรดาพวกเขา นอกเหนือจากหลงเซี่ยวอวี่ หากหลงเซี่ยวเจ๋อสามารถฝึกวรยุทธ์ได้ ย่อมต้องเริ่มเรียนจากวรยุทธ์ง่ายๆ ดังนั้นเพื่อเรียนรู้ทักษะวรยุทธ์ที่แท้จริงเขาจึงต้องไปหาเล่อเทียน
หลงเซี่ยวเจ๋อคิดกับตัวเองว่า เมื่อเขาใช้ทักษะวรยุทธ์ที่แท้จริงได้แล้ว ต่อไปเขาจะไม่เกรงกลัวพวกกุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยอีก และโดยธรรมชาติแล้วเขาย่อมจะประสบกับ ‘เื่ไม่ดี’ น้อยกว่าเดิมมาก
ยังพูดไม่ทันจบคำ หลงเซี่ยวเจ๋อก็รีบวิ่งหนีจากไปโดยไม่รอให้มู่จื่อหลิงได้ตอบรับ แต่เขาวิ่งออกไปได้เพียงแค่สองก้าวก็ต้องวิ่งกลับมาอีกครั้ง
เขาประจบสอพลอมู่จื่อหลิงเพื่อที่จะขอเงิน ส่งยิ้มทะเล้น พร้อมกล่าวว่า “แหะ แหะ! พี่สะใภ้สาม ท่านพอจะมี…”
มุมปากของมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย นางรู้สึกพูดไม่ออกจริงๆ
ไม่ต้องรอให้เขาพูดจบ นางก็โยนเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกายให้กับเขาไปตรงๆ
หลงเซี่ยวเจ๋อรับเงินมาอย่างมีความสุข และรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับมีผีไล่ตามหลังเขาไป...
เมื่อได้ยินหลงเซี่ยวเจ๋อพูดถึงวรยุทธ์เมื่อครู่นี้ หัวใจของมู่จื่อหลิงก็เต้นไม่เป็จังหวะ แต่ในเวลานี้นางยังไม่อาจคิดสิ่งใดให้มากจนเกินไป ด้วยในยามนี้พวกเขาก็ต้องรีบจากไปโดยเร็วเช่นกัน
หลังจากหันมองไปยังคนสองคนที่หมดสติอยู่ข้างนอกเป็ครั้งสุดท้าย มู่จื่อหลิงก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจและกำลังเตรียมที่จะหดศีรษะของตนกลับเข้าไป
แต่ในขณะที่นางกำลังจะหดศีรษะเข้ามา จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากประตูวังหลวง
มู่จื่อหลิงหันไปมองอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว จู่ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เห็นเพียงกองทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งถือกระบี่วิ่งเหยาะๆ ออกมาจากประตูวังหลวง พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สง่างาม ใบหน้าเคร่งขรึม ดูมีความสามารถมากกว่าเหล่าทหารยามที่คอยเฝ้าประตูมาก ภาพที่เห็นดูยิ่งใหญ่ พวกเขาดูไม่เหมือนทหารยามทั่วไป
มู่จื่อหลิงเดาว่าคนกลุ่มนี้น่าจะถูกดึงดูดมาโดยเสียงะเินอกวังหลวง
เื้ัทหารถือกระบี่มีหมอชราสองสามคนติดตามมาด้วย บนไหล่ของพวกเขาแบกล่วมยาเอาไว้ วิ่งสองก้าวหอบสามก้าว [4] ดูเหมือนว่าความกังวลและความเหน็ดเหนื่อยจะมีมากพอๆ กัน
ไม่ว่ากลุ่มคนจะมาช่วยคนหรือเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ หรือมาเพื่ออะไรก็ตาม มู่จื่อหลิงไม่สนใจที่จะอยู่ต่ออีกต่อไป
มู่จื่อหลิงรีบเรียกฝูหลินให้รีบมาคุมรถม้า แต่ฝูหลินกลับจ้องมองนางอย่างอึดอัดทั้งยังไม่กล้ามองตรงๆ ก่อนจะพูดอย่างยากลำบากว่า “ไม่ ไม่ได้ หวางเฟย ข้าน้อยจะกลับไปเอง ท่าน...”
ด้วยท่าทีที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ มู่จื่อหลิงจึงสามารถเข้าใจโดยไม่ต้องคิด
นางแอบก่นด่าอยู่ในใจ จอมมารหลงเซี่ยวอวี่ผู้นี้จะจู้จี้จุกจิกถึงขนาดนั้นไปเพื่ออะไรกัน แม้แต่คนที่คุมรถม้ายังต้องเลือกอีกหรือ
มู่จื่อหลิงมองไปที่หลงเซี่ยวอวี่ซึ่งดูเหมือนจะหลับไปแล้ว จากนั้นจึงหันมองไปทางกลุ่มคนที่กำลังวิ่งเข้ามาบริเวณด้านนอกนั่น
อยู่ดีๆ นางก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อย นางคิดกับตนเองว่า นี่นางคงไม่ต้องออกไปคุมรถม้าเองใช่หรือไม่?
หากนางสามารถคุมรถม้าได้ก็ไม่เป็ไร แต่สิ่งสำคัญคือ...นางทำไม่ได้!
ต้องปลุกหลงเซี่ยวอวี่ขึ้นมาใช่หรือไม่? ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของมู่จื่อหลิง และเพียงชั่วพริบตานางก็ส่ายหัวอย่างแรง
ไม่ได้...แม้ว่ายามนี้นางจะมีความคิดนั้น และนางยังมีความกล้าด้วย
แต่มันเป็ไปได้หรือที่จะให้ฉีอ๋องออกไปคุมรถม้า? ต่อให้ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิด [5] ก็ยังรู้ว่ามันเป็ไปไม่ได้
แต่ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะเถียงกับตนเองเสร็จสิ้น หลงเซี่ยวอวี่ซึ่งกำลังนอนหลับตาอยู่ ได้ยกริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่สมบูรณ์แบบขึ้นเป็ทรงโค้งเล็กๆ
ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงหวีดดังออกมาจากปากของเขาเบาๆ หากไม่อยู่ในที่เงียบและตั้งใจฟังเสียงอย่างจริงจังก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงนี้
ทันใดนั้น ม้าสองตัว ตัวหนึ่งสีดำนิลและอีกตัวสีขาวก็ร้องคำรามเสียงดังออกพร้อมๆ กัน จากนั้นพวกมันก็ขยับกีบเท้าและวิ่งควบออกไปตามเส้นทาง
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ลูกะุปืนใหญ่เคลือบน้ำตาล (糖衣炮弹) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า การแสวงหาประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต หรือชัยชนะที่ได้มาจากการล่อลวง
[2] หนึ่งคนบอกเล่ากับสิบคน สิบคนนั้นก็ไปบอกต่ออีกร้อยคน (一传十十传百) เป็สำนวน มีความหมายว่า ข่าวสารถูกแพร่ หรือถูกบอกต่อเป็ทอดๆ ไปอย่างรวดเร็ว
[3] คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ (一唱一和) เป็สำนวน มีความหมายว่า การกระทำสอดรับกัน หรือเข้ากันได้เป็อย่างดี เทียบกับสำนวนไทย ใกล้เคียงกับคำว่า เข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ย
[4] วิ่งสองก้าวหอบสามก้าว (两小跑三喘息) เป็วลี มีความหมายว่า วิ่งเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ หรือเคลื่อนไหวเข้ามาอย่างเชื่องช้า ราวกับจะไม่ไหวแล้ว
[5] ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิด (用脚指头想) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า สามารถรู้ได้โดยไม่ต้องคิด หรือสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้