ความเงียบสงบกลับมาอีกครั้งในเรือนบุปผาภิรมย์
“จื่อเซียง เ้าเป็อย่างไรบ้าง” หลังจากที่ซูปี้ชิงและคนอื่น ๆ จากไป มู่อวิ๋นจิ่นก็เหลือบมองไปยังด้านข้างเห็นใบหน้าบวมแดงของจื่อเซียง
จื่อเซียงส่ายหัว “บ่าวไม่เป็ไรเ้าค่ะ”
“ เ้าต้องมาโดนตบแทนข้า เื่นี้ไม่ช้าก็เร็วข้าจะทวงคืนแทนเ้าเอง” มู่อวิ๋นจิ่นวางแส้หางหงส์พลางชำเลืองมองจื่อเซียง แล้วถอนหายใจเล็กน้อย
ใบหน้าของจื่อเซียงดูซีดเซียว นางกัดริมฝีปากและขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณหนู ่นี้ชีวิตของคุณหนูไม่ค่อยราบรื่นเสียเท่าไหร่ ทั้งฮูหยินและคุณหนูสี่ต่างผลัดกันมาหาเื่ไม่เว้นแต่ละวันเพื่อเล่นงานคุณหนูโดยเฉพาะนะเ้าคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็เม้มริมฝีปากและยิ้มเล็กน้อย “ใช่ ข้านับไม่ได้ว่าข้าจัดการไปกี่เื่แล้ว ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อขัดขวางการแต่งงานของข้ากับฉู่ลี่”
“ยังเหลือเวลาอีกสองสามวันไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก บ่าวรับใช้คนนี้ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้คุณหนูตบแต่งกับองค์ชายหกโดยเร็วที่สุด เพื่อได้หลุดพ้นจากที่เฮงซวยแบบนี้เสียทีเ้าค่ะ” จื่อเซียงกล่าวความในใจ
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มออกมา และไม่ได้พูดอะไรต่อ
...
วันต่อมาข่าวการเสียชีวิตของมู่อี้หยางก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองเตี๋ยฮวา
ชั่วครู่หนึ่ง ถนนและตรอกซอกซอยก็เต็มไปด้วยการถกเถียงกันอีกครั้ง เมื่อรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองเตี๋ยฮวาใน่สองวันที่ผ่านมา ในไม่ช้าทุกคนก็ชี้นิ้วไปที่จวนสกุลมู่
ขณะที่อัครเสนาบดีมู่กลับจากว่าราชการที่ท้องพระโรงในวังหลวง ก็ได้ยินข่าวการเสียชีวิตอันน่าสลดใจของมู่อี้หยาง เขาโกรธจัดจนได้กลิ่นคาวเืคุกรุ่นในลำคอ และพยายามกล้ำกลืนมันลงไปในที่สุด โชคยังดีที่หัวหน้าบ่าวเข้ามาประคองเอาไว้
ในเวลานี้เว่ยหานเฉียวซึ่งมารายงานตัวอย่างเป็ทางการเป็ครั้งแรกพร้อมกับกลุ่มเ้าหน้าที่และทหาร ทันทีที่เข้าไปในจวนเสนาบดีมู่ นางก็กรีดร้องออกมาว่า “มู่อวิ๋นจิ่นอยู่ที่ไหน นางฆ่าลูกชายของข้า นางต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
“เ้ามีหลักฐานอะไรที่จะพิสูจน์ว่าอวิ๋นจิ่นทำอย่างนั้น” ใบหน้าของซูปี้ชิงพยายามเก็บอารมณ์ซ่อนความได้ใจไว้ภายใน
เว่ยหานเฉียวะโสุดเสียงถลึงตาใส่ซูปี้ชิง “ข้ามีคนที่จะให้การเป็พยาน ข้าแจ้งทางการแล้ว อย่าคิดปกป้องบุตรสาวของเ้าอีกเลย! บุตรสาวของเ้าทั้งสองคนล้วนเป็นางจิ้งจอกเ้าเล่ห์ พวกนางฆ่าบุตรชายของข้า!”
“หุบปาก! ลูกชายของเ้าเกือบทำให้จูเอ๋อร์มีมลทิน เ้ายังกล้าพูดเช่นนี้อีกหรือ” ซูปี้ชิงโต้กลับเมื่อเห็นเว่ยหานเฉียวกล่าวหาว่าลูกสาวของนางเป็นางสุนัขจิ้งจอก
ในเวลานี้เมื่อเห็นว่ามู่อวิ๋นจิ่นและมู่อวิ๋นหานเดินจากสวนบุปผาด้านหลังจวนออกมา ทำให้เว่ยหานเฉียวกับบรรดาทหารที่อยู่เต็มห้องต่างเลิกคิ้วขึ้น
“มู่อวิ๋นจิ่น! นางงูพิษ เ้าเป็คนฆ่าลูกชายของข้า เ้าจะต้องตาย…” เว่ยหานเฉียวรีบวิ่งไปหามู่อวิ๋นจิ่นทันทีเมื่อเห็นนาง
มู่อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ตรงหน้าเว่ยหานเฉียว และผลักนางออกไปอย่างไร้ความปรานี
เวลานี้ขณะที่ข้างในจวนเกิดความโกลาหล ด้านนอกก็มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อรอดูเื่ราวที่กำลังเกิดขึ้น
บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด องครักษ์คนหนึ่งรีบเข้ามาจากนอกประตู และรายงานกับคนในห้องว่า “ ฝ่าาทรงออกคำสั่งเกี่ยวกับเื่ของคุณชายรองสกุลมู่ โดยมีเฉินพู่แห่งศาลต้าหลี่เป็ผู้พิจารณาคดี บัดนี้เชิญทุกคนในจวนไปให้การที่ศาลต้าหลี่ด้วย”
เมื่อเว่ยเฉียวหานได้ยินว่าส่งเื่นี้ไปที่ศาลต้าหลี่ก็พลอยยิ้มออกมา “ดี ดีจริงๆ จะได้รู้ไปเลยว่าใครผิดใครถูก ใครควรได้รับโทษทัณฑ์”
...
ณ ศาลต้าหลี่
ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นก้าวเข้าไปในห้องสอบสวนของศาลต้าหลี่นางก็ต้องตกตะลึงกับการตกแต่งที่หรูหราอู้ฟู่
นางเห็นเฉินพู่นั่งอยู่บนแท่นสอบสวนตรงกลาง โดยมีเจิ้งไทเฮาและฉินไท่เฟยนั่งด้านซ้ายและขวาตามลำดับ ต่อมาก็เห็นฉู่ลี่ ฉู่เย่ และฉู่ชิงที่นั่งถัดลงมาด้านล่าง
ดูเหมือนว่าเื่นี้จะกลายเป็เื่ใหญ่อย่างสมบูรณ์
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นยืนขึ้น นางก็เหลือบมองไปทางฉู่ลี่โดยไม่รู้ตัว วันนี้ฉู่ลี่แทบไม่ได้สวมเสื้อคลุมผ้าทอสีขาวนวลเลย และร่างกายของเขาก็แสดงท่าทีที่ให้ความรู้สึกสบาย ๆ ทว่าบรรยากาศรอบตัวนั้นให้ความรู้สึกหนาวเหน็บ ความเย็นะเืยังคงไม่ลดลง
ฉู่ลี่จ้องมองมายังมู่อวิ๋นจิ่น ก่อนจะเบนสายตาออกไปราวกับว่านางเป็อากาศที่มองไม่เห็น
เมื่อเฉินพู่เห็นว่าคนในตระกูลมู่มากันเกือบครบทุกคนแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดัน ก่อนจะเรียกให้คนไปยกเก้าอี้มา หลังจากนั้นก็หันไปมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความรู้สึกผิด
“คุณหนูสาม ท่านเป็ผู้ต้องสงสัยที่สุดในวันนี้ ดังนั้นต้องยืนขึ้นเพื่อทำการสอบสวนและจะนั่งลงไม่ได้”
มู่อวิ๋นจิ่นตอบรับ “อืม” เสียงเบา และมองไปที่ร่างของมู่อี้หยางบนพื้นซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว
ฉินไท่เฟยนั่งอยู่บนที่นั่งหลักมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น ใบหน้าของนางแสดงออกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด นางจึงไม่ออกความคิดเห็นอะไร เพียงแต่บอกกับเฉินพู่ว่า “เริ่มได้เลย”
เฉินพู่พยักหน้า
“เว่ยหานเฉียว ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย” เฉินพู่พูดพร้อมกับมองไปที่เว่ยหานเฉียว
เมื่อเว่ยหานเฉียวได้ยินดังนั้นก็น้ำตาไหล และพูดอย่างคนไร้สติว่า “เมื่อเช้านี้ข้าตื่นขึ้น และนำอาหารเช้าไปให้อี้หยาง แต่เคาะประตูอยู่นานก็ไม่มีการตอบรับ ข้าจึงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก ข้าเลยเปิดประตูและเห็นว่าอี้หยางถูกฆ่าตายแล้ว”
“แล้วท่านก็กล่าวหาว่าคุณหนูสามตระกูลมู่เป็ฆาตกร? ท่านมีหลักฐานหรือไม่?” เฉินพู่พูดต่อ
เว่ยหานเฉียวเช็ดน้ำตาก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “เทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ จะมีใครได้อีกนอกจากนาง!”
“สิ่งที่เ้าพูดไม่มีมูลความจริง! หากเ้าไม่มีหลักฐานใดๆ เ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจิ่นเอ๋อร์เป็ฆาตกร” ฉินไท่เฟยพูดแทนมู่อวิ๋นจิ่น เมื่อได้ยินว่าเว่ยหานเฉียวไม่สามารถแสดงหลักฐานเพื่อบ่งชี้ว่ามู่อวิ๋นจิ่นเป็ฆาตกรได้ นอกจากคำพูดที่เป็เพียงการสันนิษฐานของนางเท่านั้น
เมื่อได้ยินดังนั้น เจิ้งไทเฮานิ่งไปชั่วขณะก่อนจะเหลือบมองมู่หลิงจูและซูปี้ชิง และเหลือบตามองไปที่ผู้ชันสูตรศพที่อยู่ด้านข้าง
“เ้าเพิ่งตรวจร่างกายของคุณชายรองสกุลมู่ เ้าพบสิ่งผิดปกติหรือไม่” เจิ้งไทเฮากล่าว
ผู้ชันสูตรศพที่ได้รับการ เรียกชื่อยืนขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า “ข้าน้อยได้ชันสูตรศพคุณชายรองสกุลมู่ ในตอนแรกสันนิษฐานว่าเวลาเสียชีวิตยามซื่อเกิงเทียน[1] ข้าน้อยตรวจพบรอยาแเล็กๆ บริเวณลำคอ เห็นว่าต้องถูกสายเส้นด้ายที่เฉียบบางรัดคอจนสิ้นใจ ต่อมาได้ตรวจพบรอยเืของคุณชายรองสกุลมู่ พบว่ามีส่วนผสมของยาปลุกกำหนัดอยู่ในเืพ่ะย่ะค่ะ”
"ยาปลุกกำหนัด?" หลังจากที่ผู้ชันสูตรศพพูดจบ ซูปี้ชิงก็กรีดร้องด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ผู้ชันสูตรศพมองไปที่ซูปี้ชิงแล้วพยักหน้าให้
หลังจากซูปี้ชิงหยุดชะงักไปชั่วครู่ นางก็ลุกขึ้นและพูดด้วยความโกรธว่า “เมื่อวานนี้ในเมืองเตี๋ยฮวามีข่าวลือว่าอี้หยางและจูเอ๋อร์กำลังมีปัญหากันในโรงน้ำชา ต่อมาข้าพาจูเอ๋อร์กลับไปที่บ้านและแพทย์ยังวินิจฉัยว่าจูเอ๋อร์ได้รับยาปลุกกำหนัด”
“ถ้าใต้เท้าเฉินไม่เชื่อ ท่านสามารถเอาเืของจูเอ๋อร์ไปตรวจเสียตอนนี้เลยก็ยังได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินพู่ก็ขมวดคิ้วและพยักหน้า ก่อนจะสั่งทหารรักษาการณ์ที่อยู่ข้าง ๆ ตนว่า “พาคุณหนูสี่ลงไปตรวจเื”
มู่หลิงจูถูกพาตัวไป
มู่อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีสีหน้าใด ๆ เมื่อดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ นางพลางนึกในใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ดูจะเป็เื่ที่ยุ่งเหยิงมากทีเดียว
ผู้คุมได้สกัดเืของมู่หลิงจูในห้องสอบสวน ผู้ช่วยสองคนผลัดกันตรวจเื และในที่สุดก็ได้ข้อสรุป
“คุณหนูสี่มีส่วนประกอบของยาปลุกกำหนัดอยู่ในเื”
หลังจากรายงานเสร็จสิ้น เว่ยหานเฉียวหัวเราะเยาะขึ้นมา “ในเมื่อเื่ดำเนินการมาถึงจุดนี้ นับว่าชัดแจ้งทั้งหมดแล้วมิใช่หรือ? หลายวันก่อนอี้หยางเอาเื่ที่มู่อวิ๋นจิ่นมิใช่สตรีบริสุทธิ์ผุดผ่องมาเป็ประเด็นถกเถียง เห็นทีมู่อวิ๋นจิ่นคิดจะแก้ตัวให้ตนเอง ดังนั้นจึงตัดสินใจอย่างชั่วร้าย ใส่ยาปลุกกำหนัดในน้ำชาให้หลิงจูและอี้หยางดื่ม เพื่อดึงความสนใจไปที่ตัวหลิงจูแต่เพียงผู้เดียว”
ซูปี้ชิงและมู่เฉิงเซี่ยงไม่สามารถหักล้างคำพูดของเว่ยหานเฉียวได้ ดังนั้นซูปี้ชิงจึงพูดด้วยแววตาที่แสดงท่าทีผิดหวัง “อวิ๋นจิ่น… หรือว่าจะเป็อย่างที่เอ้อร์เหนียงเล่ามา เพื่อ้าแก้ต่างให้ตนเอง เ้าถึงกับยอมใช้น้องสาวมาเป็แพะรับบาปแทนเ้าอย่างนั้นเลยหรือ?”
ทุกสายตาพลันเหลือบไปมองมู่อวิ๋นจิ่น
ในเวลานี้มู่อวิ๋นจิ่นที่โดนทุกสายตาจับจ้อง ไม่เพียงแต่นางไม่แสดงความขี้ขลาดให้เห็นเท่านั้น ทว่าหญิงสาวยังเชิดคางขึ้นเล็กน้อยเพื่อแสดงความเย่อหยิ่ง
“คิดจะให้ข้ายอมรับผิดก็จงไปหาหลักฐานมายืนยัน มิอย่างนั้นมู่อี้หยางกับมู่หลิงจูที่มียาปลุกกำหนัดในร่างกาย คงมิใช่เพื่อเร้าอารมณ์ให้เต็มกำลังก่อนพากันขึ้น์หรอกหรือ!?”
คำพูดที่เ็าและเย่อหยิ่งของมู่อวิ๋นจิ่นทำให้ทุกคนในห้องสอบสวนใอีกครั้ง
หลังจากได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่นแล้วฉู่ลี่ก็เลิกคิ้วขึ้น ดวงตาที่เ็าและไม่แยแสของฉู่ลี่พลันวาบประกายก่อนจะมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
ฉินไท่เฟยยังมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความชื่นชม จากนั้นนางก็พูดว่า “ใช่ เว้นแต่เ้าจะแสดงหลักฐานว่าจิ่นเอ๋อร์วางยานาง มันก็เป็การยากที่จะโน้มน้าวให้ทุกคนเชื่อตามการคาดเดา”
“อย่างไรก็ตามข้าได้ยินมาว่า เมื่อสองวันก่อนคุณชายรองสกุลมู่มาที่จวนอัครเสนาบดีมู่และบอกว่าตนเองมีความสัมพันธ์กับคุณหนูสาม ในวันเดียวกันนางน่าจะถูกแม่นมชราพาไปตรวจร่างกาย แต่คุณชายใหญ่กลับมาอย่างกะทันหัน จึงได้ล้มเลิกเื่ตรวจร่างกายดังกล่าวไป ดังนั้นจึงเป็ไปได้จริง ๆ ว่าคุณหนูสามจะเป็คนฆ่าคุณชายรอง อย่างน่าสงสัย” องค์หญิงห้านามว่าฉู่ชิงเฉียงเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
“องค์หญิงของข้ายังได้ยินว่าคุณหนูสามกับคุณชายรองมีความแค้นเคืองกันมานานแล้ว ไม่นานมานี้ทั้งสองถึงขั้นทุบตีกัน และคุณชายรองก็ได้รับาเ็จนพิการ ท่านเสนาบดีมู่รู้เื่นี้ด้วยหรือไม่?”
มาถึงคราวที่อัครเสนาบดีมู่ถูกเรียกชื่อ สีหน้าของเขากลับบูดเบี้ยวจนดูไม่ได้ ถึงแม้บุตรชายของเขาจะดูมิได้เื่ได้การ แต่อย่างน้อยก็เป็เืเนื้อเชื้อไขของเขา บัดนี้การตายยังมิทราบสาเหตุ จิตใจคงยากที่จะรับมือกับการจากไปอย่างกะทันหันของมู่อี้หยาง
หัวหอกของเื่นี้ก็มุ่งตรงไปที่มู่อวิ๋นจิ่นอีกครั้ง ซึ่งทำให้เขานึกถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของมู่อวิ๋นจิ่นเมื่อเร็ว ๆ นี้ และแอบรู้สึกกลัวเล็กน้อย
“เป็จริงหรือท่านอัครเสนาบดีมู่มู่เซียง ?” เจิ้งไทเฮาถามเสียงดัง
หลังจากนั้นครู่หนึ่งอัครเสนาบดีมู่มีสีหน้าเศร้าหมอง และพยักหน้า “มันเป็เื่จริง”
หลังจากหยุดชั่วครู่ เจิ้งไทเฮาก็กล่าวต่อ “เนื่องจากนักชันสูตรศพรายงานเช่นนี้ คุณชายรองสกุลมู่ถูกรัดคอจนเสียชีวิตใน่ยามซื่อเกิงเทียน ถ้าอย่างนั้นคุณหนูสามสกุลมู่ เ้ามีหลักฐานใดที่พิสูจน์ว่าก่อนยามซื่อเกิงเทียนนั้น เ้าอยู่ที่เรือนของตนตลอดเวลา?”
มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วอย่างเ็า “ไม่มีเพคะ”
“เนื่องจากเ้าไม่มีหลักฐาน เ้าคือผู้ต้องสงสัยที่สุดในคดีนี้ จากข้อบ่งชี้ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการตายของคุณชายรองสกุลมู่คือเ้า” เจิ้งไทเฮาพูดเย้ยหยัน
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย และรอยยิ้มค่อย ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นมองเจิ้งไทเฮา จากนั้นมองไปที่เฉินพู่ “หากพูดถึงการพิจารณาคดี ท่านใต้เท้าเฉินดูเหมือนจะมีความเก่งกาจมากกว่านะเพคะ”
มู่อวิ๋นจิ่นแสดงท่าทีปฏิเสธคำพูดของเจิ้งไทเฮา
เฉินพู่ที่นั่งอยู่ตรงกลางตอนนี้รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ด้วยเขารู้สึกว่าไม่เคยมีคดีไหนยากเท่านี้มาก่อน
ทั้งสองฝ่ายนั้นเขามิอาจล่วงเกินได้ แต่หากบอกถึงความน่าสงสัยนั้น คุณหนูสามสกุลมู่มีความน่าสงสัยมากที่สุด ทว่าไม่มีหลักฐานที่ยืนยันมัดตัวได้ จึงเป็เื่ที่ยากลำบากยิ่ง
เมื่อเื่ราวดำเนินมาจนถึง่ที่ทุกฝ่ายสงบนิ่ง หมดเื่จะพูดต่อแล้ว ทางด้านฉู่ลี่ที่นิ่งสงบมาโดยตลอดกลับเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเ็า “มู่อวิ๋นจิ่นกำลังจะแต่งเข้าจวนข้าแล้ว พวกเ้ายังไม่มีหลักฐานแต่กลับคาดเดามัดตัวนางไปต่างๆ นานา สงสัยไม่มีใครเห็นหัวข้าแล้วกระมัง?”
—------------------
[1] ยามซื่อเกิงเทียน ่เวลาประมาณ 01:00 – 03:00
