บทที่4 มิตรสหายของหยวนลู่
ยามเย็นอันเงียบสงบในบ้านตระกูลจ้าวเริ่มถูกแทนที่ด้วยแสงจันทร์สีเงินยวงที่ค่อยๆ ทอแสงลอดหมู่ไม้สูง ลมเอื่อยๆ พัดเฉียดขอบชายคาไม้เก่าแก่ส่งเสียงสวบสาบคล้ายบรรเลงเพลงขับกล่อมก่อนค่ำ บรรยากาศทั้งหมดดูเหมือนจะผ่อนคลายแต่ภายในกลับแฝงความตื่นเต้นบางอย่างที่กำลังจะปรากฏ
ตึง ตึง ตึง!
เสียงเคาะประตูดังสนั่นจากทางหน้าลานบ้าน ทำให้อาหลง พ่อบ้านวัยกลางคนที่กำลังตรวจเช็กจำนวนวัตถุดิบสมุนไพรสำหรับหมักสุรา ต้องชะงักมือพลิกสมุดบัญชีในทันที เขาวางพู่กันลงแล้วรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ประตูไม้ขนาดใหญ่
“มาแล้วขอรับ!”
อาหลงะโตอบกลับ แรงเคาะประตูรอบสองหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงเขา
บานประตูถูกเลื่อนเปิดออกอย่างรวดเร็ว จนเกิดเสียงดัง ครืด เผยให้เห็นชายสองคนยืนเคียงข้างกัน พื้นหลังเป็ท้องฟ้ายามโพล้เพล้ที่เริ่มกลืนหายเป็สีน้ำเงินเข้ม แสงเทียนบนโต๊ะสั่นไหวเล็กน้อยตามแรงลมที่พัดผ่านเข้ามา บทสนทนาเื่การแข่งขันสุราจบลงด้วยความมุ่งมั่นของทั้งสามคน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความกังวลถึงอำนาจของตระกูลหลี่ที่มองไม่เห็น องค์ชายสามยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวราวกับ้าระบายความอัดอั้น
“รสชาติของ ‘เหม่าไถพันลี้’ ยังคงหนักแน่นและทรงพลังไม่เปลี่ยน” องค์ชายสามเอ่ยขึ้น “เป็สุราสำหรับชายชาตินักรบโดยแท้ แต่ข้ากังวลว่าเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ในวังหลวงที่ลิ้นอ่อนไหว อาจจะไม่ชื่นชอบความดิบเถื่อนเช่นนี้”
จ้าวลู่ซื่อพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “ข้าก็คิดเช่นนั้นเพคะ สุราของเราทรงพลัง แต่ขาดความละเมียดละไมที่ใช้มัดใจกรรมการในวัง”
นั่นคือปัญหาที่นางครุ่นคิดมาตลอดหลายวัน จะทำอย่างไรให้สุราที่สืบทอดจากบรรพบุรุษยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้ แต่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับรสนิยมของตลาดที่เปลี่ยนไปได้
ขณะที่ความเงียบเข้าครอบงำ ิซัวหลงที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่มุมห้อง หลังจากถูกจ้าวลู่ซื่อขอให้อยู่รอเผื่อมีเื่ให้ช่วย ก็ตัดสินใจเอ่ยปากขึ้นเป็ครั้งแรก เสียงของเขาทุ้มต่ำและมั่นคงจนทุกคนต้องหันไปมอง
“ถ้าปัญหาคือความหนักแน่นเกินไป... เหตุใดเราไม่ลอง ‘ผสาน’ มันกับสิ่งอื่นเล่า”
ทุกคนในห้องนิ่งไปกับคำพูดที่แปลกใหม่ องค์ชายสามเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ “ผสานรึ? หมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าหมายถึง เราไม่จำเป็ต้องเปลี่ยนสูตรดั้งเดิมของสุรา” ิซัวหลงอธิบายช้าๆ พลางก้าวเดินออกมาจากเงามืด “แต่เราสามารถเพิ่มมิติของรสชาติและกลิ่นหอมเข้าไปในขั้นตอนการดื่มได้”
ขันทีหยงเล่อมองเขาอย่างพิจารณา “เป็ความคิดที่น่าสนใจ แต่ก็เสี่ยงที่จะทำลายรสชาติดั้งเดิมของเหม่าไถพันลี้มิใช่หรือ”
“ไม่เลย” ิซัวหลงส่ายหน้า “หากเราเลือกสิ่งที่เข้ากันได้อย่างถูกต้อง มันจะช่วยส่งเสริมรสชาติเดิมให้โดดเด่นและซับซ้อนยิ่งขึ้น เหมือนการจัดทัพที่แม่ทัพหลักยังคงเก่งกาจ แต่มีกองหนุนที่ช่วยเสริมให้กองทัพไร้เทียมทาน”
คำเปรียบเทียบของเขาทำให้องค์ชายสามผู้คุ้นเคยกับเื่การทหารหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “ฮ่าๆ! เปรียบเปรยได้ดี! เหมือนที่เ้าเคยช่วยข้าวางกลศึกในสนามรบไม่มีผิด! แล้วเ้าคิดจะใช้กองหนุนอะไรมาเสริมทัพสุราของตระกูลจ้าวเล่า สหายข้า?”
ิซัวหลงชะงักไปเล็กน้อยกับคำว่า "สหาย" แต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็ปกติแล้วหันไปสบตากับจ้าวลู่ซื่อโดยตรง “ในสวนของที่นี่... ข้าเห็นต้นดอกหอมหมื่นลี้ (Osmanthus) อยู่ใช่หรือไม่”
จ้าวลู่ซื่อนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ใช่... เป็ต้นไม้ที่ท่านพ่อของข้าชอบมาก”
“ดอกหอมหมื่นลี้มีกลิ่นหอมหวานและสดชื่น หากเรานำมาสกัดด้วยความเย็น แล้วนำไอหอมของมันมารมตัวจอกสุราก่อนรินเพียงเล็กน้อย หรือนำน้ำหวานจากเกสรมาผสมกับน้ำแข็งแล้วหยดลงไปเพียงหยดเดียว ความหอมหวานนั้นจะไม่กลบรสชาติหลัก แต่จะช่วยลดความกระด้างของสุราลง ทำให้เกิดรสััที่นุ่มนวลขึ้นในตอนปลาย”
หลักการ “Infusion” และ “On the Rocks” จากโลกอนาคตถูกอธิบายออกมาด้วยภาษาที่คนในยุคนี้พอจะเข้าใจได้ ทุกคนในห้องต่างนิ่งอึ้งไปกับแิที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
จ้าวลู่ซือคือคนที่ตกตะลึงที่สุด นางมองชายตรงหน้าด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่ “หยวนลู่” คนเดิมที่นางเคยรู้จัก หยวนลู่เป็ทหารที่เก่งกาจ แต่ไม่เคยมีความคิดที่ลึกซึ้งและซับซ้อนในเื่สุราเช่นนี้มาก่อนเลย
“ท่านพูดเหมือนง่ายดาย...” นางเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบ “เช่นนั้น... ท่านลองทำให้ข้าดูได้หรือไม่?”
นั่นคือคำท้าทายที่ิซัวหลงรอคอย
หลังจากนั้นไม่นาน ลานกว้างกลางบ้านก็ถูกเปลี่ยนเป็ห้องทดลองชั่วคราว ิซัวหลงสั่งให้อาหลงไปเก็บดอกหอมหมื่นลี้และขอน้ำแข็งก้อนใหญ่มา เขาลงมือสกัดความหอมด้วยความเย็นอย่างคล่องแคล่วราวกับทำมานับครั้งไม่ถ้วน
องค์ชายสามนั่งมองตาไม่กะพริบ พลางกระทุ้งศอกใส่ขันทีหยงเล่อเบาๆ “หยงเล่อ เ้าดูสิ ท่าทางของสหายข้าเปลี่ยนไปมาก ดูสุขุมและเชี่ยวชาญขึ้นเยอะเลยนะ”
ขันทีหยงเล่อพยักหน้ารับ “นั่นสิพะยะค่ะ อาจเป็เพราะประสบการณ์จากการเดินทาง.ในสนามรบก็เป็ได้”
เมื่อการเตรียมการเสร็จสิ้น ิซัวหลงยื่นจอกสุราที่ผ่านการ "ผสาน" แล้วให้แก่ทุกคน
องค์ชายสามรับจอกมาดมเป็คนแรก ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “กลิ่นหอมหวานนี่... มันไม่ได้กลบกลิ่นหอมเข้มของสุราเลย แต่กลับทำให้กลิ่นโดยรวมนุ่มนวลขึ้น”
เขาจิบเข้าไป... แล้วนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะลุกพรวดขึ้นยืนแล้วอุทานเสียงดังลั่น!
“ยอดเยี่ยม! นี่มันยอดเยี่ยมที่สุด! รสชาติของเหม่าไถยังอยู่ครบ แต่ความบาดคอในตอนท้ายมันหายไป ถูกแทนที่ด้วยความหอมหวานจางๆ ที่ปลายลิ้น! หยวนลู่! นี่เ้ากลายเป็เทพสุราไปั้แ่เมื่อไหร่กัน! ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” องค์ชายสามหัวเราะอย่างเบิกบานใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เขาเดินเข้ามาตบไหล่ิซัวหลงป้าบๆ อย่างสนิทสนม
ขันทีหยงเล่อลองชิมบ้างแล้วพยักหน้าเห็นด้วยอย่างช้าๆ “น่าทึ่งมากขอรับ... สุราแก้วนี้ให้ความรู้สึกที่สูงศักดิ์ขึ้นอย่างประหลาด มันไม่ใช่แค่สุราของนักรบอีกต่อไป แต่เป็สุราที่คู่ควรกับราชสำนัก”
จ้าวลู่ซือมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้น นางค่อยๆ ยกจอกสุราของตัวเองขึ้นจิบช้าๆ วินาทีที่ของเหลวััลิ้น นางรู้สึกได้ทันทีถึงความแตกต่าง มันคือสุราของตระกูลนางที่คุ้นเคย แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มีมิติใหม่ที่นางไม่เคยได้ััมาก่อน
นางเงยหน้าขึ้นมองิซัวหลง... ชายผู้มีใบหน้าของคนรักเก่า แต่กลับมีความคิดและความสามารถที่นางไม่เคยพบเจอ เขามองตอบกลับมาด้วยสายตาที่มั่นคงและเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“พี่หยวนลู่... สหายข้า” องค์ชายสามกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ด้วยสุราแก้วนี้ ข้าว่าตระกูลจ้าวมีหวังชนะการแข่งขันแล้ว! พวกเราต้องเอาชนะเ้าพวกตระกูลหลี่ให้ได้!”
ขันทีหยงเล่อเสริม “แต่ก็ต้องระวังตัวมากขึ้นเป็สองเท่าพะยะค่ะ เมื่อพวกมันเห็นว่าเรามีไพ่เด็ด ย่อมต้องหาวิธีสกปรกมาเล่นงานเราอย่างแน่นอน”
ความเงียบเข้าปกคลุมลานกว้างชั่วขณะ ทุกสายตาจับจ้องไปที่ิซัวหลงราวกับเขาเป็ผู้วิเศษที่เสกของวิเศษขึ้นมาได้จากความว่างเปล่า จ้าวลู่ซือยังคงยืนนิ่ง จอกสุราในมือของนางพร่องไปเพียงเล็กน้อย แต่รสชาติที่ยังคงอวลอยู่ในโพรงปากนั้น ทำให้นางรู้สึกราวกับได้ค้นพบโลกใบใหม่ของสุราที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อน
องค์ชายสามเป็ผู้ทำลายความเงียบด้วยเสียงหัวเราะอันดังลั่น เขาวางจอกลงบนโต๊ะแล้วตบเข่าฉาดใหญ่ด้วยความถูกใจ
“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมจริงๆ!” พระองค์ตรัสพลางชี้มาที่ิซัวหลง “พี่หยวนลู่! เ้าไปได้ความคิดพิสดารเช่นนี้มาจากที่ใดกัน? หายหน้าไปสองปี กลับมาพร้อมกับวิชาที่ทำให้สุราธรรมดากลายเป็ของวิเศษได้เชียวรึ!”
ิซัวหลงโค้งคำนับเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ ก่อนจะตอบอย่างสุขุม “ข้าเพียงสังเกตเห็นว่าผู้คนต่างมีรสนิยมที่แตกต่างกันพะยะค่ะ...เอ่อ...ขอรับ บางคนชอบความหนักแน่น บางคนชอบความอ่อนโยน ข้าเพียงคิดว่าหากเราสามารถนำสิ่งที่ดีที่สุดของแต่ละอย่างมารวมกันได้ ก็น่าจะสร้างสิ่งที่ถูกใจคนส่วนใหญ่ได้”
“เป็ปรัชญาที่ลึกซึ้งนัก” ขันทีหยงเล่อกล่าวเสริมขึ้นบ้าง สายตาของเขามองิซัวหลงอย่างพิจารณา “ท่านไม่ได้เพียงแค่ผสมสุรา แต่ท่านกำลังอ่านใจผู้ดื่ม... นี่คือหัวใจสำคัญของการค้าที่โรงสุราใหญ่ๆ หลายแห่งมองข้ามไป”
จ้าวลู่ซือฟังบทสนทนานั้นพลางมองชายตรงหน้า ในที่สุดนางก็เอ่ยปากถามในสิ่งที่นางสงสัยที่สุด “แต่นี่...มันไม่ใช่การทำลายสูตรดั้งเดิมของบรรพบุรุษหรอกหรือ”
คำถามของนางเต็มไปด้วยความเคารพในมรดกของตระกูล ิซัวหลงเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เขาจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
“คุณหนูจ้าว... แก่นแท้ของ ‘เหม่าไถพันลี้’ ยังคงอยู่ครบถ้วน เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงมันเลยแม้แต่น้อย แต่เรากำลังสร้าง ‘ประสบการณ์’ ใหม่ในการดื่ม เปรียบดั่งบทกวีชั้นเลิศ แม้ถ้อยคำจะดีเพียงใด แต่หากได้นักขับขานที่มีน้ำเสียงไพเราะมาขับกล่อม คุณค่าของบทกวีนั้นก็จะยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก... ดอกหอมหมื่นลี้ก็เป็เช่นนักขับขานนั้น”
คำอธิบายของเขาทำให้จ้าวลู่ซือเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ นางมองลึกลงไปในจอกของตนเองแล้วพยักหน้าช้าๆ “ข้าเข้าใจแล้ว... ท่านมองสุราไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็งานศิลปะชิ้นหนึ่ง”
“ถูกต้อง! และงานศิลปะชิ้นนี้ จะต้องมีชื่อที่คู่ควร!” องค์ชายสามกล่าวอย่างกระตือรือร้น “เหม่าไถพันลี้แบบเดิมนั้นทรงพลัง แต่เมื่อผสานกับความอ่อนหวานของดอกไม้ภายใต้แสงจันทร์เช่นนี้... มันให้ความรู้สึกที่ทั้งหอมหวานและเดียวดายปะปนกัน... ข้าจะเรียกมันว่า ‘เหม่าไถพันลี้... รำพันจันทรา’!”
“เหม่าไถพันลี้รำพันจันทรา...” จ้าวลู่ซื่อทวนชื่อนั้นเบาๆ ดวงตาของนางเป็ประกายอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน “เป็ชื่อที่ไพเราะยิ่งนักเพคะ”
“ยอดเยี่ยมพะยะค่ะ!” ขันทีหยงเล่อชูจอกขึ้น “ชื่อนี้จะทำให้สุราของเราดูแตกต่างและสูงส่งกว่าสุราของตระกูลหลี่ที่เอาแต่เน้นความแรงและราคาถูกอย่างแน่นอน! นี่คือกลยุทธ์สำคัญในการแข่งขัน!”
บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวังและความฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง แต่ขันทีหยงเล่อผู้สุขุมรอบคอบก็ไม่ลืมที่จะเตือนสติ “แต่เราต้องระวังให้มาก วิธีการสกัดเย็นและผสมผสานเช่นนี้จะต้องถูกเก็บเป็ความลับสุดยอด หากตระกูลหลี่รู้ทัน พวกมันอาจชิงตัดหน้าหรือกล่าวหาว่าเราใช้วิธีนอกรีตก็เป็ได้”
“เ้าพูดถูกหยงเล่อ” องค์ชายสามพยักหน้าเห็นด้วย สีหน้ากลับมาจริงจังอีกครั้ง “จ้าวลู่ซื่อ เ้าจะต้องคัดเลือกเฉพาะคนที่ไว้ใจที่สุดมาฝึกฝนวิธีการนี้ และนับจากวันนี้ไป โรงกลั่นของเ้าอาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป”
จ้าวลู่ซื่อรับคำอย่างหนักแน่น “ข้าทราบดีเพคะองค์ชาย ข้าจะระวังตัวให้มากที่สุด”
หลังจากหารือกันอีกครู่ใหญ่ องค์ชายสามและขันทีหยงเล่อก็ขอตัวกลับวังหลวงไป ทิ้งให้ลานกว้างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง เหลือเพียงจ้าวลู่ซือและิซัวหลงยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์
จ้าวลู่ซือหันมาเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง ความรู้สึกในใจของนางตอนนี้ซับซ้อนเกินกว่าจะบรรยายได้ ชายผู้นี้ไม่ใช่หยวนลู่ที่นางรัก แต่เขากลับเป็คนที่จุดประกายความหวังครั้งใหม่ให้กับตระกูลของนางได้อย่างน่าอัศจรรย์
นางสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะกล่าวออกมาจากใจจริง น้ำเสียงของนางนุ่มนวลและจริงใจอย่างที่สุด
“ขอบคุณท่าน... ”
"ข้าคือิซัวหลง"
"ท่านิซัวหลง"
วินาทีนั้น นางเรียกชื่อจริงของเขาออกมาโดยไม่รู้ตัว... ชื่อของชายแปลกหน้าที่นางควรจะระแวง แต่กลับรู้สึกเชื่อใจอย่างประหลาด
ิซัวหลงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองหลุดออกมาจากปากของเธอ มันเป็ครั้งแรกที่เธอเรียกเขาด้วยชื่อนั้น ไม่ใช่ในฐานะเงาของใครคนอื่น หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“ข้า...” เขาอึกอัก ไม่รู้จะตอบอย่างไร
จ้าวลู่ซือเองก็เพิ่งรู้สึกตัวว่านางเผลอเรียกชื่อผิดไป นางรีบปรับสีหน้า แต่ก็ไม่สามารถซ่อนรอยแดงจางๆ ที่แก้มได้ “ข้าหมายถึง... ขอบคุณท่าน... พี่หยวนลู่ สำหรับทุกสิ่งในวันนี้”
แม้จะรีบแก้ไข แต่คำเรียกหาแรกนั้นก็ได้ถูกกล่าวออกไปแล้ว มันได้สร้างสายใยบางๆ ที่มองไม่เห็นขึ้นระหว่างคนทั้งสอง... สายใยที่ไม่ได้ผูกติดอยู่กับชื่อของ "หยวนลู่" แต่เป็สายใยที่เชื่อมตรงไปยังตัวตนของ "ิซัวหลง" แต่เพียงผู้เดียว.!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้