ซินหรูกลั้นลมหายใจของตนเอาไว้ นางมองร่างของหมัวมัวที่นอนอยู่บนพื้นแน่นิ่งด้วยดวงตาเบิกกว้างจวบจนรู้สึกตัวว่ากำลังจะขาดอากาศหายใจจึงหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ภายในเรือนหลังเล็กอันมืดมิดนี้ได้ยินเพียงเสียงหายใจของซินหรูที่ดังชัดเจน
ซินหรูหายใจเข้าระรัว จากนั้นน้ำตาหยดใหญ่ๆ ไหลพรากลงมา
หลินชิงเวยเก็บเข็มเงินของตนคืนมา ร่างกายของหมัวมัวมองไม่เห็นแม้แต่าแไม่พบแม้แต่น้อยนี่เป็เหตุผลที่นางไม่ใช้แส้ และไม่ให้ชิงหลันกัดนาง
เสื้อผ้าของหลินชิงเวยถูกโลหิตที่ไหลลงมาจากลำคอย้อมจนกลายเป็สีแดงฉานนางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เอียงหน้ามามองซินหรูที่เงียบงันราวกับเป็นายพรานที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการสังหารเหยื่อในมือร่างของนางยังเต็มไปด้วยเืของเหยื่อทว่าเืบนร่างของนางมิใช่เืของเหยื่อ กลับเป็เืของนางเอง
ซินหรูหายใจเข้าอีกเฮือกหนึ่ง พยายามที่จะขดกายเข้าหามุมกำแพงชัดเจนยิ่งนั่งว่านางกำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างที่สุดราวกับสายตาของหลินชิงเวยยังคงแข็งค้างและเยียบเย็น มันเต็มไปด้วยความมืดหม่นส่งผลให้ซินหรูตื่นตระหนกหลินชิงเวยได้สติ สายตาจึงแปรเปลี่ยนเป็อ่อนโยนลง นางมองซินหรูพร้อมกล่าวว่า“เ้ากลัวแล้ว?”
ซินหรูกัดริมฝีปาก เอ่ยขึ้นตะกุกตะกัก “นาง...นาง นาง...”
หลินชิงเวยกล่าว “นางตายแล้ว”
เป็ไปได้อย่างไร นาทีก่อนหน้านี้ยังมีชีวิตอยู่ นาทีนี้นางตายแล้วนอนสงบนิ่งอยู่บนพื้น มือของซินหรูสั่นสะท้านนางพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะควบคุมความหวาดกลัวที่มีต่อหลินซินหรู ปากเล็กๆนั้นกัดปลายนิ้วของตนไม่ยอมปล่อย กล่าวเสียงอู้อี้ว่า “ท่านฆ่านางแล้ว...”
หลินชิงเวยกล่าว “ข้าไม่ฆ่านาง นางก็จะฆ่าเ้า จากนั้นจึงฆ่าข้า”
“แต่...แต่...”
“ก่อนหน้านี้เ้าไม่เคยเห็นคนตายหรือ เมื่ออยู่ในตำหนักเย็น”หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นราวกับเป็เื่ธรรมดาสามัญ “สตรีสติฟั่นเฟือนกลุ่มนั้นในตำหนักในพวกนางล้อมคนอ่อนแอเล็กๆ คนหนึ่งเพื่อทุบตีนั่นเป็เื่ที่เกิดขึ้นเป็ปกติธรรมดากระมัง เ้าต้องเคยเห็นมาก่อนเป็แน่แต่ข้างนอกนี้ไม่เหมือนกัน สตรีที่อยู่ข้างนอกล้วนเป็สตรีที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนและเฉลียวฉลาดพวกนางจะไม่ล้อมวงกันเพื่อทุบตีผู้อื่นอย่างคลุ้มคลั่ง แต่จะค่อยๆๆ ใช้วิธีการทรมานให้ผู้อื่นต้องมีชีวิตอยู่อย่างอยู่มิสู้ตายเ้าว่าแบบไหนน่ากลัวกว่ากัน? คืนนี้หากนางไม่ตาย รอกระทั่งถึงพรุ่งนี้เช้าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้วย่อมต้องมีศพสองศพถูกหามออกไปจากห้องนี้ ถูกทิ้งไว้มุมใดมุมหนึ่งที่ไม่มีใครรู้หรืออาจจะถูกนำไปเลี้ยงสุนัขจรจัด กลายเป็ศพที่ตายอย่างไร้ที่ฝัง”
ซินหรูที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวนั้น ได้ยินคำพูดสุดท้ายของหลินชิงเวยร่างกายค่อยๆ ผ่อนคลายจากความตึงเครียดและสงบลงในที่สุด
หลินชิงเวยยกชายกระโปรงแล้วลุกขึ้นเดินมาหยุดข้างกายซินหรูแล้วนั่งลงซินหรูค่อยๆ เอียงศีรษะลงมาซุกอยู่ในอ้อมกอดของหลินชิงเวย
ร่างของคนทั้งสองเต็มไปด้วยร่องรอยของหยดเืต่างพึ่งพิงกันเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่กัน
ค่ำคืนใน่ต้นวสันตฤดูช่างหนาวเหน็บเสียจริงๆ
ซินหรูเบิกตากว้างทั้งคืน นางไม่กล้าหลับตาลงยิ่งไม่กล้าหลับนางกลัวว่าจะมองเห็นศพที่นอนอยู่บนพื้น แต่ก็มิอาจบังคับตนเองไม่ให้กลอกตาเหลือบไปดูได้นางกลัวว่าศพนั้นจะตื่นขึ้นมาไม่ได้ ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวว่าศพร่างนั้นจะพลันตื่นขึ้นมา
กระทั่งฟ้าสาง ศพของหมัวมัวผู้นั้นจึงแข็งไปทั้งร่างผิวของนางเปลี่ยนเป็สีขาวราวกับหิมะ ขาวจนกลายเป็สีเขียวคล้ำ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากภายนอกฟังดูรีบเร่งอยู่บ้าง เมื่อเสียงฝีเท้านั้นมาถึงหน้าประตูเรือนหลังเล็กอันมืดมิดพบว่าประตูถูกขัดเอาไว้ จึงเกิดเสียงดังขึ้นท่ามกลางความประหลาดใจทว่าคนข้างนอกออกแรงผลักอย่างไรก็มิอาจเปิดประตูเรือนหลังเล็กนี้ได้
ต่อมาตำหนักคุนเหอได้ตามตัวองครักษ์มา องครักษ์ใช้เท้าถีบประตูนี้อยู่หลายครั้งหลายคราจึงทลายประตูของเรือนหลังเล็กลงได้หมัวมัวนางหนึ่งก้าวเข้ามาก่อนจึงพบว่าประตูถูกขัดให้ปิดตายจากด้านใน
ที่แท้เมื่อคืนนี้เซียวจิ่นฟื้นขึ้น เมื่อได้รู้จากเซียวเยี่ยนว่าผู้ที่รักษาอาการเขาก็คือนางสนมผู้ถูกทอดทิ้งหลินชิงเวย ไทเฮามีทีท่าตื่นตะลึงต่อเื่นี้เป็อย่างมาก
เพื่อให้นางได้ถวายการรักษาให้กับฮ่องเต้ต่อไปจึงจำเป็ต้องไว้ชีวิตหลินชิงเวยเดิมทีไทเฮาคิดจะขังนางสักคืนหนึ่ง เพื่อเป็การให้บทเรียนแก่นางรอวันรุ่งขึ้นค่อยปล่อยตัวนางออกมา
สำหรับเื่ที่จะอยู่หรือตายนั้นล้วนเป็เื่ของชะตาฟ้าลิขิต
หมัวมัวผู้ที่มารับคนเพียงเหลือบตาดูเห็นหลินชิงเวยและซินหรูนั่งอยู่ในมุมๆ หนึ่งไม่เคลื่อนไหวราวกับเป็หุ่นขี้ผึ้งอย่างไรอย่างนั้น แสงอุษาแสงแรกของวสันตฤดูที่ส่องลอดเข้ามาจากภายนอกตกลงบนใบหน้าของหลินชิงเวยใบหน้านั้นขาวสะอาดไร้ตำหนิทว่ากลับดูเ็าผิดธรรมดาภายใต้แสงอาทิตย์ที่สะท้อนกลับมาดวงตาทั้งคู่ของนางวับวาวราวกับกระจกสีทอง
หมัวมัวยังไม่ทันได้เอ่ยวาจาสักประโยคแต่กลับหันไปเห็นร่างของคนที่นอนอยู่บนพื้นจากนั้นจึงส่งเสียงร้อง “อ๊า--” ออกมา
ดูเหมือนหมัวมัวท่านนี้น่าจะไม่ค่อยได้พบคนตายมาก่อนจึงได้มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนั้น นางตื่นตระหนกใอย่างรุนแรง ใบหน้าของนางไร้สีเืหลังจากนั้นไม่นานนักมีนางกำนัลจากตำหนักคุนเหอมาที่นี่ นำด้วยขันทีที่เข้ามาย่อกายลงเบื้องหน้าศพนั้นลำพังเพียงแค่ดูจากสีหน้าแล้วก็รู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้วทว่าเขายังคงยื่นนิ้วมือไปทดสอบลมหายใจของนาง
ขันทีผู้นั้นตกตื่นตะลึงจนนั่งแปะลงกับพื้น ร้องะโลั่นว่า“หรงหมัวมัวตายแล้ว!”
ข่าวนี้ถูกแพร่สะพัดไปถึงตำหนักคุนเหออย่างรวดเร็วทุกคนต่างรู้สึกเหลือเชื่อ
หรงหมัวมัวผู้นี้เป็สาวใช้คนสนิทที่ติดตามเข้าวังมาพร้อมกับไทเฮาเมื่อครั้งไทเฮาแต่งเข้าวังหลวงมานางมีความสำคัญประดุจแขนซ้ายแขนขวาของไทเฮาก็ว่าได้บัดนี้นางจากไปแล้วไทเฮาย่อมต้องเดือดดาลอย่างที่สุด
ทว่าบรรดาบ่าวไพร่ในวังหลวงเ่าั้กลับมีความคิดแตกต่างออกไป
อาจเป็เพราะเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่หรงหมัวมัวผู้นี้มักจะใช้อำนาจกดขี่คนในวังเผด็จการไร้เหตุผล ข้าหลวงในวังจำนวนไม่น้อยที่เคยได้รับความทุกข์ทรมานและเสียชีวิตจากน้ำมือของนาง
ร่างของหลินชิงเวยเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นที่ผุดออกมาผนวกกับรอยเืตามร่างกาย นางรู้สึกสับสนมึนงงมีคนเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับลากตัวนางและซินหรูออกไป
ภายในตำหนัก ไทเฮาประทับอยู่เบื้องบน ศพของหรงหมัวมัวที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวนอนอยู่กลางโถงของตำหนักหลินชิงเวยและซินหรูถูกลากตัวเข้าไปในตำหนักอย่างไม่เบามือ เมื่อหัวเข่ารู้สึกเจ็บอีกครั้งทั้งสองนางได้คุกเข่าลงกับพื้นแล้ว
ไทเฮาตบโต๊ะและกล่าวว่า “หลินซื่อ เ้าช่างกล้าหาญชาญชัยนักถึงกับกล้าสังหารหมัวมัวของเปิ่นกง!”
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้น จ้องมองไทเฮาตรงๆ“ไทเฮามีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าหม่อมฉันเป็ผู้สังหารหรงหมัวมัวเพคะ?”
ไทเฮาไม่แม้แต่จะไต่ถาม นางสั่งการทันที“คนชั้นต่ำเช่นนี้ยังกล้าปากแข็ง เด็กๆ โบยนางเดี๋ยวนี้เปิ่นกงอยากจะดูเหมือนกันว่า ความตายกำลังจะมาเยือนเ้าอยู่แล้วเ้ายังจะปากแข็งอีกหรือไม่!”
นางกำนัลนางหนึ่งก้าวขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยกดร่างของหลินชิงเวยและซินหรูลงบนพื้น าแที่เพิ่งจะแห้งและแข็งตัวอย่างไม่ง่ายดายจากเมื่อคืนต้องปริแตกอีกครั้งเืสดๆ ไหลออกมาจากาแเ่าั้ หลินชิงเวยถูกกดกระทั่งใบหน้าแนบไปกับพื้นอันเย็นเยียบทว่านางยังคงใช้สายตาแน่นิ่งไม่ไหวติงจับจ้องไปยังไทเฮา “เวลานี้ผู้ที่ได้รับาเ็ไปทั้งตัวคือพวกเราหรงหมัวมัวไม่มีาแแม้สักกระผีก ไทเฮาถือดีอย่างไรจึงตัดสินว่านางถูกหม่อมฉันสังหารเพคะ?!”
“โบย!”
“หรือที่แท้ไทเฮาเป็คนเช่นนี้เอง ไม่แยกแยะถูกผิดไม่ไต่สวนหาความจริงใช่หรือไม่เพคะ? !”
ไม้กระบองนั้นโบยลงมา แค่เพียงหนึ่งไม้ความเ็ปนั้นราวกับจะทำให้กระดูกสันหลังของหลินชิงเวยหักเป็สองท่อนนางเห็นซินหรูกัดริมฝีปากแน่น บนริมฝีปากของซินหรูปรากฏรอยเืที่เกิดจากรอยฟัน นางจึงไม่อาจคิดพิจารณาอะไรได้อีกความแค้นในวันนี้ถูกจดจำเอาไว้แล้ว หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นกล่าวเสียงแหบพร่าว่า “ไทเฮาเพคะ! คิดดูแล้วเมื่อคืนไทเฮาเสด็จไปเยี่ยมฝ่าามาและทรงทราบแล้วว่าหม่อมฉันเป็ผู้ถวายการรักษาพระอาการประชวรของฝ่าาเวลานี้พระอาการประชวรของฝ่าายังไม่ใคร่หายดี ฝ่าายัง้าความช่วยเหลือจากหม่อมฉันทว่าวันนี้ไม่รอให้ฝ่าาทรงตัดสินพระทัย ไทเฮากลับรีบร้อนจะปะาหม่อมฉัน ไทเฮามีเจตนาอันใดแอบแฝงกันแน่!”
คำพูดแต่ละคำที่เปล่งออกมานั้นชัดเจนเมื่อสิ้นเสียงส่งผลให้ทั้งห้องโถงเหลือเพียงความเงียบงัน