ั้แ่กลับมาเกิดใหม่ประสิทธิภาพการนอนของซูอินดีมาก ในแต่ละวันเธอไม่ฝันเลย หลับสนิทจนฟ้าสาง
สำหรับคนส่วนใหญ่ นี่คงเป็เื่ปกติมาก แต่ในชาติก่อน ร่างกายและจิตใจของซูอินพังทลาย หลายครั้งที่ยานอนหลับไม่ช่วยอะไร แม้แทบจะนอนไม่หลับ แต่หลายครั้งที่หลับก็ต้องพบกับฝันอันน่าสยดสยอง
์รับรู้ ว่าการได้นอนหลับอย่างสบายใจคือสิ่งที่เธอ้า
รุ่งเช้า เธอตื่นตรงตามเวลานาฬิกาชีวิต หลับสนิทตลอดคืนด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม อารมณ์ของเธอก็ดีด้วยเช่นกัน
เธอลุกจากเตียง ล้างหน้าแปรงฟัน มองตัวเองในกระจก ใบหน้าขาวมีสีแดงระเรื่อ บวกกับดวงตากลมโตเปล่งประกายที่แบ่งสีขาวดำอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็สบายตายิ่งนัก
ไม่รู้ว่าเธอเข้าใจผิดไปหรือเปล่า รู้สึกได้ว่าผิวของตัวเองดูดีขึ้นเรื่อยๆ
ผิวของเธอขาวผ่องเป็ธรรมชาติ แต่ตัวเธอในชาติก่อนผิวดูขาวซีดจากร่างกายที่ไม่แข็งแรง หลังจากที่เกิดใหม่ผิวของเธอค่อยๆ เปลี่ยนไป ในตอนแรกไม่ได้สังเกต แต่เมื่อผ่านไปเกือบสิบวัน ส่องกระจกดูอีกครั้งก็พบว่าไม่รู้ั้แ่เมื่อไรที่หน้าตาแห่งความพ่ายแพ้ได้หายไปจนหมดสิ้น ความขาวผ่องสุขภาพดีปรากฏขึ้น
ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งสวยจริงๆ
ส่องกระจก ซูอินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ อารมณ์ความรู้สึกของเธอดีขึ้นอีกระดับ
เธออ่านหนังสือตอนเช้าตรู่จนติดเป็นิสัย เมื่อถึงเวลาจึงออกมารับประทานอาหาร สายตาคมกริบดั่งใบมีดที่มองมาของสองแม่ลูกไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ที่ดีของเธอเลย
“อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนหลับสบายดีไหมคะ”
เธอเผยยิ้มกว้างโชว์ฟันแปดซี่ด้วยรอยยิ้มที่สดใส
มองข้ามความหมองคล้ำรอบดวงตาของสองแม่ลูกที่เห็นได้แต่ไกลนั้นไป คำทักทายนั้นช่างไร้ที่ติจริงๆ
อู๋อู๋และหลิงเมิ่งพอจะมองเห็นท่าทีมุ่งร้ายของกันและกัน
โดยเฉพาะหลิงเมิ่ง ซึ่งเห็นใบหน้าขาวแต้มสีแดงระเรื่อ ใบหน้าที่สดใสมีเสน่ห์ของซูอิน แล้วคิดถึงใบหน้าที่ส่องกระจกเมื่อครู่ของตนเองที่ผิวเหลืองขอบตาคล้ำ เธอก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
ทว่าในเวลาต่อมา เธอก็เปลี่ยนความคิด
หากสลับกัน เป็ซูอินที่ต้องไปอาศัยในชนบท ผิวต้องตากลมตากแดดทุกวัน ผิวต้องแย่กว่าเธอ
คิดได้เช่นนั้น แต่หลิงเมิ่งลืมไปว่าแม่บุญธรรมของเธอ เมิ่งเถียนเฟินที่หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินทำไร่ทำสวนอยู่ในหมู่บ้านตงผิงด้วยความตรากตรำมาตลอด ใบหน้านั้นตากแดดเท่าไรก็ไม่ดำคล้ำ
เมื่อรอยยิ้มอันสดใสของอีกฝ่ายปรากฏ หลิงเมิ่งก็รู้สึกอิจฉามาก
แต่สิ่งที่เธอสนใจกลับเป็อีกเื่หนึ่ง
“อุ๊ย!”
หลิงเมิ่งส่งเสียงร้อง ตีหัวตัวเองเหมือนเพิ่งนึกได้กะทันหัน
ตอนที่เธอหันไปมองซูอินอีกครั้ง สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “พี่คะ ฉันขอโทษ ฉันเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อคืนลืมเปิดประตูให้พี่”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ แต่เพราะเมื่อคืนฉันง่วงเหลือเกิน ปวดท้องมาก ออกมาจากห้องน้ำก็หลับไปเลย พี่…คงไม่ได้นั่งรออยู่ข้างนอกทั้งคืนใช่ไหม”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเธอมีนัยแฝงอยู่
หลังจากที่ซูอินทักทาย “อรุณสวัสดิ์” ตามมารยาท เธอก็หยิบหั่วเซา[1]ขึ้นมากิน
ปากของเธอไม่ใหญ่ ริมฝีปากสีชมพูดูมีสุขภาพดีค่อยๆ กัดคำเล็กๆ ทีละคำ ท่าทีดูผู้ดีมาก แต่ความเร็วในการกินถือว่าไม่ช้า ความรวดเร็วนั้นทำให้หั่วเซาครึ่งชิ้นลงท้องไปอย่างง่ายดาย
กินโจ๊กถั่วเขียวเพื่อขับไล่ความร้อน ก่อนที่เธอจะค่อยๆ หันไปมอง
“ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน”
“อะไรกัน” ด้วยความตะลึง หลิงเมิ่งพลันเบิกตากว้าง
“เธอดูผิดหวังนะ”
ซูอินกัดหั่วเซาไส้เนื้อวัวย่างอีกหนึ่งคำก่อนจะพยักหน้า รสมือของป้าสวี่ยิ่งนานวันก็ยิ่งอร่อย
เธอหันไปมองหน้าประตู กล่าวชื่นชมโดยไม่ลังเล “ป้าสวี่ หั่วเซาหอมมากเลยค่ะ ฝีมือป้าอร่อยขึ้นมากๆ เลยค่ะ”
ป้าสวี่ไม่ได้สังเกตบรรยากาศรอบๆ เธอแค่ดีใจที่ได้ยินคำชม “พวกคุณชอบก็ดีแล้วค่ะ”
ในขณะนั้น หลิงเมิ่งจับตาดูซูอินอย่างละเอียด ใบหน้าของอีกฝ่ายสีขาวอมชมพู ดูเต็มไปด้วยพลัง ไม่เหมือนคนที่ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่เลยสักนิด
“เธอเข้ามาได้ยังไงกันแน่”
เธอหันไปมองอู๋อู๋ อีกฝ่ายส่ายหน้า
“เมื่อวานหลังจากที่ฉันเข้านอน ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรนะ”
หลิงเมิ่งนึกถึงฉากที่น่าสยดสยองเมื่อคืนอีกครั้ง “คงไม่ใช่ผีใช่ไหม”
อู๋อู๋จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อวานเกิดเื่น่าอายมากขนาดนั้น เมื่อคิดว่าวันนี้ยังต้องไปทำงาน เธอก็รู้สึกกดดันมาก
ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ผีอะไรกัน”
“เมื่อวานตอนเปลี่ยนเสื้อผ้า…ตอนหลับไปแล้วน่ะค่ะ มีเสียงเคาะประตูสามครั้ง หนูเปิดประตูออกมาดูก็ไม่เจอใครเลย”
“หนูใมากจริงๆ หนูเห็นคุณแม่ทำงานมาเหนื่อยๆ หนูก็ไม่อยากไปรบกวน จึงนอนกอดผ้าห่มอยู่บนเตียงคนเดียว หนูใมากจนลืมแม้กระทั่งต้องไปเปิดประตูให้พี่ หนูงัวเงียอยู่ตั้งนานกว่าจะหลับลงได้”
ดวงตาหมองคล้ำของหลิงเมิ่งทำให้ดูน่าสงสาร เธอดึงแขนของอู๋อู๋และออดอ้อนเป็เด็ก
ในตอนนี้อู๋อู๋จึงได้สติกลับมา เธอมองซูอินอย่างพินิจพิจารณา
“แม่ว่า อาจมีคนแกล้งทำตัวเป็ผีก็ได้”
ซูอิน…ยังคงกินหั่วเซาต่อไปอย่างตั้งใจ อีกประเดี๋ยวก็จะต้องเข้าสอบ เธอจำเป็ต้องเติมพลังงานให้เต็ม
เธอวางท่าทีสบายๆ โดยไม่ไปหาเื่ให้สองแม่ลูกนี้โกรธเคืองอีก โดยเฉพาะอู๋อู๋ ความหวังหลายปีที่ผ่านมาต้องพังลง ซ้ำเมื่อวานยังเกิดเื่น่าอาย เื่ทั้งหมดที่เป็แบบนี้ก็เพราะซูอินนั่นแหละ
ด้วยความโมโหเธอจึงตบโต๊ะ
“เป็เธอใช่ไหมที่ตั้งใจแกล้งทำตัวเป็ผีมาหลอกเมิ่งเมิ่ง”
ซูอินกินหั่วเซาคำสุดท้าย เงยหน้าและกินโจ๊กถั่วเขียวจนหมด จากนั้นจึงเช็ดปากให้สะอาด และเช็ดนิ้วที่มันเยิ้มด้วยกระดาษทิชชู
กินอิ่มเติมพลังงานแล้ว ฉากต่อสู้จึงเปิดขึ้นอย่างเป็ทางการ
“จับมือใครดมไม่ได้ ก็อย่ามาโทษหนูมั่วซั่วสิคะ”
ซูอินเอ่ยออกมาช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก
เื่ที่หลิงเมิ่งกลัวผีนั้นเธอรู้ดี ตอนที่ย้ายมาอยู่บ้านใหม่ๆ ห้องนอนของเธออยู่ตรงข้ามกับระเบียง มีบางครั้งตอนกลางคืนเสื้อผ้าที่ตากไว้ถูกลมพัด เธอร้องเสียงดังจนทำให้เพื่อนบ้านใ และคนที่เอาผ้าไปตากอย่างซูอินก็ถูกอู๋อู๋ตำหนิ
เมื่อวานที่แอบอยู่ในมุมมืด น้ำเสียงใตอนเปิดประตูออกมาเธอได้ยินชัดแจ๋ว
แต่เมื่อกี้เธอไม่ได้ตอบรับอย่างโง่เขลา หากเก่งจริงก็หาหลักฐานมาให้ได้สิ
“ก็ดูจากที่เธอปฏิบัติต่อเมิ่งเมิ่งอย่างไม่สนิทใจยังไงล่ะ!”
อู๋อู๋ลุกขึ้นยืน วางมือสองข้างลงบนโต๊ะ โน้มตัวไปข้างหน้า ประจันหน้ากับซูอินด้วยท่าทีคุกคาม
-----------------------------------------------------------------------------
[1] หั่วเซา หมายถึง ขนมชนิดหนึ่ง เป็แป้งกลมๆ นำไปย่าง ด้านในสอดไส้เนื้อ