“คุณหนูอย่าร้องไห้ไปเลยเ้าค่ะ ซื่อจื่อจะต้องแต่งท่านเข้าจวนแน่ ผู้ที่ซื่อจื่อรักที่สุดก็คือคุณหนูนะเ้าคะ ดูสิ นี่คือกำไลข้อมือที่ซื่อจื่อส่งมาให้ ยังมีอาภรณ์จากร้านแพรพรรณอีกด้วย หากคุณหนูสวมชุดนี้ ซื่อจื่อจะต้องมองอย่างหลงใหลเป็แน่ ั้แ่บ่าวเกิดมายังไม่เคยเห็นสตรีใดที่งดงามเหมือนกับคุณหนูเลยเ้าค่ะ แล้วซื่อจื่อจะทนเห็นคุณหนูเสียใจได้อย่างไรเล่า” สาวใช้หยิบเครื่องประดับและอาภรณ์หรูหรางดงามขึ้นมา ส่งให้อวิ๋นอี้ชิวที่ร้องไห้จนตาแดงก่ำดู
“พี่ชายจะแต่งสตรีผู้นั้นแล้ว...” ดวงตาของอวิ๋นอี้ชิวแดงช้ำ น้ำตาไหลรินเช็ดเท่าไรก็ไม่แห้ง แม้จะรู้นานแล้วว่าญาติผู้พี่จะแต่งสตรีอื่นเข้ามา ด้วยเหตุนี้นางจึงอยากไปดูหน้าสตรีผู้นั้นโดยเฉพาะ แต่พอเอาเข้าจริงภายในใจก็เ็ปเศร้าสลดจนพูดไม่ออก ได้แต่แอบน้ำตาตกอยู่ในห้องของตนเอง
ใบหน้าประดุจหยกงามร้องไห้จนกลายเป็มนุษย์น้ำตาไปแล้ว ดูชดช้อยน่ารักน่าสงสาร หญิงงามเช่นนี้ซื่อจื่อจะไม่ชอบได้อย่างไร สาวใช้นึกโอดครวญอยู่เงียบๆ
เมื่อเห็นผู้เป็นายร้องไห้ไม่หยุด ก็วางเสื้อผ้าเครื่องประดับในมือลง แล้วไปชงชามาให้พลางกล่าวปลอบประโลม
“คุณหนูกับซื่อจื่อเป็คู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ สตรีที่เป็คนนอกผู้นั้นไหนเลยจะมาแทนที่ได้ นอกจากนี้ซื่อจื่อก็รับปากแล้ว รอหลังจากนางเข้ามาในจวน ซื่อจื่อจะแต่งคุณหนูเข้ามาเป็ภรรยาที่มีฐานะเสมอกัน จวนนี้คุณหนูอาศัยมาั้แ่เล็ก ฮูหยินก็เป็อาหญิงแท้ๆ ซื่อจื่อก็รักปานดวงใจ สตรีผู้นั้นมีสิ่งใดเทียบได้บ้าง ว่ากันตามความจริงแล้ว นอกเหนือจากชื่อเสียงอันเป็ที่รู้จัก สตรีผู้นั้นก็ไม่มีสิ่งใดเหนือกว่าคุณหนูเลย”
เหมือนว่าคำพูดเหล่านี้จะเข้าไปถึงหัวใจของอวิ๋นอี้ชิว คิดถึงยามเช้าที่ญาติผู้พี่ยังกอดนางและให้คำมั่นสัญญาด้วยถ้อยคำอ่อนหวานว่าจะรักนางเพียงคนเดียว ที่เขาแต่งกับสตรีผู้นั้นเพียงเพราะจวนเจิ้นกั๋วโหว้าอาศัยอำนาจบารมีครอบครัวของอีกฝ่าย รอให้หมดประโยชน์แล้ว เขาจะไม่ให้ตนเองต้องได้รับความลำบากอีกแน่นอน
ขณะที่ปลอบประโลม แววตาของพี่ชายอ่อนโยนประดุจสายน้ำ ละมุนละไมประหนึ่งแสงจันทร์นวลตา ยามนั้นตนเองซาบซึ้งจนน้ำตาไหล อิงแอบแนบซบอยู่ในอ้อมอกของพี่ชาย เขายังใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบน้ำตาให้อย่างนุ่มนวล ถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงรสจูบร้อนแรงที่เปลือกตา ทุกอย่างนี้ล้วนอธิบายได้ชัดเจนว่าพี่ชายใส่ใจนางอย่างแท้จริง
รอให้สตรีผู้นั้นไม่อยู่แล้ว ต่อไปตนเองก็จะได้เป็ภรรยาอย่างถูกต้องของพี่ชาย เมื่อคิดมาถึงจุดนี้พลันเกิดความรู้สึกยินดี ชาติตระกูลสูงส่งแล้วอย่างไร พี่ชายรักนางเพียงผู้เดียวเท่านั้น และยังคิดจะยกฐานะนางเป็ภรรยาอย่างถูกต้องอีกด้วย
เมื่อเสียงสะอื้นของอวิ๋นอี้ชิวเบาลงแล้ว สาวใช้ก็รู้ได้ว่าคำปลอบใจของนางได้ผล จึงยิ้มพลางยกยอคุณหนูของตนเองต่ออีกหลายประโยค “คุณหนูของบ่าวงดงามอ่อนหวานถึงเพียงนี้ บุรุษที่ไหนจะไม่รักใคร่ทะนุถนอมไว้ในอ้อมใจเล่า ในจวนนี้มิได้มีเพียงซื่อจื่อที่รักคุณหนู แม้แต่ฮูหยินก็ยังให้ความสำคัญเทียบเท่าคุณหนูรอง ปรกติคุณหนูรองมีสิ่งใด คุณหนูก็จะได้เหมือนกัน นี่ยังไม่เป็การยืนยันว่าใจของฮูหยินรับคุณหนูเป็ลูกสะใภ้แล้วหรือเ้าคะ” สาวใช้หัวเราะคิกคักเสียงรื่นหู
“แต่ว่า... พี่ชายจะแต่งภรรยาแล้ว” พอคิดว่าญาติผู้พี่ที่ตนเองรักจะแต่งงานกับหญิงอื่น ไม่ว่าอย่างไรอวิ๋นอี้ชิวก็ยังรู้สึกปวดร้าวใจอยู่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ตก นางกับพี่ชายมีใจให้กัน ไฉนจึงไม่อาจเดินเคียงข้างอย่างเปิดเผยได้ ทั้งยังต้องรอให้สตรีอื่นแต่งเข้าจวนมาก่อนถึงจะรับนางเข้ามา มิหนำซ้ำตนเองยังเป็ได้แค่ภรรยารองที่มีฐานะเท่าเทียม
'ภรรยาที่มีฐานะเท่าเทียม' แม้จะพูดให้ฟังดูไพเราะว่าเป็ภรรยา แต่เมื่อเทียบกับภรรยาที่ถูกต้อง ก็เป็เพียงอนุคนหนึ่งมิใช่หรือ
นางไม่เต็มใจ พี่ชายเป็ของนาง ไฉนนางจะต้องสละตำแหน่งที่สมควรเป็ของตนเองให้สตรีอื่นเข้ามาด้วย
สาวใช้เห็นอวิ๋นอี้ชิวคล้ายมีวาจาแต่กลับเงียบไป แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นอีกก็กระจ่างแจ้งว่าแท้จริงแล้วคุณหนูของตนหมายมั่นตำแหน่งฮูหยินของซื่อจื่อ จึงพยายามอธิบายไขความคับข้องใจของเ้านายสุดความสามารถ
“ไฉนคุณหนูต้องคิดมากอีกเล่า ซื่อจื่อแต่งกับสตรีผู้นั้นก็เพื่อจวนเจิ้นกั๋วโหว รอจนฐานะจวนโหวกลับมาแข็งแกร่งเมื่อไร เมื่อนั้นค่อยให้ซื่อจื่อหย่าขาดกับนางก็ได้ มิใช่ว่าถึงเวลานั้นทุกคนในจวนล้วนต้องฟังคุณหนูแล้วหรือ แม้ว่ายามนี้ต้องอดทน แต่ภายหน้าทุกสิ่งย่อมตกเป็ของคุณหนูแน่นอน อีกอย่างซื่อจื่อก็ทำเพื่อจวนเจิ้นกั๋วโหว ทำเพื่ออนาคตของพวกท่านทั้งสอง ทั้งยังต้องกล้ำกลืนฝืนใจเพียงนี้ คุณหนูก็อย่าทำให้ซื่อจื่อเสียใจผิดหวังเลยนะเ้าคะ”
คำกล่าวนี้เข้าไปถึงกลางใจของอวิ๋นอี้ชิวอย่างแท้จริง ใช่แล้ว พี่ชายเป็ทายาทเจิ้นกั๋วโหว ย่อมไม่อาจทนเห็นจวนเจิ้นกั๋วโหวตกต่ำลงได้ แต่งสตรีผู้นั้นเข้ามาก่อน ถึงเวลาคิดจะทำสิ่งใดย่อมต้องยึดพี่ชายเป็สำคัญ รอสตรีผู้นั้นไม่เหลือประโยชน์อันใดให้ใช้อีกแล้ว ค่อยให้พี่ชายหย่าขาดจากนาง หลังจากนั้นตนเองก็จะได้เป็ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวอย่างแท้จริง
เวลานี้นางจะเป็ตัวถ่วงพี่ชายไม่ได้เด็ดขาด ไม่เพียงแต่ไม่อาจเป็ตัวถ่วง ยังต้องแสดงให้เขาเห็นว่าตนเองเป็คนใจกว้าง พี่ชายจะได้เมตตาสงสาร เพียงเท่านี้ตำแหน่งฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อที่ตนเองหมายมั่นย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
เมื่อตัดสินใจแน่นอนแล้วก็หยิบผ้าแพรขึ้นมาเช็ดน้ำตา จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้ปรนนิบัติล้างหน้าจัดแต่งทรงผมเสียใหม่ ถึงอย่างไรนางก็ไม่อาจให้พี่ชายเห็นตนเองในสภาพซึมเซา น้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ได้
กระจกทองเหลืองสะท้อนเงาของหญิงสาวหน้าตาสะสวย ดวงตากลม เรียวคิ้วโก่งงามลออ จิตใจของอวิ๋นอี้ชิวค่อยๆ สงบลง เอ่ยปากถาม “น้ำแกงอุ่นร้อนใหม่หรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วเ้าค่ะคุณหนู ตั้งอยู่บนเตาผิงยังร้อนๆ อยู่เลย แต่หากไปยามนี้จะไม่ค่ำเกินหน่อยไปหรือเ้าคะ” สาวใช้มองสีของท้องฟ้าแล้วถามอย่างลังเลใจ ท้องฟ้ายามเหมันตฤดูมืดเร็วกว่าปรกติ ข้างนอกเริ่มจุดโคมจนเห็นแสงประทีปอยู่รางๆ
ก่อนหน้านี้นางตุ๋นน้ำแกงไว้แล้ว คิดว่าจะนำไปให้ซื่อจื่อดื่มก่อนอาหารค่ำ แต่เพราะคุณหนูได้ยินข่าวซื่อจื่อจะแต่งภรรยา เดินไปได้เพียงครึ่งทางก็กลับมาที่ห้องแล้วปีนขึ้นเตียงร้องห่มร้องไห้ สาวใช้ต้องอยู่ปลอบใจ ไหนเลยจะมีเวลาไปส่งน้ำแกง เพียงแต่วางไว้บนเตาผิงจึงยังอุ่นอยู่ ยามนี้พอจะเอาไปส่ง กลับเป็เวลาที่ไม่ค่อยเหมาะสมเสียแล้ว
ข่าวซุบซิบเื่คุณหนูกับซื่อจื่อเป็ที่รู้กันภายในจวนมานาน มิใช่เพียงแค่วันสองวัน โดยเฉพาะยามนี้เป็่หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หากเกิดเื่อะไรเกิดขึ้น ฮูหยินคงจะตีนางจนขาหักเป็แน่
พอนึกถึงความอำมหิตของฮูหยิน สาวใช้ก็อดอกสั่นขวัญผวาไม่ได้
“ไม่เป็ไรหรอก ไม่ใช่ว่าไม่เคยไปเวลานี้เสียที่ไหน” ใบหน้าของอวิ๋นอี้ชิวสุกปลั่งเป็สีแดงระเรื่อ ครั้งก่อนนางก็ไปเวลานี้ คิดถึงยามได้อิงแอบแนบชิดกับเขา แก้มก็พลันร้อนผ่าว ก้มหน้าตอบอ้อมแอ้มด้วยความเขินอาย
นั่นเป็เมื่อก่อน สองวันมานี้ฮูหยินออกคำสั่งเด็ดขาด ว่าหากไม่มีธุระจำเป็ห้ามไปหาซื่อจื่อโดยพลการ หากไม่ฟังจะถูกลงโทษอย่างหนัก สาวใช้ย่อมไม่กล้าอ้างคำพูดนี้กับอวิ๋นอี้ชิว ด้านหนึ่งก็เป็คำเตือนของฮูหยิน อีกด้านหนึ่งคุณหนูก็เร่งเร้าอยู่ สาวใช้รู้สึกลำบากใจยิ่งนัก
ดวงตากวาดมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะพลันสว่างวาบ คิดแผนการอยู่ในใจ ชี้ไปที่สำรับอาหารบนโต๊ะซึ่งยังไม่ถูกแตะต้องแม้แต่น้อย “คุณหนูกินอาหารก่อนสักนิดดีไหมเ้าคะ สุขภาพอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อครู่ก็อารมณ์ไม่ดี อย่าให้ป่วยเป็อะไรขึ้นมาอีกเพราะไม่ได้กินข้าวเลยนะเ้าคะ คราวก่อนที่ท่านป่วย ซื่อจื่อวิ่งวุ่นร้อนใจเสียยิ่งกว่าอะไร คราวนี้หากเป็อะไรขึ้นมาอีก พวกบ่าวต้องถูกลงโทษแน่ๆ เลยเ้าค่ะ คุณหนูสงสารบ่าวด้วยเถิดนะเ้าคะ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปดีหรือไม่ น้ำแกงยังตั้งอยู่บนเตาไม่เย็นหรอกเ้าค่ะ”
ยามนี้ฟ้าเพิ่งมืด คนที่เดินไปมาภายในจวนยังเยอะอยู่ หากคุณหนูออกไปั้แ่ตอนนี้ โอกาสที่จะถูกใครพบเห็นเข้าก็มีมาก ไม่สู้ไปดึกกว่านี้อีกหน่อย รอจนพวกบ่าวไพร่ออกไปกันแล้ว เื่ย่อมไปไม่ถึงฮูหยิน
“ได้! งั้นข้ากินข้าวก่อนก็แล้วกัน” อวิ๋นอี้ชี้ชิวพยักหน้า ไม่รู้ว่าคิดถึงเื่ใดอยู่ใบหน้าจึงแดงก่ำ แต่ไม่มีท่าทางบ่ายเบี่ยง เดินมานั่งลงที่ข้างโต๊ะ หยิบตะเกียบขึ้นมากินอาหารอย่างว่าง่าย
ราตรีย่ำลึกขึ้นทุกขณะ โคมสองดวงหน้าจวนเจิ้นกั๋วโหวส่องสว่างเห็นไปไกลราวหนึ่งจั้ง[1] เกี้ยวเล็กสีเทาหลังหนึ่งถูกหามตรงเข้ามาจากเส้นทางอันมืดสลัว ข้างเกี้ยวมีสาวใช้ในชุดสีเขียวยืนก้มศีรษะทำให้เห็นไม่ชัดเจนว่าเป็ผู้ใด พอถึงหน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วโหวก็ไม่เข้าทางประตูหลัก แต่กลับเข้ามาทางประตูข้าง
เกี้ยวเล็กยังไม่ทันมาถึง ประตูข้างก็ถูกเปิดออก สาวใช้าุโคนหนึ่งท่าทางคล่องแคล่วอายุประมาณสี่สิบห้าสิบปีเปิดประตูครึ่งหนึ่งแล้วมองออกไปด้านนอก เมื่อเห็นมีเกี้ยวตรงเข้ามาก็ไม่เข้าไปถาม เพียงแค่เปิดทางให้เกี้ยวผ่านเข้ามาได้
เมื่อเกี้ยวผ่านเข้ามาด้านในแล้ว บ่าวาุโผู้นั้นก็รีบปิดประตูลั่นดาล แล้วเดินนำอยู่หน้าขบวน คนหามเกี้ยวสองคนตามอยู่ด้านหลัง สาวใช้เดินตามอยู่ด้านข้าง พวกเขาต่างเดินอย่างสงบเงียบ มีเพียงเสียงย่ำเท้า แม้แต่เสียงลมหายใจยังแ่เบาจนแทบไม่ได้ยิน
เกี้ยวหามมาถึงหน้าประตูห้องหนังสือของซือหม่าหลิงอวิ๋น ทันทีที่ลดเกี้ยวลง สาวใช้ชุดเขียวก็เข้ามาประคองคนผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดกันลมแบบมีหมวกคลุมศีรษะเดินลงมา หน้าห้องหนังสือไม่มีโคมแขวนอยู่ แต่เห็นแสงสีเหลืองนวลลอดผ่านประตูออกมาจากด้านใน แสงสลัวรางทาบไล้บนร่างของผู้มาเยือนที่อยู่ในชุดคลุมตัวใหญ่ เห็นไม่ชัดว่าเป็บุรุษหรือสตรี แต่หากคะเนจากรูปร่างโดยเปรียบเทียบกับสาวใช้ที่ติดตามอยู่ ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเป็สตรีคนหนึ่ง
หญิงรับใช้าุโพาคนห้ามเกี้ยวสองคนและสาวใช้ถอยออกไป แล้วปิดประตูอย่างเบามือเป็พิเศษก่อนจะออกมา องครักษ์สองคนที่ยืนอยู่ในมุมมืดพาแขกผู้มาเยือนเดินเข้าไป
ประตูห้องหนังสือพลันเปิดออก ซือหม่าหลิงอวิ๋นซึ่งอยู่ในชุดไหมปักลายดอกฉงฮวา [2] มือไพล่หลังยืนอยู่ที่ประตู แสงตะเกียงจากด้านหลังส่องมา เงาร่างทอดยาวอยู่บนพื้นห้อง สตรีที่ลงมาจากเกี้ยวดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้จึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสองคู่สบประสานทอประกายหวานชื่นเสมือนหนึ่งคนรัก
ซือหม่าหลิงอวิ๋นก้าวเข้ามาจูงมือหญิงสาว แล้วพาเดินเข้าไปในห้องหนังสืออย่างช้าๆ ประตูด้านหลังปิดลง จากหน้าต่างของห้องหนังสือจะเห็นเงาร่างของคนสองคนค่อยๆ แนบชิด ตระกองกอดซึ่งกันและกัน ดูราวกับคู่นกยวนยางที่กำลังคลอเคลียอย่างหวานชื่น
อีกด้านหนึ่ง อวิ๋นอี้ชิวกินข้าวไปได้ไม่กี่คำก็กินไม่ลงอีก สาวใช้จงใจถ่วงเวลานำน้ำแกงไปอุ่นใหม่อีกครั้ง แล้วค่อยนำมาเทใส่ปิ่นโตอาหาร จากนั้นค่อยพาอวิ๋นอี้ชิวเดินไปยังห้องหนังสือของซือหม่าหลิงอวิ๋น ที่นี่อยู่ห่างจากห้องหนังสือของซือหม่าหลิงอวิ๋นไม่ไกลนัก เดิมทีก็มีทางเดินแคบเชื่อมกันอยู่ เดินไปไม่นานก็ถึง แต่สองวันนี้ทางเดินเส้นนี้กำลังซ่อมแซม อวิ๋นอี้ชิวจึงต้องเดินอ้อมรอบใหญ่กว่าจะไปถึงที่หมาย
สาวใช้ถือปิ่นโตที่ใส่น้ำแกงอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นอวิ๋นอี้ชิวเดินเร็วราวกับเหาะ จึงกล่าวหยอกเย้าผู้เป็นาย “คุณหนู เดินช้าหน่อยเ้าค่ะ บ่าวยกน้ำแกงอยู่เดี๋ยวจะหกได้ ซื่อจื่อต้องรอคุณหนูอยู่แล้วเ้าค่ะ เห็นข้างนอกบอกว่าพอซื่อจื่อกลับมาถึงจวนก็คิดจะมาหาท่าน แต่ฮูหยินมีธุระเรียกตัวไปพบเสียก่อน แม้ซื่อจื่อจะไม่มา แต่ย่อมรู้ว่าเมื่อคุณหนูได้ยินข่าวคงจะเสียใจ จึงคิดจะมาอธิบายให้ฟังเป็แน่ ตอนนี้คุณหนูไม่เพียงแต่ไม่ต่อว่า ยังตุ๋นน้ำแกงให้อีก ซื่อจื่อย่อมจะดีใจยิ่งกว่าสิ่งใด”
“เ้าเด็กน่าตายคนนี้...” อวิ๋นอี้ชิวกำลังอารมณ์ดี แสร้งด่าทอออกมาคำหนึ่ง แต่กลับชะลอฝีเท้าลง เมื่อคิดถึงว่าพี่ชายคงกำลังรอตนเองอยู่แน่ๆ ภายในใจก็รู้สึกหวานล้ำขึ้นมาโดยพลัน
“ก็ต้องเป็เช่นนั้นอยู่แล้วนี่เ้าคะ ซื่อจื่อรักคุณหนูยิ่งกว่าสิ่งใด จะปล่อยให้คุณหนูเสียใจได้อย่างไร หากไม่มีธุระ ป่านนี้คงแล่นไปหาคุณหนูถึงเรือนแล้ว ดังนั้นคุณหนูต้องดูแลตัวเองให้ดีเพื่อซื่อจื่อนะเ้าคะ ในจวนนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคุณหนูต่างหากที่เป็สตรีในดวงใจของซื่อจื่อ หากคุณหนูมีความสุข ซื่อจื่อถึงจะมีความสุข คุณหนูรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ซื่อจื่อจึงจะวางใจ” เมื่อเห็นอวิ๋นอี้ชิวชอบฟังถ้อยคำเหล่านี้ สาวใช้ยิ่งพูดก็ยิ่งมีพลังหนักแน่น ถือปิ่นโตเดินเร่งฝีเท้าขึ้นมา กล่าวพลางหัวเราะหยอกเอินเสียงเบา
พูดจนหัวใจของอวิ๋นอี้ชิวหวานล้ำไปหมด ค้อนควักใส่สาวใช้ทีหนึ่ง บิดผ้าเช็ดหน้าในมืออายม้วนต้วน ใบหน้าแดงปลั่ง พูดอะไรไม่ออก
ห้องหนังสืออยู่เบื้องหน้าสายตา มองทอดไปเห็นความเงียบสงบเหมือนปรกติ เมื่อก่อนหากรู้ว่าอวิ๋นอี้ชิวจะมาตอนค่ำ ซือหม่าหลิงอวิ๋นมักจะไล่บ่าวไพร่ออกไปให้หมด เขาบอกว่ากลัวนางจะเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะรัก จึงไม่อยากได้ยินใครมาวิพากษ์วิจารณ์นางในทางเสียหาย เื่เล็กๆ เหล่านี้ทำให้อวิ๋นอี้ชิวซาบซึ้งใจไม่คลาย ริมฝีปากทอยิ้มเอียงอาย
พี่ชายต้องกำลังรอนางอยู่แน่ๆ แม้แต่ประตูห้องหนังสือก็จัดการอย่างเหมาะสมไว้แล้ว
……………………………………………………………………………………….....
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] จั้ง เป็หน่วยวัดความยาว มีค่าประมาณ 3.33 เมตร
[2] ดอกฉงฮวามีชื่อภาษาอังกฤษว่า Wild Chinese Viburnum เป็ไม้พุ่มขนาดเล็ก ดอกเป็กลีบกลมเล็กๆ สีขาว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้