ทั่วทั้งเมืองเลยหรือ?!
หลี่จิ่งหนานออกจากเมืองไปแล้ว หากค้นหาทั่วทั้งเมืองแล้วยังไม่พบคน เขาจะสงสัยหรือไม่?
หวาชิงเสวี่ยหน้าซีดเผือด ปฏิเสธทันควัน “ไม่กล้ารบกวนท่านนายกองพัน...”
“หรือว่าเ้าไม่ห่วงน้องสาวของเ้า?” ฉีเหลียนเชิงเหลือบสายตามองนาง
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกราวกับว่าเขารู้เื่บางอย่าง เหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หลังเต็มไปหมด จึงตอบกลับอย่างยากลำบาก “ห่วง...ก็ห่วงเ้าค่ะ แต่เื่ในบ้านเช่นนี้ ไม่กล้ารบกวนท่านนายกองพัน...”
“แค่เื่เล็กน้อยเท่านั้น” ฉีเหลียนเชิงพิงกายขอบโต๊ะอย่างเกียจคร้าน พลางพูดว่า “บังเอิญว่าผู้ต้องสงสัยที่กำลังตามจับอยู่ตอนนี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับน้องสาวของเ้า ไม่แน่วันใดวันหนึ่งน้องสาวเ้าอาจจะถูกจับไปแทนคนร้ายก็เป็ได้”
หวาชิงเสวี่ยได้ยินคำพูดของเขา หัวใจก็เต้นแรง!
นางถึงกับสงสัยว่าเขาจงใจพูดเื่นี้ให้นางฟัง!
เื่การจับกุมองค์รัชทายาทนั้น ชาวบ้านทั่วไปไม่รู้ แต่จากการเคลื่อนไหวเพื่อค้นหาและจับกุมอย่างเข้มงวดก็พอจะเดาได้ว่าทหารเหลียวกำลังจับคนอีกแล้ว ตอนนี้ฉีเหลียนเชิงกลับบอกนางตรงๆ ว่า คนที่้าจับเป็เด็กอายุแปดเก้าขวบ! หากใครได้ยิน ก็คงจะรู้สึกแปลกๆ ใช่หรือไม่?!
เขากำลังทดสอบนางหรือ?
หวาชิงเสวี่ยกัดริมฝีปาก แสร้งทำเป็ไม่เข้าใจ ตอบด้วยเสียงเบา “น้องสาวข้าดื้อรั้น อาจจะหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่บ้านญาติคนใดคนหนึ่งแล้ว ข้าจะขอให้คนอื่นช่วยตามหาอีกครั้ง จะต้องพบตัวนางแน่นอน ไม่ต้องรบกวนท่านแล้วเ้าค่ะ...”
ฉีเหลียนเชิงเอ่ยอย่างเชื่องช้า “จริงด้วย ประตูเมืองก็ปิดแล้ว น้องสาวเ้าจะหนีไปไหนได้ หากยังอยู่ในเมืองนี้ สักวันก็ต้องพบ...เว้นเสียแต่ว่า นางไม่ได้อยู่ในเมืองนี้แล้ว เ้าว่าจริงหรือไม่?”
หวาชิงเสวี่ยใจหายวาบ กลั้นหายใจไม่กล้าแม้แต่จะพ่นลมออกมา!
นางมั่นใจจนเกือบจะแน่ใจแล้วว่า ฉีเหลียนเชิงกำลังทดสอบนาง!
ทำไมเขาถึงทดสอบนาง? ...หรือว่า เขาเริ่มสงสัยมาตั้งนานแล้ว?
ในใจหวาชิงเสวี่ยทั้งหวาดกลัวและโล่งใจ!
หวาดกลัวเพราะฉีเหลียนเชิงฉลาดเกินไป! เ้าเล่ห์และเฉียบแหลม ยากที่จะป้องกัน!
โล่งใจที่หลี่จิ่งหนานออกจากเมืองไปแล้ว! หากอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน คงจะถูกจับได้จริงๆ!
“เหตุใดเ้าไม่พูดอะไรเลย?” ฉีเหลียนเชิงถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ข้า...ข้าแค่กังวล...” หวาชิงเสวี่ยหวาดหวั่นและสับสน พยายามหาข้ออ้างมาแก้ตัว “หากหาตัวน้องสาวในเมืองแล้วไม่พบ จะทำอย่างไรดี...”
ฉีเหลียนเชิงจ้องมองนางนิ่งๆ สักพักแล้วก็ยิ้มออกมา “จริงด้วย หากหาในเมืองแล้วไม่พบ จะทำอย่างไรดีเล่า?”
หวาชิงเสวี่ยก้มหน้าลง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง และไม่กล้าพูดอะไร
ในเวลาเช่นนี้ ยิ่งพูดมาก ยิ่งผิดพลาดมากขึ้น
ฉีเหลียนเชิงเห็นท่าทางขี้ขลาดหวาดกลัวของนาง จึงไม่ซักไซ้นางอีก แล้วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว กลับไปเถอะ”
หวาชิงเสวี่ยโล่งใจราวกับได้รับอิสรภาพ! แต่ไม่กล้าแสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ยังคงทำหน้าซื่อ แล้วถอยออกไปอย่างระมัดระวัง
พอออกมาข้างนอก นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
นางไม่กล้าอยู่ต่อนาน เกรงว่าฉีเหลียนเชิงจะนึกอะไรขึ้นมาถามอีก จึงรีบดึงรถเข็นออกจากศาลาว่าการ!
ล้อรถหมุนบดพื้นไปอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังเอี๊ยดๆ หวาชิงเสวี่ยรีบเดินกลับไปที่ร้านอาหาร ความหวาดกลัวในใจจึงค่อยๆ สงบลง
นางนำรถเข็นไปคืนที่ร้านอาหาร แล้วกลับบ้านด้วยความกังวล คอยปลอบใจตัวเองว่า บางทีนางอาจคิดมากเกินไปเองก็ได้ เขาไม่มีหลักฐานอะไร บางทีเขาอาจจะแค่พยายามหลอกถามนาง หากนางไม่แสดงท่าทีหวาดกลัว หรือแสดงความร้อนตัวออกมา เขาก็คงไม่มีทางทำอะไรได้...
เพราะถึงอย่างไร เขาก็ไม่มีหลักฐาน ไม่ใช่หรือ?
ที่เขาเกิดความสงสัยก็เพียงเพราะอายุใกล้เคียงกันเท่านั้น แต่เด็กแบบนี้ ในเมืองเหรินชิวมีเยอะแยะไป!
ส่วนรูปเหมือนขององค์รัชทายาทนั้น มันไม่ได้พิสูจน์อะไรได้เลย!
หวาชิงเสวี่ยเดินไปคิดไป จนกระทั่งมีใครบางคนมาขวางทางไว้ จึงได้สติกลับมา
นางเงยหน้าขึ้นมองอย่างงุนงง เห็นฟู่ถิงเย่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กำลังจ้องมองมาที่นาง
เอาเถอะ จริงๆ แล้วนางก็ไม่รู้หรอกว่าสีหน้าของฟู่ถิงเย่เคร่งขรึมหรือไม่ เพราะเคราของเขาดกหนามาก จนมองไม่ออกอยู่แล้ว...
อย่างไรก็ตาม เขาก็มีท่าทางดูเคร่งขรึมเช่นนี้ทุกวันอยู่แล้ว
“วันนี้เ้าไปไหนมา?” ฟู่ถิงเย่เหลือบมองไปด้านหลังของนาง ก่อนจะเอ่ยถาม
การกระทำของฟู่ถิงเย่อาจเป็เพียงแค่ความเคยชินในการระมัดระวังตัว แต่กลับทำให้หวาชิงเสวี่ยใ!
เพราะนางรู้ทันทีว่าตนเองประมาทเลินเล่อแค่ไหน! หากฉีเหลียนเชิงจงใจปล่อยนางไป แล้วแอบสะกดรอยตามเพื่อหาที่อยู่ขององค์รัชทายาท เช่นนั้นที่อยู่ของนางกับฟู่ถิงเย่จะไม่ถูกเปิดเผยแล้วหรือ?!
“มีคนสะกดรอยตามข้าหรือ?!” หวาชิงเสวี่ยหันกลับไปมองด้านหลัง พลางถามด้วยความตื่นตระหนก
ฟู่ถิงเย่ขมวดคิ้ว “ไม่มี”
หวาชิงเสวี่ยจึงผ่อนคลายความตึงเครียดลง ใช้มือตบที่อกเบาๆ แล้วตอบว่า “วันนี้ข้าไปทำธุระที่ศาลาว่าการ เอาเสื้อผ้าของทหารเหลียวเ่าั้ไปส่ง”
นางไม่พูดถึงเื่ที่ถูกคุกคามในศาลาว่าการ เมื่อนึกถึงคำถามแปลกๆ ของฉีเหลียนเชิง ในใจยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี นางจึงก้มหน้าลงแล้วดึงฟู่ถิงเย่เข้าไปข้างใน
ฟู่ถิงเย่ขมวดคิ้วแล้วมองแขนเสื้อที่ถูกสตรีดึงไว้
เขากำลังจะเตือนนางว่าบุรุษและสตรีไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน...แต่หวาชิงเสวี่ยกลับปล่อยมือออก ก่อนจะหมุนตัวไปปิดประตูเรือน และลงกลอนประตู
นางมองฟู่ถิงเย่ด้วยสีหน้ากังวลแล้วพูดว่า “ข้าพบกับทหารเหลียวผู้หนึ่งที่ศาลาว่าการ เขาเคยเห็นองค์รัชทายาทมาก่อน ตอนนั้นข้าโกหกเขาไปว่าองค์รัชทายาทคือน้องสาวของข้าจึงรอดพ้นมาได้ แต่เมื่อครู่นี้...เขาพูดกับข้าเพียงไม่กี่ประโยค ข้าก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาจะสงสัยข้าแล้ว”
สายตาของฟู่ถิงเย่คมกริบขึ้นมาทันที เขาถามเสียงต่ำ “เขาพูดว่าอย่างไร?”
หวาชิงเสวี่ยจึงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในศาลาว่าการให้ฟู่ถิงเย่ฟังอย่างละเอียดทุกคำ เพราะเกรงว่าตนเองจะตกหล่นอะไรไป จึงหยิบยาทาแผลบวมจากน้ำแข็งกัดที่ฉีเหลียนเชิงให้ออกมาให้ฟู่ถิงเย่ดูด้วย
“เขายังให้เ้านี่มาด้วย บอกให้ข้าทาก่อนนอนทุกคืน” หวาชิงเสวี่ยถามอย่างกระวนกระวาย “เขาจะสืบรู้เื่อะไรหรือไม่?”
ฟู่ถิงเย่ถือขวดยาทาแผลเอาไว้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เขามองหวาชิงเสวี่ยที่ดูตื่นตระหนก ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกใจอ่อนลงอย่างไม่มีสาเหตุ...
สตรีนางหนึ่ง ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะสามารถรับมือกับทหารเหลียวได้แล้วกลับมาอย่างปลอดภัย...จะไปซักไซ้นางอีกทำไม?
เมื่อคิดเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาก็อ่อนลง “เ้าไม่ต้องกังวลจนเกินไป เขาแค่หลอกถามเ้าเท่านั้น ในเมื่อเ้าบอกว่าคนผู้นั้นเพิ่งได้รับตำแหน่งนายกองพัน ตำแหน่งนี้ยังไม่มั่นคง เว้นแต่จะมีหลักฐานที่แน่ชัด มิเช่นนั้นเขาจะมีเวลามาตรวจสอบเ้าได้อย่างไร?”
ฟู่ถิงเย่พูดพลางยื่นขวดยาทาแผลคืนให้
หวาชิงเสวี่ยยื่นมือรับ
ฟู่ถิงเย่มองพิจารณามือของนาง ก่อนหน้านี้ไม่เคยใส่ใจ แต่วันนี้ได้เห็นแล้วก็รู้สึกะเืใจ
าแที่น่ากลัวยิ่งกว่าแผลแตกจากอากาศเย็นจัดในค่ายทหารเขาก็เห็นมาแล้ว แต่ไม่เคยรู้สึกอะไรเลย แล้วเหตุใดมือบอบบางเนียนนุ่มที่เต็มไปด้วยแผลบวมแดงและรอยแตกคู่นี้ของหวาชิงเสวี่ย กลับทำให้เขารู้สึกเ็ปในใจขึ้นมาเมื่อได้เห็น
“ยานี้เป็ยาดีจริงๆ เื่นี้เขาไม่ได้โกหกเ้า” ฟู่ถิงเย่กล่าว “สองสามวันนี้พยายามอย่าให้มือโดนน้ำ”
หวาชิงเสวี่ยยิ้มบางๆ ไม่ค่อยใส่ใจนัก
จะเป็ไปได้อย่างไรที่จะไม่โดนน้ำ? บ้วนปากล้างหน้า ขัดหม้อล้างจาน ล้างผักทำอาหาร จะไม่โดนน้ำได้อย่างไร?
อย่างมากก็แค่ระวังให้มากขึ้นเท่านั้นเอง
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาจเป็เพราะฟู่ถิงเย่อยู่ด้วย ตอนนี้นางจึงรู้สึกสบายใจมากกว่าตอนที่อยู่ข้างนอกมาก
หวาชิงเสวี่ยเดินไปที่ห้องครัวพลางเอ่ยถาม “วันนี้อยากทานอะไรเ้าคะ? เกาลัดในห้องเก็บฟืนวางเอาไว้เฉยๆ ก็เสียดาย ท่านจะทานเกาลัดผัดเนื้อไหมเ้าคะ ท่านแม่ทัพ...เอ่อ ไม่ใช่สิ...สามี เคยทานเกาลัดผัดเนื้อหรือไม่เ้าคะ?”
ฟู่ถิงเย่ตอบเบาๆ “ตามใจเ้า” พูดจบก็เดินไปที่บ่อน้ำแล้วก้มลงตักน้ำ
หวาชิงเสวี่ยจึงเริ่มคิดหาวิธีทำเกาลัดผัดเนื้ออย่างจริงจัง
ผ่านไปสักพัก ฟู่ถิงเย่ก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อลอยมาจากห้องครัว พร้อมกับกลิ่นหอมเฉพาะตัวของเกาลัด เป็กลิ่นหอมที่ชวนน้ำลายสอ
เขาหันไปมองทางห้องครัวด้วยความประหลาดใจ เห็นร่างผอมบางอ้อนแอ้นกำลังวุ่นวายอยู่กับการทำอาหาร
่สองสามวันมานี้ใช่ว่าเขาไม่ได้กินอาหารที่หวาชิงเสวี่ยทำ เขายังพอเข้าใจฝีมือการทำอาหารของนางอยู่บ้าง พูดตามตรง คืออยู่ในระดับที่ทำอาหารให้สุกเท่านั้น ไม่ต้องหวังเื่รสชาติอะไรมากมาย แต่ฟู่ถิงเย่ไม่ได้เื่มาก อีกทั้งหวาชิงเสวี่ยก็ไม่ใช่แม่ครัวที่เขาจ้างมา เขาจึงไม่คิดจะตำหนินางมากนัก
แต่คิดไม่ถึงว่า หวาชิงเสวี่ยจะทำเกาลัดผัดเนื้อเป็จริงๆ
บางทีหากให้พูดตอนนี้อาจจะเร็วไปหน่อย รอดูตอนที่นางทำเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน...
เมื่อหวาชิงเสวี่ยยกจานเกาลัดผัดเนื้อที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นมาวางตรงหน้าเขา ฟู่ถิงเย่ก็ตักชิมไปคำหนึ่ง
รสชาติดีมาก!
เขาอดไม่ได้ที่จะถามสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “เ้าทำเป็ได้อย่างไร?”
หวาชิงเสวี่ยมองฟู่ถิงเย่ด้วยดวงตาเป็ประกาย “บังเอิญจำสูตรเกาลัดผัดเนื้อได้ ทำตามสูตรก็ง่ายมากแล้ว เป็อย่างไรเ้าคะ? อร่อยหรือไม่? ข้าลองชิมในครัวแล้ว รู้สึกว่ารสชาติดีทีเดียว!”
ฟู่ถิงเย่พยักหน้า “อืม ไม่เลว”
หวาชิงเสวี่ยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ต่างจากท่าทางอ่อนหวานของสตรีสูงศักดิ์ที่ยิ้มบางๆ พลางใช้มือปิดริมฝีปากอย่างสงวนท่าที รอยยิ้มของหวาชิงเสวี่ย...ดูสดใส ราวกับแสงแดดอันอบอุ่นในฤดูหนาว ทำให้คนที่มองรู้สึกประทับใจอย่างลึกซึ้งในชั่วขณะหนึ่ง
ฟู่ถิงเย่เหม่อลอยไปชั่วขณะ รู้สึกว่ารอยยิ้มของนางดูสดชื่นมาก ราวกับสามารถทำให้คนอื่นมีความสุขไปด้วยได้...
ปัง ปัง ปัง!
เสียงเคาะประตูอย่างกะทันหันทำให้ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารสะดุ้ง
ทั้งสองคนมองไปที่ประตูเรือนพร้อมกัน เสียงเคาะประตูยังคงดังต่อเนื่อง ยิ่งดังและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ! พร้อมกับมีเสียงะโของทหารเหลียว “เปิดประตู! เปิดประตู! นี่เป็การตรวจค้นตามระเบียบ!”
ฟู่ถิงเย่ส่งสายตาให้หวาชิงเสวี่ย แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องด้านใน
หวาชิงเสวี่ยรู้ว่าเขาคงจะไป ‘ปลอมตัว’ จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินออกไป
นางกลัวว่าฟู่ถิงเย่จะมีเวลาไม่พอ จึงจงใจเดินช้าๆ แต่เสียงเคาะประตูของทหารเหลียวยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ! ประตูไม้ส่งเสียงดัง ‘โครมคราม’ ราวกับว่าพวกเขาจะพังประตูเข้ามาได้ทุกเมื่อ!
ทันทีที่หวาชิงเสวี่ยเปิดประตู ทหารเหลียวที่นำหน้าก็ะโใส่หน้าด้วยภาษาทางการที่พูดไม่คล่องนัก “กลางวันแสกๆ ปิดประตูทำไม?! ซ่อนผู้ต้องสงสัยอยู่หรือไม่?!”
จากนั้นก็พากันกรูเข้ามา! แล้วก็ค้นหาข้าวของอย่างวุ่นวายเหมือนครั้งที่แล้ว!
คนพวกนี้ไม่ได้ดูเหมือนทหาร เหมือนโจรมากกว่า! หากเห็นที่ใดน่าสงสัย ก็จะทุบทำลาย! แล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว ไปที่บ้านหลังถัดไปต่อ
สิ่งที่เหลือให้หวาชิงเสวี่ยก็คือบ้านที่ดูเหมือนถูกพายุพัดถล่ม
นางถอนหายใจ แล้วกลับไปที่ห้องโถง เห็นจานเกาลัดผัดเนื้อบนโต๊ะเหลือแต่จานเปล่า ในใจก็ยิ่งรู้สึกหดหู่...
ในที่สุดก็ทำอาหารสำเร็จได้สักครั้ง ตัวเองยังไม่ทันได้กินสักคำเลยก็...
ในตอนนั้น ฟู่ถิงเย่เดินออกมาจากห้องด้านใน มองจานบนโต๊ะแล้วจึงปลอบใจนาง “ในบ้านยังมีเกาลัดอีกเยอะ ค่อยทำอีกจานก็ได้”
หวาชิงเสวี่ยชินกับความเ็าและมีเหตุมีผลไปทุกเื่ของบุรุษผู้นี้แล้ว เพียงแค่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางยกจานเปล่าขึ้นมา พึมพำ “แต่ไม่มีเนื้อแล้ว...”