เมื่อมองอย่างละเอียดกลับพบเด็กสาวตัวเล็กที่หวีผมทรงมวยห่วงคู่ดูดีและปราดเปรียวยืนอยู่ข้างหนึ่ง ผิวละเอียดขาวสะอาดขลับให้ดวงตาเป็ประกายแวววาวมีชีวิตชีวา มุมปากมีเืฝาดค่อยๆ ยกขึ้นจนปรากฏความขี้เล่นและน่ารัก เด็กสาวตัวผอมเล็กที่ดูไม่เด่นในความทรงจำ ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายเพียงนี้เลยหรือ
หูฉางหลินใ อดรู้สึกปลงอนิจจังไม่ได้ “นี่ไม่ได้เจอกันแค่หนึ่งเดือนกว่า เจินจูก็โตเป็สาวงดงามขนาดนี้แล้ว เปลี่ยนไปเสียจนลุงจำไม่ได้เลย อีกทั้งยังคิดวิธีการใช้เตียงอบแห้งเห็ดได้อีก ยิ่งโตยิ่งฉลาดจริงๆ ”
เจินจูยกมุมปากยิ้มอย่างไม่เขินอาย ตอบกลับอย่างสุภาพเรียบร้อย “ล้วนเป็คุณงามความดีของท่านย่า ข้าเพียงพูดไปเท่านั้น ระดับความร้อนและเวลาอบแห้งเป็ท่านย่าที่ลองทดสอบออกมาทีละนิดๆ ท่านย่ายังอดตาหลับขับตานอน ไม่สามารถอบเห็ดให้แห้งได้ทั้งหมดอยู่หลายคืน ท่านลุง พวกท่านกลับมาได้ทันเวลาพอดี สามารถช่วยแบ่งเบาภาระได้บ้าง หลายวันมานี้ต้องลำบากท่านย่าแล้ว”
กล่าวจบแล้วหันไปยิ้มหวานให้หวังซื่อหนึ่งที
หวังซื่อฟังแล้ว ยิ้มจนดวงตาหยี สายตาที่มองไปยังเจินจูมีความสนิทสนมอยู่หลายส่วน “ย่าไม่ลำบากเลย พวกเ้าสองพี่น้องที่ขึ้นเขาไปทุกวันย่อมลำบากกว่า รอเอาเห็ดไปขายได้แล้ว ย่าจะทำเสื้อผ้ามอบให้พวกเ้าคนละชุดนะ”
หูฉางกุ้ยมองไปที่เจินจูด้วยความประหลาดใจ เจินจูสังเกตเห็นสายตาที่มองมาก็มองกลับไป หูฉางกุ้ยจึงเคลื่อนสายตาออกไปทันที เขาโน้มลำตัวลงก้มหน้าตามนิสัยที่เคยชิน ทำให้ผมหน้าม้าบนหน้าผากปกคลุมไปครึ่งใบหน้า
เจินจูถอนหายใจหนึ่งเฮือกในใจ ท่านพ่อคนนี้เดิมทีมีนิสัยเก็บเนื้อเก็บตัว และเพราะรอยแผลเป็บนใบหน้ายิ่งเพิ่มความน้อยเนื้อต่ำใจให้หดลดลงไปอีก ก้มหน้าก้มตาทำงานตลอดทั้งปี นับเป็คนจำพวกสามตะบองตีไม่ผายลม บวกกับหลี่ซื่อที่เดิมทีก็พูดไม่ได้อยู่แล้ว อีกทั้งหูเจินจูที่ปกติพูดจาน้อยคำได้ ทำให้บางครั้งบ้านของพวกเขาเงียบสงัดปานทะเลทราย ยังดี ในบ้านมีผิงอันที่ยังร่าเริงกระฉับกระเฉง นำพาความกระปรี้กระเปร่ามาสู่ครอบครัวที่น่าอึดอัดนี้บ้าง
เพราะเห็ดสดเปลี่ยนสีง่ายจำเป็ต้องรีบอบให้แห้ง แต่ถ้าหากนางลงมือด้วยตัวเองจะทำให้ในบ้านขาดแคลนกำลังหลักที่เหมาะสมไป ชุ่ยจูยังต้องทำอาหารเย็นอย่างเร่งรีบ เจินจูยังเด็กนักเผาเตียงไม่เป็ ฟูเหรินหนึ่งคนอยู่เฝ้าบ้าน อีกคนหนึ่งท้องโต กระทั่งหวังซื่อก็ไม่สามารถดูแลได้ ต้องปล่อยให้พี่น้องสองคนที่เดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อยบนท้องถนนได้พักผ่อนเอง และไม่นานหลังจากนั้นก็เรียกใช้ทั้งสองคนต่อ สอนทั้งสองด้วยตนเองว่าควรควบคุมอุณหภูมิอย่างไร อบเห็ดให้แห้งอย่างไร ทำถึงขั้นไหนจึงจะพอดี หลังถ่ายทอดทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงจากไปเตรียมอาหารเย็นอย่างพึงพอใจ
เจินจูเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกชมเชยทั้งสองที่คุ้นเคยกับการทำงานเกษตร งานเล็กๆ เช่นนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาหวาดหวั่น จึงเดินออกไปช่วยที่ห้องครัวต่อ
พอออกจากห้องก็เห็นชายชราหู มือหนึ่งถือปุ้งกี๋เปล่า อีกมือหนึ่งพยุงกำแพงก้าวช้าๆ เจินจูสาวเท้าเร็วเข้าไปข้างหน้าประคองไว้ “ท่านปู่ ท่านจะไปทำอะไรหรือ?”
“ไม่ได้ทำอะไร จะไปเก็บมะเขือยาวกับถั่วแปบในสวน” หูเฉวียนฝูหัวเราะ
“ท่านปู่ ท่านนั่งเถิด ข้าไปเก็บให้เอง” นางประคองเขานั่งลงอย่างระมัดระวังแล้วก็หยิบปุ้งกี๋ไป
“ปู่ยังพอทำได้ ไม่กี่วันนี้ขามีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว” หูเฉวียนฝูถือโอกาสนั่งลง คลึงหัวเข่าไปมา สองวันนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตำแหน่งข้อต่อกระดูกไม่ได้เจ็บถึงเพียงนั้นแล้วจริงๆ อีกทั้งยังสามารถเดินได้หลายก้าวแล้วด้วย
“เก็บเรี่ยวแรงของท่านปู่ไว้ใช้คราวหน้าเถิด วันนี้ข้าจะเป็คนไปเก็บให้เองเ้าค่ะ” ตามที่เจินจูสังเกต ชายชราน่าจะเป็โรคจำพวกเหน็บชา ผนวกกับโรคเก่า พออากาศเปลี่ยน ขาจึงแข็งทื่อเ็ปและเดินไม่สะดวก เจินจูไม่เข้าใจวิชาและลู่ทางรักษา ทำได้เพียงคิดวิธีให้เขาดื่มน้ำแร่เพิ่มนิดหน่อยทุกวัน มันคงสามารถช่วยเขาได้บ้างแหละ คิดได้เช่นนี้จึงวิ่งกลับไปที่โต๊ะอาหารเมื่อครู่ เอาน้ำที่เหลือเทออกมา
“ท่านปู่ ท่านดื่มน้ำสักนิดก่อน ข้าจะไปเก็บผัก” ส่งถ้วยให้แล้วก็หยิบปุ้งกี๋วิ่งไปสวนผักข้างบ้าน
สวนผักบ้านเก่าสกุลหูใหญ่กว่าของบ้านนางนัก ถั่วแปบเลื้อยเลียบตามรั้วคดเคี้ยว บนรั้วมีพวงหนักๆ ห้อยอยู่พวงหนึ่ง บนคันดินปลูกมะเขือยาวไว้เยอะมาก รูปร่างเล็กใหญ่แตกต่างกันไป สายลมอ่อนพัดโชยผ่าน ผักผลไม้ทั่วสวนก็โยกไหวเบาๆ เป็อะไรที่น่ายินดีนัก
เจินจูนั่งกึ่งยองในพื้นที่ปลูกผัก หลังมองไปรอบๆ ซ้ายขวาหนึ่งหนแล้ว ก็หยิบผักสด เช่น มะเขือยาว พริก ผักโขม ออกมาไม่น้อยจากในมิติช่องว่างอย่างระมัดระวัง ขอแค่เป็ประเภทผักประเภทเดียวกับที่บ้านเก่ามี ล้วนหยิบออกมาไม่น้อยเลย น่าเสียดายที่ฟักทองของที่นี่เก็บเกี่ยวไปนานแล้ว ฟักทองลูกกลมดิกหลายสิบลูกในมิติช่องว่างจึงไม่สามารถหยิบออกมาได้ เมื่อไหร่จึงจะได้หยิบออกมาใช้สักทีนะ
เจินจูอืดอาดวุ่นวายอยู่ในสวนผักได้สักครู่ จึงกอดเต็มปุ้งกี๋ที่เต็มไปด้วยผักเดินเอื่อยๆ เข้าไปในห้องครัว
“เอ๊ะ เจินจู เ้าเก็บผักมาทำไมมากมายเช่นนี้ล่ะ พริกเยอะแบบนี้จะทานหมดได้เช่นไร” ชุ่ยจูชี้ไปที่ผักเต็มปุ้งกี๋แล้วะโ
“วันนี้ท่านลุงกับท่านพ่อกลับมา ต้มพริกเยอะหน่อยเถิดเ้าค่ะ” เจินจูหัวเราะร่าเริง แล้วเอาปุ้งกี๋ในมือวางลงบนแท่นเตา กล่าวเปลี่ยนเื่ขึ้นว่า “เย็นนี้ทำผักอันใดหรือ? ให้ข้าช่วยดีหรือไม่? เอ๊ะ ท่านย่าเล่า? ไปที่ใดแล้ว?”
บนใบหน้างดงามของชุ่ยจูขมวดคิ้วขึ้นอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ส่ายศีรษะหัวเราะแล้วกล่าว “คำถามเยอะเสียจริง ท่านย่าไปซื้อเนื้อที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน เย็นนี้มีเนื้อทาน เ้าช่วยเอาผักโขมไปล้างที อีกเดี๋ยวต้มน้ำแกงเห็ดทานกันเถิด”
“อื้ม ได้เลย ข้าไปเอาเห็ดสนก่อน ฤดูใบไม้ร่วงแห้งแล้ง ซดน้ำแกงเห็ดสนดีที่สุด” กล่าวไปพลางเดินออกไปด้านนอก
“ท่านพี่…” ผิงอันที่อยู่นอกบ้านหิ้วกรงไผ่อันหนึ่งไว้ในมือเดินเข้ามาอย่างเหนื่อยอ่อน หอบหายใจแล้วกล่าว “กระต่ายตัวนี้หนักเกินไปแล้ว ข้าเหนื่อยแทบตายแหนะ”
“กระต่าย?” เจินจูวิ่งเข้าไป มองไปยังข้างในกรง เป็กระต่ายสีเทาตัวหนึ่งจริงๆ นางถามออกไป “จับกระต่ายมาทำไมหรือ?”
ผิงอันเกาศีรษะแล้วมองนางหนึ่งที กล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ท่านแม่จับน่ะ ดูเหมือนว่าจะเอามาให้ท่านย่าทำอาหารบำรุงร่างกายให้ทุกคน”
เห็นว่าเจินจูไม่เชื่อถือ เขาจึงรีบโบกไม้โบกมืออธิบาย “ไม่ใช่เพราะข้าบอกว่าอยากจะทานเนื้อหรอกนะ เป็ท่านแม่จับด้วยตนเอง จริงๆ ”
“เฮ้อ พอแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว เป็ข้าที่คิดได้ไม่ละเอียดรอบคอบ เดิมทีก็น่าจะเป็เช่นนั้น เป็ท่านแม่ที่คิดได้ละเอียดรอบคอบนัก ท่านแม่เล่า? ทำไมไม่มาด้วยกัน?” ตอนนี้ที่บ้านมีกระต่ายโตเต็มวัยอยู่เจ็ดตัว ในนั้นมีตัวผู้สามตัว ตัวเมียเก็บไว้สืบพันธุ์ ตัวผู้สามารถฆ่าได้ตัวสองตัว ตามที่ทราบมาว่าฮาเร็ม [1] ของกระต่ายตัวผู้สามารถจุกระต่ายตัวเมียได้ประมาณสิบตัว ดังนั้นไม่ต้องกลัวปัญหาการผสมพันธุ์ตามธรรมชาตินี้
“ท่านแม่เฝ้าบ้าน ที่บ้านไม่มีคนไม่ได้ อีกเดี๋ยวข้าจะยกอาหารไปให้ท่านแม่เอง” ผิงอันทำงานนี้ได้ไม่มีตกหล่น บ้านของหูฉางกุ้ยอยู่ท้ายหมู่บ้าน แม้ไม่มีของมีค่าอะไร แต่ที่บ้านยากจน ครอบครัวอัตคัด เข็มหนึ่งเล่มด้ายหนึ่งเส้น [2] ยังได้มาอย่างลำบากยากเข็ญ
“พี่สาม ผิงอัน พวกท่านทำอันใดกัน?” ผิงซุ่นแกว่งน้ำเต้าสุรากลับมา
เจินจูเรียกเขาเข้ามาแล้วยิ้มตาหยี ชี้ไปที่ให้เขาดูกระต่ายด้วยตนเอง ผิงซุ่นดวงตาสว่างวาบโห่ร้องว่า “กระต่าย! พี่สาม ท่านจับกระต่ายมาทำไม?” เขามองเจินจูด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เจินจูยิ้มอ่อนโยน มองความคาดหวังที่ปรากฏในดวงตาของคนกินเก่งคนนี้ แล้วแกล้งหยอกล้อเขาอย่างจงใจว่า “จับมาเลี้ยงน่ะสิ จะให้จับมาทานได้หรือ?”
แสงสว่างในตาของผิงซุ่นมืดดับลงไป ส่งเสียง “อ้อ” หนึ่งเสียงออกมาอย่างเหี่ยวเฉา
“ท่านพี่ นี่จับมาทานน่ะ ท่านพี่ข้าหยอกท่านเล่น” ผิงอันข่มรอยยิ้มเอาไว้ เห็นเขาสีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวังก็อดที่จะอธิบายไม่ได้
ผลเป็ดังคาด สายตาของนักกินตัวน้อยผุดแสงประกายออกมาอีกครั้ง “เช่นนั้นเย็นนี้ก็มีเนื้อกระต่ายทานแล้ว! ว้าว! เยี่ยมจริงๆ! เย้”
ผิงซุ่นดีใจจนะโโลดเต้นขึ้นสูง หลังจากนั้นก็ยกมุมปากยิ้มกว้างอย่างไร้เดียงสาอยู่พักหนึ่ง
การแสดงออกทางสีหน้าที่น่าชมเช่นนี้ทำเอาเจินจูหัวเราะออกมาพักหนึ่ง เ้าเด็กนี่น่ารักไม่เบาเลย ชอบกินชอบเคลื่อนไหวแล้วยังค่อนข้างดื้อรั้นเล็กน้อยด้วย
ตอนเย็นหวังซื่อทำการปลิดชีพกระต่ายอย่างชำนาญแล้วเก็บขนกระต่ายไว้ทั้งหมด กระต่ายหนักประมาณห้าชั่ง ครึ่งหนึ่งนำมาผัดทอด อีกครึ่งหนึ่งนำมาผัดเครื่องปรุงน้ำแดง กลิ่นเนื้อหอมไปทั่วลานบ้านช่างดึงดูดต่อมรับรสชาติของคนยิ่งนัก ผิงซุ่นและผิงอันเด็กสองคนผลัดกันกลืนน้ำลายลงไปหลายอึก ดักรออยู่ตรงประตูห้องครัวไม่ยอมไปไหน
รอจนกับข้าวทั้งหมดวางอยู่บนโต๊ะแล้ว สีของท้องฟ้าก็มืดค่ำสนิท ที่บ้านเก่าแบ่งโต๊ะทานข้าวของชายและหญิงออกจากกัน บนโต๊ะตัวใหญ่เป็ชายชราหูตามด้วยบุตรชายและหลานชายที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน หญิงชราหูตามด้วยลูกสะใภ้และหลานสาวทานข้าวอยู่บนโต๊ะเล็ก หลังรอให้ชายชราหูเริ่มหยิบตะเกียบขึ้นมา ทุกคนล้วนมุ่งตะเกียบลงไปทางเนื้อกระต่ายทันที เนื้อกระต่ายหอมเผ็ดชุ่มปาก ใช้พริก ขิงแว่น กระเทียม ต้นหอม ฯลฯ ในการผัดทอดออกมา ข้างนอกเหลืองกรอบด้านในอ่อนนุ่ม รสชาติอร่อยนัก ส่วนเนื้อกระต่ายผัดเครื่องปรุงน้ำแดงสีสันมันวาวเปล่งปลั่ง กลิ่นหอมเนื้อนิ่ม เค็มสลับหวาน ทั้งคนแก่และเด็กต่างชอบความเหนียวนุ่มหอมหวานของผัดเครื่องปรุงน้ำแดง ไม่ถึงชั่วครู่เนื้อกระต่ายปรุงน้ำแดงนี้ก็หมดจนเห็นไปถึงก้นถ้วยแล้ว
เจินจูค่อนข้างชอบทานเผ็ด แต่บนโต๊ะอาหารของหลี่ซื่อกลับไม่เคยปรากฏพริกให้เห็นเลย ต้นพริกไม่กี่ต้นในสวนผักเหมือนของประดับก็ไม่ปาน อาหารหลายวันมานี้หากใช้คำหยาบคายพูดออกมาก็คือ ปากค่อยๆ หายสาบสูญไปจากนก [3] ดังนั้นตอนนี้มีแต่นางที่ริมฝีปากแดงเรื่อ เผ็ดเสียจนอยากพ่นลมออกจากปาก แต่ในปากยังคงเคี้ยวเนื้อกระต่ายเผ็ดหอมอยู่ ทานจนแทบจะะโโลดเต้นดีใจ
เหลียงซื่อเดิมเป็คนชอบทานเผ็ด แต่เป็เพราะร่างกายตั้งครรภ์อยู่ไม่สามารถทานได้เยอะ มองเจินจูที่เผ็ดจนหน้าตาบิดเบี้ยวแล้ว อดหิวขึ้นมาบ้างไม่ได้ นางเม้มปากแล้วกล่าว “เจินจู เ้าเปลี่ยนมาทานเผ็ดเช่นนี้ได้ั้แ่เมื่อใดกัน ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนเ้าไม่ชอบทานเผ็ดหรือ?”
“โอ้ ่นี้ข้าค่อนข้างเหนื่อยจึงชอบทานกับข้าวเผ็ด” เจินจูกุเหตุผลขึ้นมา แล้วชำเลืองมองไปทางโต๊ะใหญ่ทีหนึ่ง “ป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านดูสิ ผิงซุ่นทานเผ็ดแล้วทานได้น่าเจริญอาหารนัก”
เหลียงซื่อชำเลืองมองไป เป็ไปตามนั้นจริง ปากผิงซุ่นมันขลับแดงไปหมด เผ็ดเสียจนเหงื่อออกไปทั่วทั้งศีรษะ เหลียงซื่อเห็นเช่นนั้นแล้วอดสงสารไม่ได้จึงกล่าวว่า “ผิงซุ่น อย่าทานพริกเยอะเช่นนั้น ประเดี๋ยวจะปวดท้องเอาได้”
“ท่านแม่ ไม่เป็ไร ข้าไม่กลัวเผ็ด” ผิงซุ่นมีเนื้ออยู่ในปากเต็มไปหมดทำให้ตอบได้ไม่ชัดนัก
“อย่าบังคับเขาเลย เขาเหมือนลูกวัวตัวน้อย ทานได้ก็ทานให้มากหน่อย เ้าเองก็ทานให้มากด้วยเล่า” หวังซื่อคีบเนื้อกระต่ายผัดเครื่องปรุงน้ำแดงให้เหลียงซื่อ แล้วหันกลับมาคีบให้เจินจู “เจินจูก็ทานเยอะๆ นะ กระต่ายนี้ล้วนเป็คุณงามความดีของเ้า วันนี้เองก็ลำบากชุ่ยจูแล้ว ทานเยอะๆ หน่อยเถิด”
หลังคีบให้ทั้งโต๊ะเสร็จแล้วนางค่อยคีบชิ้นเนื้อไปในถ้วยของตนเองแล้วทานเข้าไป
พักหนึ่งผ่านไปอย่างไวว่องเสมือนพายุหอบเอาเศษปุยเมฆ ความเร็วในการทานอาหารจึงค่อยๆ ช้าลง เริ่มทานไปด้วยคุยไปด้วย นางก็ได้ยินเพียงหูฉางหลินเล่าๆ หยุดๆ
“สกุลเหอเป็คหบดีในชนบทที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงเฉวียน ในบ้านมีประชากรมากและมีทรัพย์สมบัติมหาศาล ครั้งนี้รื้อแล้วสร้างลานบ้านใหม่ ข้ากับฉางกุ้ยติดตามท่านอาหลิ่วไปลำเลียงพวกวัสดุไม้และทรายกับหินไปๆ กลับๆ ทุกวัน บางครั้งก็ทำงานใช้แรงทั่วไป ทุกวันได้เงินคนละสามสิบเงินเหวิน [4] ทำอยู่หนึ่งเดือนสิบวัน รวมกันแล้วไม่น้อยกว่าเงินทองแดงเลย วิ่งออกไปทำงานหนนี้ไม่แย่นัก น่าเสียดายที่ต่อมาฝนตกอยู่ไม่กี่วัน ส่งผลให้งานบางอย่างทำไม่สำเร็จ เมื่อเห็นว่ากำลังเตรียมเข้าหน้าหนาว สกุลเหอจึงบอกหยุดทำงานก่อน”
หูฉางหลินทั้งหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย ทำงานอีกสองสามวันยังได้เงินเพิ่ม มีนายจ้างไม่มากที่ใจกว้างสะดวกสบายได้เท่าสกุลเหอ หากไม่ใช่ว่ามีท่านอาหลิ่วพาไป พวกเขาจะสามารถหางานที่มีค่าแรงสูงเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน? ต่อไปต้องหาเวลาว่างกับฉางกุ้ยเอาของขอบคุณไปให้ที่บ้านท่านอาหลิ่วจึงจะดี
หนึ่งวันสามสิบเหวิน? เช่นนั้นหนึ่งเดือนสิบวันมิใช่หนึ่งพันสองร้อยเหวินหรือ?
เชิงอรรถ
[1] ฮาเร็ม หมายถึง สถานที่ที่จัดไว้ให้เป็ที่อยู่ของบรรดานางสนมหรือนางบําเรอของพระเ้าแผ่นดิน ผู้มีอำนาจ หรือเศรษฐีที่เป็มุสลิม มักจะเป็ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกกลางและอินเดียสมัยที่มุสลิมปกครอง เป็ต้น ในที่นี้เปรียบกระต่ายตัวเมียเป็นางสนม และกระต่ายตัวผู้เป็ผู้มีอำนาจ
[2] เข็มหนึ่งเล่มด้ายหนึ่งเส้น หมายถึง เศษเล็กเศษน้อย
[3] ปากค่อยๆ หายสาบสูญไปจากนก หมายความว่า อาหารไร้รสชาติ เป็คำพูดของเหลียงซาน หนึ่งในหกยอดนิยายคลาสสิคของจีน เื่ ซ้องกั๋ง หรือวีรบุรุษเขาเหลียงซาน
[4] 文 เหวิน เป็หนึ่งในสกุลเงินจีนสมัยก่อน มีทั้งเงินเหรียญและเงินกระดาษ ซึ่งเรียกตามชื่อนิกายนิกายหนึ่ง