ทุ่งเพลิงกัลป์แห่งนี้เป็สถานที่ที่มีชื่อเสียงมากในโลกเื้ั มีตำนานเล่าว่า เมื่อร้อยปีก่อนตอนที่ประตูแห่งโลกเื้ัเปิดออก ได้มีพวกนักรบปีศาจนับพันตนปรากฏกายขึ้นที่นี่ และสุดท้ายนักรบปีศาจเ่าั้ก็ถูกศิษย์มากพร์จากสำนักประลองเต๋าจัดการทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว และผลของการสังหารนักรบปีศาจทั้งหมดนั้นคือเกิดทะเลเพลิงขึ้น ไฟจากทะเลเพลิงนั้นเผาไหม้ติดต่อกันถึงสามวันสามคืน แม้หลังจากนั้นไฟจะดับลงแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนระอุ ด้วยเหตุนี้ที่นี่จึงถูกขนานนามว่าทุ่งเพลิงกัลป์
เมื่อหลัวเลี่ยรู้เื่ตำนานนี้ เขาก็เข้าใจว่าการเลือกสถานที่นัดชุมนุมเป็ทุ่งเพลิงกัลป์แห่งนี้น่าจะผ่านการคิดมาอย่างดีแล้ว
ก่อนอื่นคนที่เรียกรวมพลต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแน่ เพราะเขาก็ปิดบังตัวตนด้วยหมอกเหมือนหลัวเลี่ย ซึ่งนี่เป็การบอกโดยนัยว่าเขาอาจใช้เื่ผู้มีฝีมือระดับสูงของสำนักประลองเต๋ามาสร้างความมั่นใจให้กับคนอื่น
อีกเื่คือเื่ของทุ่งเพลิงกัลป์แห่งนี้โด่งดังมาก ดังนั้นด้วยตำนานนี้จึงทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยและเบาใจลงได้
อาจมีบางคน้าสร้างกระแสให้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนเื่เมื่อร้อยปีก่อน
ยามนี้ก็ใกล้จะถึงเวลานัดรวมพลแล้ว คนทั้งสองกลุ่มจึงเดินไปยังสถานที่นัดหมายด้วยกัน
โดยมีหลัวเลี่ยและมู่เจี้ยนเฟยเดินนำขบวน
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงมีโอกาสได้พูดคุยกัน
เมื่อได้พูดคุยกัน หลัวเลี่ยก็ััได้ว่ามู่เจี้ยนเฟยเชื่อมั่นในฝีมือของเขามาก จนอยากจะท้าประลองเพื่อฝึกฝนวิชายุทธ์กับเขา
เพราะวิชายุทธ์และพลังของเขาไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาจนหมด
ดังนั้นโดยพื้นฐานของผู้ฝึกวรยุทธ์แล้ว ทุกคนย่อมต้องอยากประลองฝีมือเพื่อเรียนรู้จากผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
เมื่อกลุ่มคนทั้งสองกลุ่มที่ไม่คุ้นเคยได้มาเจอกัน พวกเขาก็จับกลุ่มกันสนทนาถึงประสบการณ์ต่างๆ คนที่ติดตามหลัวเลี่ยอย่างจั่วซุนเล่าว่า หลัวเลี่ยได้ทำการสังหารอสูรัราตรีด้วยตนเอง และยังเล่าอีกว่า หลัวเลี่ยบรรลุวิชารวมพลังสร้างธนูถึงระดับถ่องแท้จากการฝึกฝนยิงธนูเพียงยี่สิบเจ็ดลูก ด้วยเื่ราวที่จั่วซุนเล่านี้ทำให้ทุกคนต่างตื่นใ
“ข้ามีคำถามหนึ่งที่ติดอยู่ในใจมาตลอด” มู่เจี้ยนเฟยมองไปที่หลัวเลี่ย
“คงไม่ได้จะถามถึงตัวตนที่แท้จริงของข้าใช่หรือไม่” หลัวเลี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
มู่เจี้ยนเฟยส่ายหัว “ในเมื่อเ้าไม่เต็มใจที่จะบอก เช่นนั้นข้าก็จะไม่ถาม สิ่งที่ข้าจะถามก็คือ เ้ามาจากกองกำลังใหญ่หรือไม่”
หลัวเลี่ยตอบว่า “กองกำลังใหญ่ที่ไหน”
“สำนักประลองที่สร้างขึ้นจากบรรพชน”
“พี่มู่ ทำไมพี่ถามแบบนี้”
“ขออภัย แต่เ้าช่วยตอบข้าก่อนเถิด”
หลัวเลี่ยยักไหล่ “ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักประลองใดๆ”
หลัวเลี่ยไม่ได้พูดต่อไปถึงเื่ราวความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลข่ง เพราะขาคิดว่าเขาควรปิดเื่นี้เอาไว้ก่อน
“จริงหรือ?” มู่เจี้ยนเฟยไม่ค่อยเชื่อนัก
“จริง!” หลัวเลี่ยตอบอย่างหนักแน่น
มู่เจี้ยนเฟยจึงกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าอาจจะเดาผิดไปเอง โชคดีที่ข้าจะได้พบกับสองยอดฝีมือที่เป็ศิษย์ของเจียงจื่อหยาและเหวินจง พวกเขาทั้งสองคนเป็ถึงผู้ที่มีพร์มากที่สุดในรอบพันปีเชียวนะ และข้าคิดว่าเ้าก็ดูคล้ายพวกเขาอยู่นิดหน่อย”
หลัวเลี่ยหัวเราะเสียงดัง และพูดว่า “เป็ไปไม่ได้หรอก”
แต่เขาก็สนใจคำพูดของมู่เจี้ยนเฟยที่กล่าวว่า ทั้งสองเป็ศิษย์ผู้มีพร์ของเจี่ยงจื่อหยาและเหวินจง
ไม่รู้ว่าผู้มีพร์นั้นจะสู้กับเขาได้หรือไม่ เขารอคอยที่จะพิสูจน์เื่นี้แล้ว
ในตอนที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนอื่นมาเข้าร่วมกับกลุ่มของพวกเขามากขึ้น
ยิ่งกลุ่มใหญ่ขึ้น ข่าวสารต่างๆ ก็ยิ่งแพร่กระจายออกไปได้เร็วขึ้น คนภายในกลุ่มเองก็ติดต่อชักชวนคนที่ตนเองรู้จักให้มาเข้าร่วมด้วยกัน
พวกเขาไม่เจอนักรบปีศาจอีกเลย เพราะั้แ่ที่ทั้งสองกลุ่มมารวมกันทำให้เกิดเป็คนกลุ่มใหญ่ และส่งเสียงดังไปทั่ว
ขณะที่พวกเขาเดินทาง ทุกคนต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังขึ้น
ต้นเสียงกรีดร้องดังมาจากในฝูงชน ทุกคนจึงถอยออกไปจุดนั้นอย่างรวดเร็ว
ต้นเหตุของเสียงกรีดร้องนั้นคือร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง ผิวของเขาค่อยๆ กลายเป็สีเขียวอมเทา และแผ่ลามไปทั่วร่างกาย ในที่สุดดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็สีเขียวอมเทาเช่นกัน เล็บมือทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็มีลักษณะแหลมคม และมือข้างซ้ายของเขาก็กำลังถอนออกจากหน้าอกของหญิงสาวคนหนึ่งอย่างช้าๆ
หญิงสาวคนนั้นกำลังจะตาย ดวงตาของนางเบิกกว้าง นางมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ และสุดท้ายนางก็ค่อยๆ ล้มลง
”เกิดอะไรขึ้น!”
“เขากลายเป็นักรบปีศาจแล้ว”
“เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือว่าเื่นี้จะเกี่ยวข้องกับขุนพลปีศาจ”
ผู้คนถอยหนีอย่างรวดเร็วด้วยความกลัว
หลัวเลี่ยและมู่เจี้ยนเฟยรีบเดินไปที่จุดเกิดเหตุนั้น มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ไม่กลัวจะถูกเปลี่ยนเป็นักรบปีศาจ
“นี่มันคือเื่อะไรกัน” มู่เจี้ยนเฟยก็ตกตะลึงกับเื่นี้เช่นกัน เขาไม่เคยได้ยินเื่แบบนี้มาก่อน
ไม่มีใครตอบ
มันกะทันหันเกินไป และหลายๆ คนก็ยังคงใอยู่ พวกเขามองดูผู้คนรอบตัวด้วยความหวาดระแวง
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของผีเสื้อแห่งรักก็ดังขึ้น
“ดูเหมือนว่าเราจะเข้าสู่ทางตันแล้วจริงๆ”
หลัวเลี่ยและคนอื่นๆ หันกลับมามองที่นาง
ผีเสื้อแห่งรักมองดูชายหนุ่มที่กลายร่าง แล้วพูดขึ้นช้าๆ “ทั้งบุปผางามอาบพิษและขุนพลปีศาจล้วนเป็ตำนานครึ่งแรกที่คนทั่วไปได้รับรู้ แต่ความจริงแล้วยังมีตำนานอีกส่วนหนึ่งที่เป็เื่ราวในครึ่งหลัง”
“เื่ราวอะไร”
ใครบางคนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นเสียงดัง
ผีเสื้อแห่งรักพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคง “มีเทพผู้หนึ่ง้า่ชิงตำแหน่งยอดบรรพชน เขาจึงเปลี่ยนตัวเองให้เป็ขุนพลเทพอสูร จากนั้นเขาก็ได้เริ่มาขึ้น และเืเนื้อที่ได้หลั่งไหลในานั้นก็กำเนิดเป็ขุนพลอสูร”
“พลังของขุนพลอสูรมีมากกว่าขุนพลปีศาจ”
“ขุนพลปีศาจไม่เพียงถือกำเนิดในพื้นที่ช่องว่างระหว่างโลกและประตูแห่งโลกเื้ั แต่ยังสามารถเติบโตและพัฒนาพลังให้ก้าวสู่ระดับขุนพลอสูรและระดับเทพได้”
“เมื่อขุนพลอสูรกลายเป็เทพได้แล้ว ก็จะช่วยส่งเสริมให้ขุนพลเทพอสูร่ชิงตำแหน่งยอดบรรพชนได้สำเร็จเช่นเดียวกัน”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก
ตอนแรกที่พวกเขารับรู้เกี่ยวกับเื่ขุนพลปีศาจ พวกเขาก็กลัวมากแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขายังมารับรู้เื่ราวที่เลวร้ายกว่าขุนพลปีศาจอีก ใครจะคาดคิดว่าจะมีขุนพลเทพอสูรปรากฏกายขึ้นบนดินแดนแห่งนี้
“ข้าไม่เคยคิดว่าขุนพลเทพอสูรจะมีจริง” มู่เจี้ยนเฟยที่หายใแล้วกล่าวขึ้น
“นั่นเป็เพราะผู้คนให้ความสนใจแค่เื่ที่จะเข้ามาฝึกในโลกเื้ั นอกจากนี้พวกเรายังสำรวจที่นี่น้อยมาก และที่แห่งนี้ก็ถูกสร้างขึ้นจากขุนพลเทพอสูรอีกด้วย ใครจะรู้ว่าเขาซ่อนอะไรไว้ตรงไหนบ้าง และเพราะเหตุการณ์เมื่อหนึ่งพันปีก่อนนั้น สำนักประลองเต๋าไม่้าให้คนทั่วทั้งดินแดนเหยียนหวงตื่นตระหนก พวกเขาจึงไม่เปิดเผยเื่นี้ออกไป แต่ตอนนี้ขุนพลอสูรปรากฏตัวแล้ว ข้าจึงจำเป็ต้องพูดเื่นี้ออกมา และข้าจะบอกพวกเ้าอีกอย่างหนึ่งว่า นี่คือการปรากฏตัวครั้งแรกของขุนพลอสูร” ผีเสื้อแห่งรักกล่าว
มู่เจี้ยนเฟยถามว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางได้ยินเื่นี้มาจากที่ใดหรือ”
ผีเสื้อแห่งรักพูดอย่างนิ่งสงบ “แน่นอนว่าเป็ที่ที่ไม่ได้อยู่ในแปดร้อยแคว้นและสองอาณาจักรใหญ่”
มู่เจี้ยนเฟยหุบปากทันที
“ขุนพลอสูรสามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นักรบปีศาจได้หรือ?” หลัวเลี่ยถาม
ผีเสื้อแห่งรักพยักหน้า “ใช่ หากเป็ขุนพลปีศาจธรรมดาที่กำเนิดจากบุปผางามอาบพิษ มันจะดูดพลังจากมนุษย์ทำให้มนุษย์อ่อนแอลง และอาจร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียพลังวรยุทธ์ได้ แต่เมื่อมันสามารถพัฒนาเป็ขุนพลอสูรได้แล้ว มันจะไม่เพียงดูดพลัง แต่มันจะสามารถส่งเมล็ดพันธุ์ให้เข้าไปหยั่งรากลึกในจิตใจของผู้ที่โดนดูดพลังได้ เมื่อพลังภายในของผู้ที่โดนปลูกเมล็ดพันธุ์นั้นโดนดูดออกไปเรื่อยๆ คนคนนั้นก็จะสูญเสียพลังภายในเกินกว่าจะหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์นั้นได้ ภายในเวลาครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นเขาก็จะกลายร่างเป็นักรบปีศาจทันที”
“สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำในตอนนี้ คือขอให้นักเวททั้งหมดออกมาร่ายเวทแห่งการชำระล้างจิตใจร่วมกัน และใครก็ตามที่มีความเป็ไปได้ที่จะกลายร่างก็ให้ออกมายืนรวมกันด้านหน้า”
“ก่อนที่เหล่านักเวทจะลงมือ พวกเรามาจัดการกับคนที่กลายร่างไปแล้วก่อนเถอะ”
หลัวเลี่ยง้างแขนแล้วยิงธนูออกไป
บูม!
คนที่กลายเป็นักรบปีศาจแล้วไม่มีโอกาสแม้แต่จะสู้กลับ เขาถูกยิงจนตายลงอย่างรวดเร็ว
จากนั้นนักเวทก็ออกมา
นักเวททั้งหมดร่วมกันร่ายคาถาชำระล้างจิตใจให้แก่คนที่มีแนวโน้มว่าจะกลายร่าง โดยที่ตัวนักเวทเองก็ไม่รู้ว่าตนเองก็จะกลายร่างเช่นกัน
ผลลัพธ์คือมีคนเจ็ดคนในบรรดานักเวทจำนวนหนึ่งร้อยคน ที่จู่ๆ ก็กลายร่างเป็นักรบปีศาจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้