ค่ำคืนนี้ มู่หรงเซียวได้ลากมู่หรงเยวี่ยนมายังโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็โรงน้ำชาเดียวกับที่นางเคยพบกับศิลปินนิรนามเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
ทว่า บรรยากาศของคืนนี้กลับแตกต่างออกไป เงียบงัน... วังเวง... ราวกับว่าถูกเหมาทั้งโรงน้ำชาอย่างไรอย่างนั้น
ค่ำคืนนี้ โรงน้ำชาจัดการแสดงโดยวงสังคีตจากแคว้นต้าชิง เป็การแสดงตำนานโศกนาฏกรรมของแคว้นๆ หนึ่ง เื่ราวของรัชทายาทและพระชายาผู้เป็ดั่งโชคชะตาดอกท้อ
เสียงดนตรีแ่เบา ท่วงทำนองชวนะเือารมณ์ เงาของนักแสดงที่เคลื่อนไหวไปตามบทบาทสะท้อนอยู่ในดวงตาของมู่หรงเซียว
หญิงสาวผู้สวมบทพระชายาที่เพิ่งแท้งบุตรกำลังร่ำไห้ ร่างบางของนางสั่นสะท้าน หยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มแลดูเ็ปอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาแฝงไปด้วยความสิ้นหวัง เสียงสะอื้นของนางช่างโศกเศร้าจนหัวใจพลันหน่วงหนัก
มู่หรงเซียวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ว่าเหตุใดภาพนี้จึงทำให้นางรู้สึกปวดใจนัก...ทำไมนางต้องร้องไห้ให้กับโชคชะตาของสตรีผู้นั้นด้วย?
ทั้งที่เป็เพียงเื่เล่า เหตุใดหัวใจของนางกลับบีบรัดอย่างน่าประหลาด แววตาของนักแสดงผู้นั้น ไม่เหมือนกำลังสวมบทบาท แต่ราวกับเป็ความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริง
"เสด็จพี่..."
มู่หรงเซียวเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะหันไปหาพระเชษฐา
"การแสดงดีทีเดียว แต่ข้าว่ามันเศร้าเกินไป ข้าไม่อยากโศกเศร้าในคืนนี้... เราไปที่อื่นกันเถอะ"
มู่หรงเยวี่ยนหันมองน้องสาว ดวงเนตรลึกล้ำพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะพยักหน้ารับโดยไม่ซักถาม
ในค่ำคืนนี้ นางไม่ได้้าความเศร้าเช่นนี้ นางไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า เื่ราวบนเวทีนั้นเป็เื่ราวของใครกัน
"งั้นข้าจะจ่ายค่าอาหาร เ้าทนไม่ไหวก็ออกไปรอด้านหน้าเสีย และที่สำคัญคืออย่าซุกซน"
มู่หรงเยวี่ยน พูดดักคอไว้ก่อน ด้วยรู้ดีว่าน้องสาวคนนี้มักหาเื่ปวดหัวมาให้เขาเสมอ
"ข้ารู้แล้ว เสด็จ... เอ่อ พี่ใหญ่"
มู่หรงเซียวเอ่ยกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหมุนกายเดินออกไป วันนี้นางยังคงสวมอาภรณ์บุรุษเช่นเดิม ทว่ารูปโฉมของนางกลับงามเกินไปจนมักจะกลายเป็ปัญหา
ขณะเดินออกมายังด้านหน้าโรงน้ำชา กลิ่นหอมประหลาด พลันโชยแตะจมูก นางหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัว
หอม... และคุ้นเคยกับมันเหลือเกิน
แต่เป็กลิ่นของสิ่งใดกัน? คล้ายกำยานจันทน์หอม ทว่ามีความเย็นเยียบเจือปนบางเบา ราวกับไอหมอกในยามรุ่งสาง
"อึก!"
มัวแต่เหม่อจนไม่ทันระวัง เท้าบางก้าวพลาดไปเบื้องหน้า และก่อนที่ร่างของนางจะร่วงลงสู่พื้น
"หมับ!"
ฝ่ามือใหญ่ของใครบางคนได้คว้าแขนของนางไว้แน่ ััอบอุ่นประคองร่างนางไว้อย่างมั่นคง และกลิ่นหอมประหลาดที่นางเพิ่งสูดเข้าจมูกเมื่อครู่ ก็ลอยอวลอยู่ตรงนี้จากตัวบุรุษผู้นี้
"ขอบคุณท่านมาก"
มู่หรงเซียวเงยหน้าขึ้น เสียงของนางแม้จะมั่นคงดี แต่หัวใจกลับเต้นแรงผิดจังหวะ
ภาพที่ปรากฏในสายตาคือบุรุษผู้หนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ สง่างาม ดวงตาสีทองลึกล้ำราวกับพญาเหยี่ยว จ้องมองลงมาด้วยแววตายากจะหยั่งถึง
ราวกับสายลมอันเยียบเย็นปะทะเข้ากับผิวกาย ดวงตาคู่นั้นแม้จะสว่างไสว ทว่าแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นและอำนาจอันน่าหวาดหวั่น
สายตาที่จับจ้องราวกับ... นางเคยทำสิ่งใดให้เขาโกรธเคืองมาก่อน
"เอ่อ... คุณชาย ปล่อยข้าได้แล้วขอรับ"
บุรุษนิรนามยังคงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือนางไปในที่สุด
"อาเซียว มีอันใดหรือ ทำไมสีหน้าของเ้าดูไม่ดีเลย?"
เสียงของมู่หรงเยวี่ยนดังขึ้น พร้อมกับร่างของพระเชษฐาที่ก้าวมาหานาง
"ข้า..."
มู่หรงเซียวรีบหันกลับไปมองรอบตัว แต่บุรุษผู้นั้นหายไปแล้ว!
"ไม่มีอะไร เสด็จพี่... เอ่อ พี่ใหญ่ เรารีบกลับกันดีกว่า"
นางกระพริบตา ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวตามพระเชษฐากลับวังหลวงไป
ทว่า ดวงตาสีทองคู่หนึ่ง ยังคงจับจ้องแผ่นหลังของนางจากเงามืด สายตาที่ทอดมองราวกับว่ามีบางอย่างถูกจุดประกายในห้วงลึกของจิตใจ
สายตาที่เต็มไปด้วย "ความรัก" แต่กลับแฝงไว้ด้วย "โทสะ"
"เสด็จพี่ ข้ากลับมาแล้ว ไม่ทราบว่าโรงน้ำชาของข้าทำให้พึงพอพระทัยหรือไม่?"
เสียงทุ้มดังขึ้น พร้อมกับร่างของบุรุษสูงโปร่งผู้หนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ เขาสวมอาภรณ์สีเขียวอ่อนตัดลายเงิน รูปโฉมหล่อเหลาแฝงแววเสน่ห์แบบคนเ้าสำราญ ท่วงท่าสบายๆ ไม่รีบร้อน ทว่าดวงตากลับฉายแววเฝ้าระวัง
“หวังหย่ง” มองพระเชษฐาของตนด้วยความเป็ห่วง แม้จะเชื่อมั่นว่าไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย แต่เขาก็อดถามไถ่ไม่ได้
"ข้าสบายดี"
สุรเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น หวังเฟิ่งเงยพระพักตร์ขึ้นจากถ้วยชา ดวงเนตรสีทองลึกล้ำจับจ้องบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า
"หวังหย่ง ไม่ได้พบกันหลายปี เ้าเป็อย่างไรบ้าง หรือเสเพลจนลืมไปแล้วว่าเ้ายังมีงานรออยู่?"
"เสด็จพี่อย่าบังคับข้าเลย"
หวังหย่งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะทรุดกายนั่งลง
"ข้าชอบชีวิตที่สงบแบบนี้มากกว่า อย่างน้อยความเสเพลของข้า ก็ทำให้ท่านได้พบนางมิใช่หรือ?"
"..!"
ปลายนิ้วที่กำลังแตะขอบถ้วยชาของหวังเฟิ่งหยุดนิ่งทันที คำว่า "นาง" เพียงคำเดียว... กลับทำให้ทุกความรู้สึกเดิมพลันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะได้พานพบกับนางอีกครั้ง แต่นางกลับมิได้จำอะไรได้เลย มิเป็ไร หากนางจำอะไรไม่ได้ เขาจะเป็คนรื้อฟื้นความทรงจำของนางด้วยตัวเอง
และที่สำคัญ...เขาจะทำให้นางตอบคำถาม ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น นางทำลงไปด้วยเหตุผลใดกันแน่
วันดีๆ ในฤดูใบไม้ร่วงช่างงดงามเป็พิเศษ เมื่อดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่เหนือท้องฟ้า เจิดจ้าประหนึ่งกำลังประทานพรให้กับองค์หญิงผู้เป็เ้าของงาน
ในที่สุดก็ถึงวันทำพิธีปักปิ่นขององค์หญิงมู่หรงเซียว พระธิดาเพียงองค์เดียวที่ประสูติจากฮองเฮาหวงจินเหลียนที่ฮ่องเต้ของแคว้นเจียงหนานแสนจะรักยิ่ง และด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้จึงทรงโปรดปรานมู่หรงเซียวเป็ที่สุด
องค์หญิงน้อยเติบโตมาท่ามกลางความรักและความทะนุถนอม นิสัยซุกซน ขี้อ้อน ทำให้ไม่ว่าใครก็ยากจะปฏิเสธนางได้ ไหนจะมี พระเชษฐาผู้หวงแหนนางเกินใคร ช่างเป็สตรีที่โชคดีนักในแคว้นเจียงหนาน
พิธีปักปิ่นครั้งนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ สมฐานะองค์หญิงแห่งแคว้นที่อุดมสมบูรณ์
ทั่วทั้งตำหนักหลวงถูกประดับประดาด้วยผ้าไหมชั้นดี ซึ่งเป็สินค้าขึ้นชื่อของแคว้น สตรีสูงศักดิ์ล้วนแต่งกายด้วยอาภรณ์งามวิจิตร ลวดลายปักทองอ่อนละมุนสะท้อนแสงคบไฟระยิบระยับ
ราชทูตและองค์ชายจากแคว้นต่างๆ ทยอยเดินทางมาถึง แต่กระทั่งถึงบัดนี้เหลือเพียงแค่แคว้นต้าชิงที่ยังมิได้ส่งผู้แทนเข้ามา
ในบรรดาแคว้นพันธมิตร แค้วนต้าชิงถือเป็แคว้นที่แข็งแกร่งที่สุด ทั้งอาณาเขตกว้างใหญ่ ทั้งกองกำลังที่เปรียบดั่งป้อมปราการเหล็ก นักรบของต้าชิงเป็ที่เลื่องลือไปทั่วใต้หล้า ยากที่แคว้นใดจะกล้าต่อกร ยากที่แคว้นใดจะไม่หวาดเกรง
"ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าชิงเสด็จ!"
เสียงขันทีประกาศก้องกลางท้องพระโรง ร่างของเขาสั่นเล็กน้อย หยาดเหงื่อผุดพรายเต็มแผ่นหลัง
ไม่เคยมีผู้ใดคาดคิดว่าผู้สูงศักดิ์ที่สุดในต้าชิงจะเสด็จมาร่วม พิธีปักปิ่นขององค์หญิงแห่งแคว้นเล็กๆ เช่นนี้!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้