บนโลกนี้ไม่มีประตูที่ไม่มีช่อง แน่นอนว่าย่อมไม่มีความลับใดที่เป็ความลับจริงๆ
หลี่หลินนำเด็กรับใช้ของเขาเดินชมทั่วเมือง เข้าใจว่าที่นี่ไม่มีใครรู้จักเขาจึงเดินอย่างสบายอกสบายใจยิ่งนัก
น่าเสียดาย คืนนั้นท่านเ้าเมืองที่กำลังโอบเอวอนุดื่มสุราฟังดนตรีนามว่าจ้าวจื้อเกาก็ได้ทราบข่าวการมาถึงของเขา
พ่อบ้านคนหนึ่งกำลังล้มลุกคลุกคลานเข้ามาหาเขาด้วยความรีบร้อน ทำเอาอนุตัวน้อยที่เพิ่งถอดอาภรณ์ไปได้ครึ่งหนึ่งต้องรีบร้อนใส่กลับเข้าไปใหม่อย่างตกอกใ จากนั้นก็ะโด่าว่า “ตาบอดหรืออย่างไร ไม่เห็นหรือว่านายท่านกำลังพักผ่อนอยู่”
พ่อบ้านคนนี้ติดตามจ้าวจื้อเกามาั้แ่ตอนอยู่ที่เมืองหลวง ยามปกติเขาไม่เคยเห็นอนุคนนี้อยู่ในสายตา ยามนี้จึงยิ่งไม่ใส่ใจเสียงของนาง รีบพุ่งไปยืนตรงหน้าจ้าวจื้อเกาที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น แล้วเข้าไปกระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค
จ้าวจื้อเกาใจนกระเด้งตัวขึ้นมา ไขมันทั่วร่างกระเพื่อมไหว
“อะไรนะ เ้าเห็นชัดแล้วแน่หรือ”
“แน่นอนขอรับ ต่อให้ข้าจะกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าหลอกลวงท่านหรอกขอรับ หลี่หลินคนนั้นมีฉายาว่าพญายมหลี่ เขาไม่เคยยั้งมือไว้ไมตรีต่อใคร มีชื่อเสียงยิ่งนักในเมืองหลวง ยามนี้เขามาถึงเมืองของเรา นายท่าน เื่นี้..”
“เร็วเข้า รีบไปตามที่ปรึกษามา”
จ้าวจื้อเกาใทำอะไรไม่ถูก เขาไม่แม้แต่จะหยุดคิด ให้คนไปเรียกที่ปรึกษาที่เขาไว้วางใจมาทันที
แต่พ่อบ้านคนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหว กลับกวาดตามองอนุนางนั้นไปทีหนึ่ง
จ้าวจื้อเกาเองก็ไม่โง่ นึกขึ้นได้ว่าอนุคนนี้เป็หลานสาวห่างๆ ของที่ปรึกษา พ่อบ้านมีท่าทีเช่นนี้เกรงว่าคงมีเื่ลับบางอย่างจะรายงาน เขาจึงโบกมือให้นางออกไปก่อน
อนุคนนั้นมีท่าทีไม่ยินยอมเล็กน้อย ยังคิดจะขึ้นหน้าไปออดอ้อนต่ออีกสักหน่อย แต่จ้าวจื้อเกากลับซัดถ้วยชาลงบนพื้นอย่างเกรี้ยวกราด นางจึงรีบวิ่งหนีไปอย่างน้อยเนื้อต่ำใจน้ำตาไหลริน
พ่อบ้านคนนั้นรู้สึกสะใจเป็ที่สุด แต่ก็ไม่กล้าชักช้า รีบเล่าข่าวลือที่เขาได้ยินมาให้นายท่านฟังอย่างรวดเร็ว
“บ่าวตั้งใจไปสอบถามมาทั่วแล้วขอรับ เื่ที่ใต้เท้าหลี่คนนั้นสอบถามโดยมากก็เป็เื่ว่าราษฎรมีความเป็อยู่ดีหรือไม่ รวมถึงเื่ราคาข้าวราคาเกลือ แต่นอกจากเื่พวกนี้ เื่ที่ถามมากที่สุดคือเื่ของหุบเขาหมี”
“หุบเขาหมี?” จ้าวจื้อเกาได้ยินแล้วก็รู้สึกงุนงงระคนแปลกใจเล็กน้อย เขาเป็บุตรชายสายตรงคนโตของสกุลจ้าวในเมืองหลวง แต่เนื่องจากแม่เลี้ยงของเขามีอำนาจมาก สุดท้ายจึงทำให้บุตรชายแท้ๆ ของนางกลายเป็ผู้นำตระกูลแทน เขาที่โกรธเกรี้ยวจึงตัดสินใจมารับตำแหน่งเป็ขุนนางท้องถิ่นไกลถึงเมืองเป่ยอันแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็สถานที่ทุรกันดารอยู่บ้าง แต่ฟ้าสูงฮ่องเต้ไกล เื่ราชการทั้งหลายก็โยนให้เป็หน้าที่ของที่ปรึกษา เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีและสุขสบาย
แน่นอนว่าคนอย่างเขาย่อมไม่เคยไปยังหุบเขาหมีอะไรนั่นมาก่อน
เขาจึงไม่รู้ว่าหุบเขาหมีที่่นี้เป็หัวข้อสนทนาสำคัญของพวกชาวบ้านอยู่ที่ไหน
พ่อบ้านจึงจำต้องอธิบายอย่างละเอียด จบแล้วจึงเอ่ยว่า “คุณชายตู้เหมือนจะรังแกคนพวกนั้นหนักข้อเกินไป การกระทำชั้นต่ำอย่างออกนอกหน้าไปหน่อย จึงมีความเป็ไปได้ว่าสกุลลู่จะไปฟ้องร้องเื่นี้เอากับใต้เท้าหลี่ นายท่าน ท่านว่าเื่นี้ควรจัดการเช่นไรดีขอรับ”
“คุณชายตู้เ้าสุนัขนั่น”
เมื่อจ้าวจื้อเกาได้ยินว่าหลานชายสุนัขของที่ปรึกษาสุยสร้างเื่ใหญ่เช่นนี้ขึ้น ก็โกรธจนก่นด่าออกมา พูดจบก็เอ่ยกับพ่อบ้านว่า “ไปสืบมาอีก ไปถามมาให้ชัดเจน หากว่าเป็สกุลลู่ที่ไปฟ้องร้องจริงๆ เื่นี้ก็รีบผลักไปให้ที่ปรึกษา ตัวข้าไม่อาจรับเคราะห์แทนเขาได้”
“ขอรับๆ นายท่าน”
พ่อบ้านคนนั้นมาไวไปไว รีบรุดไปสืบข่าวอีกครั้ง กลางดึกคืนนั้นถึงได้ข่าวที่น่าเชื่อถือกลับมา เป็จริงดังคาด เป้าหมายของหลี่หลินก็คือเื่หุบเขาหมีจริงๆ เพราะขนาดอาลักษณ์ที่จัดการเื่โฉนดในศาลาว่าการยังถูกเรียกตัวไปสอบถามแล้ว
จ้าวจื้อเกาย่อมไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป เขาออกหนังสือราชการประกาศริบตำแหน่งที่ปรึกษาสุยอย่างรวดเร็วในคืนนั้น
ข้าราชการฝ่ายทหารที่ทำงานในศาลาว่าการต่างถูกเรียกตัวอย่างเร่งด่วน ถือกระบองและท่อนไม้บุกถึงบ้านที่ปรึกษาสุย
สองสามวันมานี้ที่ปรึกษาสุยเองก็กำลังว้าวุ่นใจ พี่หญิงที่ตายไปมีทายาทอยู่เพียงคนเดียว ยามปกติถึงแม้จะบอกว่าเขาไม่เอาถ่าน แต่จะอย่างไรก็เป็หลานชายแท้ๆ ของตน สุดท้ายไม่กี่วันก่อนกลับถูกเฟยเตียวสีดำเล่นงานกลับมาจนสภาพดูไม่ได้ ให้ท่านหมอมาตรวจเขียนเทียบยาทำการรักษาให้ ก็เอาแต่ร้องโวยวายทั้งเจ็บทั้งคันจนคนทั้งจวนไม่ได้อยู่อย่างสงบ เขาเกาาแที่ตกสะเก็ดจนมันเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาคิดจะล้างแค้นแทนหลานชาย แต่ภรรยาไม่เห็นด้วยจึงมีปากเสียงกันใหญ่โต จึงยังไม่ได้ลงมือทำอะไรทั้งสิ้น
คืนนี้เขาเพิ่งดื่มสุราไปสองไห ในที่สุดก็ข่มตาหลับได้เสียที จู่ๆ ก็ถูกเสียงเคาะประตูทำให้ตื่นขึ้นมา
“มีเื่อะไร?”
ภรรยาของเขาพลิกตัวมา ถามด้วยเสียงงัวเงีย “โหย่วไฉไปสร้างเื่อีกแล้วหรือ?”
นี่คือสิ่งที่คนสกุลสุยทั้งนายบ่าวต่างพบเจอกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ยามปกติภรรยาของเขามักจะไม่เอ่ยออกมาตรงๆ แต่หลายวันนี้เื่ราวมากมายที่เกิดขึ้นทำให้ยากจะสงบใจ สงบปากสงบคำได้
ไม่ผิดคาด ที่ปรึกษาสุยเกรี้ยวกราดทันที ตำหนิว่า “โหย่วไฉป่วยอยู่ จะไปสร้างเื่ได้อย่างไร? หากว่าเ้าไม่อาจทนเห็นเข้าได้ ข้าจะซื้อเรือนด้านนอกให้เ้าย้ายไปอยู่เสียให้สิ้นเื่”
ภรรยารู้สึกโกรธเคือง และไม่คิดจะอดทนอีกต่อไป จึงเอ่ยตามตรงว่า “เช่นนั้นก็ดีนัก มีเขาเพ่นพ่านไปมาอยู่ในบ้าน ลูกข้าไม่กล้าก้าวเท้าออกจากห้องด้วยซ้ำ”
“เ้า...” ที่ปรึกษาสุยยังคิดจะตำหนิเพิ่ม แต่ขณะนั้นเองหญิงรับใช้ชราที่เฝ้าเวรในคืนนี้ก็พุ่งตัวเข้ามา “นายท่าน ฮูหยิน ปู่ไขว้ [1] บุกเข้ามาด่ากราดใหญ่เลยเ้าค่ะ”
“อะไรนะ ปู่ไขว้?” ที่ปรึกษาสุยได้ยินแล้วก็ไม่เข้าใจยิ่งนัก พวกปู่ไขว้ในศาลาว่าการยามปกติล้วนอยู่ในโอวาทของเขา วันนี้ก็ไม่ได้มีคดีอะไรเป็พิเศษ แล้วยังเป็เวลาดึกดื่น ใครกันช่างหาญกล้าเช่นนี้
เขาสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไปทันที เห็นพวกปู่ไขว้ที่ปกติคุ้นเคยกันดีบุกเข้ามาถึงเรือนชั้นในแล้ว เขาขมวดคิ้วะโด่าอย่างกราดเกรี้ยว “ปู่ไขว้หลี่ นี่มันเื่อะไรกัน บุกที่พักยามวิกาล?”
ปู่ไขว้หลี่หัวเราะน้อยๆ ประสานมือคารวะ “แหม ที่ปรึกษาสุย ถือว่านี่เป็การคารวะครั้งสุดท้ายจากข้าก็แล้วกันขอรับ”
“ครั้งสุดท้ายอะไร?” ที่ปรึกษาสุยััถึงความผิดปกติทันที รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ “เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่”
“ก็ไม่มีเื่อะไรหรอกขอรับ ท่านเ้าเมืองปรีชาสามารถ สืบทราบว่าท่านที่ปรึกษากดขี่ชาวบ้าน ปล่อยปละละเลยคนในครอบครัวกระทำความชั่ว จึงมีคำสั่งให้ริบตำแหน่งและคุมตัวไปที่ราชทัณฑ์เตรียมสอบสวน”
ปู่ไขว้หลี่พูดจบก็ไม่รอให้ที่ปรึกษาสุยพูดอะไร ทำสัญญาณมือให้พี่น้องที่พามาลงมือทันที
ที่ปรึกษาสุยยามปกติเป็จิ้งจอกอ้างบารมีเสือ [2] จนเคยชิน ยามปกติจึงทำอะไรไม่ค่อยเกรงอกเกรงใจใคร ทุกคนจึงรอวันเขาล้มเพื่อจะเหยียบอยู่แล้ว
ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่หลุดจากพันธนาการอันแ่า
เพียงไม่นานตู้โหย่วไฉที่พักอยู่ที่ปีกตะวันออกก็ถูกจับตัวมาโยนลงที่กลางลานเรือนในสภาพน่าอนาถเช่นกัน
คนสกุลสุยใจนตื่นกันทั้งจวน
บุตรชายคนโตสกุลสุยตั้งใจจะเข้ามาตอบโต้ กลับถูกฮูหยินสุยห้ามไว้ ฮูหยินสุยให้สาวใช้คนสนิทยัดถุงเงินให้กับปู่ไขว้หลี่ เอ่ยถามสถานการณ์เสียงเบา ยามปกตินางเป็คนดีมีน้ำใจ ทั้งถือศีลกินเจอยู่เป็ประจำ ภรรยาของปู่ไขว้หลี่เองก็สนิทสนมกับฮูหยินสุยเป็อย่างดี ปู่ไขว้หลี่จึงไว้หน้านางอยู่บ้าง อีกทั้งเื่นี้จะอย่างไรก็ปิดไว้ไม่มิด จึงกล่าวตอบเสียงเบากลับไป
จากนั้นพวกปู่ไขว้ก็พากันลากตัวที่ปรึกษาสุยและตู้โหย่วไฉไป
คุณชายใหญ่สุยร้อนใจยิ่งนัก แต่เพราะมารดาไม่มีคำสั่งเขาจึงทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงประคองมารดากลับเข้าไปในเรือน
“ท่านแม่ นี่มันเื่อะไรกัน ท่านพ่อ...”
“เ้าใหญ่ สั่งให้คนเตรียมรถม้า และสั่งให้คนไปค้นหาโฉนดสองฉบับนั้นที่ปีกตะวันออกให้เจอให้ได้ วันพรุ่งนี้เ้ากับแม่ออกจากเมืองแต่เช้า พวกเรา...ไปหุบเขาหมีกัน”
“หุบเขาหมี?” ยามปกติเื่น้อยใหญ่ในสกุลสุยเป็หน้าที่ของคุณชายใหญ่สุยจัดการ สำหรับเื่ชั่วช้าที่ญาติผู้น้องทำก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เอาเสียเลย เขาจึงปะติดปะต่อเื่ราวทั้งหมดได้ในทันที แล้วเอ่ยออกมาอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เป็เพราะยามปกติบิดาไม่อบรมสั่งสอนเขาให้ดี สุดท้ายก็สร้างเื่ใหญ่จนได้”
ฮูหยินทอดถอนใจ “ยามนี้เราคาดหวังได้แค่ว่าสกุลลู่จะเจรจาด้วยง่าย ไม่เช่นนั้นเกรงว่าแม้แต่บิดาเ้าเองก็คงติดร่างแหไปด้วย”
“ขอรับท่านแม่ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
คนสกุลสุยรอพระอาทิตย์ขึ้นอย่างใจจดใจจ่อและร้อนรน แต่พระอาทิตย์ยังคงขึ้นมาตามเวลาปกติ
คนในหมู่บ้านเขาหมียังคงยุ่งกันแต่เช้าเช่นเดิม ทั้งสร้างบ้าน เก็บมันฝรั่ง เรียนหนังสือ ต่างคนต่างยุ่งอยู่กับเื่ของตนแต่กลับแลดูสมัครสมานสามัคคีกันไปทั้งหมู่บ้าน
หนุ่มน้อยที่รับหน้าที่เป็คนเฝ้าปากทางขึ้นเขาวันนี้กำลังหาววอด ครั้นเห็นรถม้าเคลื่อนมาแต่ไกล ก็เข้าใจว่ามีคนเอาหินมาส่ง ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะส่งข่าวออกไปแล้วว่าหินที่้าเพียงพอแล้วแต่ก็ยังมีชาวบ้านจากที่ไกลๆ ที่ยังไม่ได้รับข่าวอยู่ โดยปกติสกุลลู่ก็ยังรับซื้อ ไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องเดินทางมาเสียเที่ยว
รถม้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มคนนั้นเห็นแล้วก็ผิดสังเกต จึงรีบเข้าไปขวางไว้...
บนยอดเขาหมีนอกเรือนสกุลลู่ เสี่ยวหมี่ เฝิงเจี่ยนและผู้เฒ่าหยางกำลังเดินดูต้นกล้าข้าว ถึงแม้พวกเขาจะเริ่มเพาะปลูกกันช้า แต่เนื่องจากผู้เฒ่าหยางใส่ใจดูแลมันเป็อย่างดี ยามนี้ต้นกล้าจึงชูช่อสีเหลืองทองอร่าม
“แม่นางลู่ คงใกล้จะเก็บเกี่ยวได้แล้วกระมังขอรับ?”
ผู้เฒ่าหยางยื่นมือออกไปััรวงข้าวสีเหลืองทองอย่างดีใจ
เสี่ยวหมี่ชื่นชมความมานะพยายามของผู้เฒ่าหยางเป็อย่างยิ่ง จึงยิ้มตอบว่า “ได้แน่นอนเ้าค่ะ ตอนนี้สามารถเก็บเกี่ยวได้ตามความพอใจของท่าน”
พูดจบก็หันไปมองเฝิงเจี่ยน “พี่ใหญ่เฝิง ท่านเห็นเป็อย่างไร”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้า ยื่นมือไปลูบไล้รวงข้าวสีเหลืองทอง สายตาเต็มไปด้วยความพอใจ “แบ่งไว้ให้ข้าสักสองสามจินเถิด ข้าจำเป็ต้องใช้มัน”
“ข้าวพวกนี้ท่านกับผู้เฒ่าหยางเป็คนปลูกและดูแล ยามนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแน่นอนว่าต้องเป็ของท่านทั้งหมด กลับเป็ข้าที่หากจะเอาไปหุงยังต้องถามความสมัครใจของท่านทั้งสองก่อน”
เฝิงเจี่ยนและผู้เฒ่าหยางพากันหัวเราะออกมา จู่ๆ ก็มีอีกาโฉบลงมา เสี่ยวหมี่จึงเบี่ยงตัวหลบ ร่างกายเคลื่อนไหวปราดเปรียวราวกับภูติตัวน้อย
เฝิงเจี่ยนเห็นแล้วก็ยกยิ้มไม่พูดอะไร สีหน้าเต็มไปด้วยความหมายมั่นปั้นมือ ส่วนรอยยิ้มของผู้เฒ่าหยางนั้นแลดูลึกลับ...
ตอนนี้เองหนุ่มน้อยคนหนึ่งก็วิ่งขึ้นมารายงาน
“น้องเสี่ยวหมี่ ที่ตีนเขามีแขกมา บอกว่าเป็ครอบครัวของที่ปรึกษาชั่วนั่น เ้าคิดเห็นอย่างไร จะให้ทุกคนขับไล่ด้วยลูกศร...”
เสี่ยวหมี่และเฝิงเจี่ยนสบตากันทีหนึ่ง ต่างก็คาดเดาว่าหลี่หลินน่าจะเริ่มลงมือทำอะไรแล้ว
“ไม่ต้อง พี่ต้าจ้วง พวกท่านไม่ต้องกังวล พาคนเข้าไปในบ้านพักรับรองก่อน เดี๋ยวข้าตามไปเ้าค่ะ”
“ได้” ถึงแม้เขาจะมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ก็เชื่อฟังคำสั่งของเสี่ยวหมี่เป็อย่างดีเพราะได้รับการกำชับจากผู้ใหญ่ในบ้านมาแล้ว นอกจากเสี่ยวหมี่จะมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดกว่าพวกเขาแล้ว นางยังเป็คนจ่ายค่าแรงให้พวกเขาอยู่ทุกวัน ใครบ้างจะไม่ฟังคำสั่งนายจ้าง
เชิงอรรถ
[1] ปู่ไขว้(捕快)เปรียบเทียบได้กับตำรวจในสมัยนี้
[2] จิ้งจอกอ้างบารมีเสือ(狐假虎威)หมายถึง คนที่ใช้อำนาจของผู้อื่นมากดขี่ข่มเหง หรือเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้