ในเมืองฮวายินของซีอานทางตะวันออกเหนือที่ราบลุ่มแม่น้ำเว่ยเหอและแม่น้ำหวงเหออันไหลเชี่ยว ทางใต้ของฉินหลิ่งเหนือสายน้ำแขนงย่อยของฉินหลิ่งขึ้นไป มีเขาหินอยู่ลูกหนึ่ง
แน่นอนว่ารายละเอียดเหล่านี้จะต้องเป็คนที่มีความรู้และใกล้ชิดกับเื่ทางภูมิศาสตร์เท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้แต่ถ้าหากว่าพูดชื่อของมันออกมาคนจำนวนมากต่างก็สามารถรับรู้ถึงเขาลูกนี้ขึ้นมาได้ทันที
พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเว่ยเหอบริเวณตีนเขามีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณสามถึงสี่ร้อยเมตรแต่ตัวยอดเขานั้นกลับมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึงหนึ่งพันเจ็ดร้อยกว่าเมตรยิ่งใหญ่ อันตราย สูงชัน...สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่หลินลั่วหรานพบเจอในตอนที่ค้นหาบนอินเทอร์เน็ตและก็ความรู้สึกแรกที่เธอมีต่อูเาฮั่วชานด้วย
ภาษานั้นเป็สิ่งที่น่าแปลกประหลาด เพียงประโยคเพียงไม่กี่คำก็สามารถทำให้ผู้คนนึกถึงโครงร่างของยอดเขา อันแปลกประหลาดนี้ขึ้นมาได้แล้วแต่แน่นอนว่ามันไม่มีทางที่จะเทียบกับความรู้สึกที่ตัวของคุณเองได้มายืนอยู่ที่ตีนเขา และมองสูงขึ้นไปแบบนี้เลย
ยิ่งในยามค่ำคืนก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกแบบนี้โดดเด่นขึ้นมาในตอนนี้เป็เวลาสี่ทุ่ม และเป็เวลาที่ดีที่สุดในการปีนเขาฮั่วชาน
หลินลั่วตงอ้าปากออกกว้างเขามองไปยังูเาฮั่วชานที่เต็มไปด้วยผู้คน ก่อนจะกวาดสายตาขึ้นไปจนถึงยอดเขาสีหน้าของเขาแสดงความใออกมา อย่างยากที่จะปกปิดเอาไว้
แน่นอนว่าหลินลั่วหรานสามารถเข้าใจความรู้สึกของเขาได้เป็อย่างดีที่เมืองชู่นั้นมีูเามากมายแต่ว่าพวกูเาเ่าั้ต่างก็เป็ยอดเขาที่ติดต่อกันดังนั้นอย่าได้พูดถึงเพียงแต่ลั่วตงเลย แม้แต่ตัวเธอเมื่อก่อนเองก็ไม่เคยพบเห็นยอดเขาที่สูงชันขนาดนี้มาก่อน
“ไปเถอะ!”
หลินลั่วหรานเดินนำไปด้านหน้าหลินลั่วตงแบกกระเป๋าที่มีความใหญ่กว่าครึ่งตัวของเขาไว้บนแผ่นหลังพร้อมกับเดินตามไปติดๆ นักท่องเที่ยวที่อยู่โดยรอบต่างพากันส่ายหน้าพี่สาวคนนี้ช่างใจร้ายเสียจริงถึงได้ปล่อยให้เด็กตัวเล็กขนาดนั้นแบกกระเป๋าปีนเขาขึ้นไปเสียงพูดพร่ำบ่นนั้นส่งเข้าไปถึงหูของหลินลั่วหรานอย่างห้ามไม่ได้ในตอนแรกเธอก็ทำเป็ไม่ได้ยิน แต่หลังจากนั้นสักพักเธอก็ไม่สามารถที่จะทนรับฟังคำพูดเหล่านี้ต่อไปได้อีกแล้วเธอจึงกวาดสายตาออกไปรอบๆ ก่อนที่มันจะทำให้เหล่านักท่องเที่ยวทั้งหลายนั้นพากันสงบปากลง
แม่เ้า ผู้หญิงคนนี้หน้าตาสะสวยแววตาเปล่งประกายราวกับหยาดน้ำกระทบแสงไฟ แต่น่าเสียดายที่เป็พวกคนเืเย็น!
เมื่อลงจากรถไฟที่ซีอาน ทั้งสองก็นั่งรถตรงมายังเขาฮั่วชานในทันทีและนั่นก็ทำให้พวกเขามาถึงทันคนกลุ่มแรกที่จะขึ้นเขาพอดีคนที่เลือกเดินทางขึ้นเขาในเวลานี้ต่างก็เพื่อที่จะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาแห่งนี้ตอนเวลาตีสามตีสี่ได้พวกเขาต่างก็เตรียมอาหารและน้ำดื่มเอาไว้อย่างเรียบร้อยทั้งสองพี่น้องต่างพากันแบกกระเป๋าใบใหญ่เอาไว้ที่หลังเธอมีพื้นที่ลึกลับอยู่ในกำมือ จึงไม่จำเป็ที่จะต้องเตรียมอาหารอะไรแต่ในกระเป๋าของหลินลั่วตงนั้นกลับเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ ที่ต้องใช้จริงๆเอาไว้
พวกนักท่องเที่ยวต่างพากันต่อว่าเธอ “ทรมานเด็ก” ความจริงแล้วก็ไม่ได้ถือว่าเข้าใจผิดอะไรเธอเท่าไร
หลินลั่วหรานจับลงที่โซ่เหล็ก ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาแล้วถามกับหลินลั่วตงที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อว่า “พักสักหน่อยไหม?”
ความจริงแล้วพวกเขาก็เดินขึ้นเขากันมากว่าชั่วโมงแล้วแต่หลินลั่วหรานก็ยังคงสบายๆ อยู่ในขณะที่ลั่วตงนั้นเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อจากความเหนื่อยล้าเขาฮั่วชานนั้นเต็มไปด้วยทางเดินที่ลาดชันหากว่าไม่จับสายโซ่เหล็กที่อยู่ข้างทางเอาไว้ ก็ยากที่จะขยับตัวเดินอีกทั้งยังไม่สามารถว่อกแว่ก และยังต้องแบกสัมภาระหนักอึ้งเอาไว้ดังนั้นสำหรับหลินลั่วตงที่มีอายุเพียงสิบสองปี เขาก็ต้องสูญเสียพลังงานและสมาธิไปมาก
แต่ว่าเมื่อ “พี่สาว” ของเขาไม่ได้บอกให้หยุด ในใจของลั่วตงก็พยายามยืนหยัดเอาไว้เขาจึงอดทนเดินขึ้นมาตลอดชั่วโมงกว่า โดยไม่ยอมพูดว่าเหนื่อยออกมา
ตอนนี้พวกเขาได้เดินมาถึงส่วนที่เริ่มเป็ที่กว้างแล้วแถมยังมีร้านขายของเล็กๆ ตั้งอยู่อีกด้วยดังนั้นนักท่องเที่ยวส่วนมากจึงเลือกที่จะหยุดพักอยู่ที่นี่สักพักหลินลั่วหรานและลั่วตงเลือกสถานที่ที่ค่อนข้างสงบในการพักผ่อนหลินลั่วหรานทำท่าทางราวกับหยิบพวกผลไม้ อย่างลูกท้อและองุ่นออกมาจากในกระเป๋าแต่ความจริงแล้วเธอก็เพียงแค่ใช้มันในการปกปิดเท่านั้นและหยิบออกพวกมันออกมาจากพื้นที่ลึกลับโดยตรง
ผลไม้ที่พื้นที่ลึกลับผลิตออกมานั้น ต่างก็มีกลิ่นหอมพิเศษดังนั้นเมื่อหลินลั่วตงปอกเปลือกของลูกท้อออกเบาๆ ก็ทำให้กลิ่นของมันกระจายออกไปกลิ่นหอมของเนื้อท้อกระจายออกไปทั่วสถานที่พักแห่งนี้ ผู้คนต่างก็มักจะเอาการท่องเที่ยวและพวกอาหารเข้ามารวมไว้ด้วยกันแน่นอนว่าหากพูดกันตามทฤษฎีแล้ว คนที่ชอบทานอาหารนั้นอาจจะไม่ชอบท่องเที่ยวก็ได้แต่คนที่ชอบท่องเที่ยวส่วนมากแล้ว ต่างก็เป็นักกินทั้งนั้นเมื่อกลิ่นหอมของลูกท้อลอยผ่านไป นักท่องเที่ยวส่วนมากต่างก็เริ่มขยับจมูกขึ้นมาก่อนจะได้พบกับผลไม้ที่มาของกลิ่นหอมนี้
การทานลูกท้อท่ามกลางสายตาของผู้อื่นด้วยจิตใจในปัจจุบันของหลินลั่วหรานแล้ว เธอก็ไม่ได้มีความกดดันอะไรแม้แต่น้อยแต่ว่าสำหรับหลินลั่วตงที่ขี้อายกว่านั้น เมื่อเห็นว่าเหล่าพวกคุณปู่คุณตากำลังมองมาที่ตัวเองเขาก็ได้แต่ค่อยๆ กัดลงไปที่ลูกท้อด้วยความอึดอัด
มือที่ถือพวงองุ่นเอาไว้อีกข้างหนึ่งนั้น ยังไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวหลินลั่วตงคิดอยู่สักพักก่อนที่จะเอาองุ่นไปแจกจ่ายให้กับเหล่านักท่องเที่ยวที่น้ำลายสอ
“องุ่นนี่…” คุณปู่ท่านหนึ่งเกรงว่าองุ่นจะเปรี้ยวจนทำให้เสียวฟันอีกอย่างสิ่งที่พวกเขาอยากได้ ก็คือลูกท้อที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วนั่นต่างหากแต่เมื่อเห็นว่าเด็กตัวน้อยกำลังยื่นองุ่นให้เขาด้วยความใจกว้างเขาจึงรับมาทานหนึ่งลูก เปลือกของมันนั้นสะอาด เนื้อในฉ่ำไปด้วยน้ำองุ่นและในความหวานนั้นก็แฝงความเปรี้ยวเล็กๆ เอาไว้...คุณปู่คนนี้กล้ารับประกันได้เลยว่าในชีวิตกว่ากี่สิบปีที่ผ่านมาของเขา เขาไม่เคยกินองุ่นที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน!
ในระหว่างที่เขาอยากจะกินขึ้นมาอีก องุ่นนั้นก็ถูกส่งไปยังคนอื่นและเหลือเพียงแค่ก้านเปล่าๆ เสียแล้ว
“หวานมาก!”
“เอ๋ เด็กน้อย ซื้อองุ่นมาจากที่ไหนเหรอ?”
“พระเ้า นี่เรียกองุ่นเหรอ แล้วแบบนั้นที่พี่เคยกินมาก่อนหน้านี้มันคืออะไรล่ะ?”
เหล่าบรรดานักท่องเที่ยวต่างก็พูดแสดงความคิดเห็นกันขึ้นมาแต่ไม่ว่าจะแสดงท่าทีอย่างไร ต่างก็พูดเป็เสียงเดียวกันว่าองุ่นที่ลั่วตงเอาออกมานี้ มีรสชาติดีมากจริงๆ
ในตอนที่พวกเขาสงบใจลงได้แล้ว และจะตามหาเด็กที่จิตใจกว้างคนนั้นกลับพบว่าในบริเวณที่ทั้งสองพี่น้องเคยยืนอยู่ กลับไร้เงาผู้คนไปเสียแล้ว...คนตั้งมากมายขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครเห็นว่าทั้งสองออกไปั้แ่เมื่อไรช่างตะกละกันเสียจริง นี่มันน่าขายขี้หน้าชะมัด!
และในตอนที่กลุ่มบรรดานักท่องเที่ยวกลุ่มนี้กำลังจะเดินขึ้นเขาต่อนั้นก็มีกลุ่มนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่เลือกที่จะเข้ามาพักที่นี่พวกเขานั้นสวมหมวกแก๊ปและสวมใส่ชุดกีฬา ซึ่งนับได้ว่าเป็การแต่งตัวที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในปัจจุบันพวกเขาดูเหมือนกับนักศึกษากลุ่มหนึ่ง
เด็กผู้ชายที่เดินนำอยู่ด้านหน้าหยุดฝีเท้าลงก่อนที่จะหยิบเอาขวดน้ำส่งไปให้เด็กสาวที่ใบหน้ากว่าครึ่งของเธอถูกหมวกแก๊ปปิดบังไป
“ปิงเหยียน พักที่นี่สักพักแล้วกันนะ กินน้ำไหม?”
เด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าปิงเหยียนก็มีลักษณะท่าทางเหมือนกับชื่อของเธอเต็มไปด้วยความเ็าราวกับน้ำแข็ง เธอคิดอยู่สักพัก ก่อนที่จะรับน้ำมาการกระทำธรรมดาๆ ของเธอนี้ กลับทำให้ผู้ชายคนนั้นดีใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่พร้อมกับส่งสายตาท้าทายไปยังผู้เด็กผู้ชายที่เดินอยู่รั้งท้ายและเป็คนเดียวที่ไม่ได้สวมหมวก
ในตอนที่ปิงเหยียนเงยหน้าขึ้นดื่มน้ำซอกคอขาวและปลายคางอันนวลนิ่มของเธอก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นแม้ว่าใบหน้าของเธอจะปรากฏออกมาเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่ก็ยังสามารถเห็นได้ว่าเธอเป็เด็กสาวที่สวยงามคนหนึ่ง
เมื่อได้รับสายตาท้าทายอีกครั้ง คนที่เดินรั้งท้ายอยู่อย่างเผยหยวนก็เผยรอยยิ้มเจื่อนออกมา
นี่ก็เป็ฉากที่พบได้ง่ายตามนิยายทั่วไปดอกไม้ของมหาวิทยาลัยที่แสนสวยงามและล้ำค่า สำหรับผู้ชายที่นอกจากพูดเก่งแล้วเื่อื่นก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากคนทั่วไปอย่างเขาทำให้พวกคนที่มาตามจีบดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยคนนี้ต่างก็ไม่ได้สนใจอะไรเขานัก
ที่ผ่านมาก็ไม่ได้เป็อะไรมากแต่ว่าั้แ่ที่เขาปล่อยรูปภาพนั้นออกไป มีคนเชื่อแล้วก็มีคนไม่เชื่อและคนที่ดีกับเขามาโดยตลอดอย่างปิงเหยียนก็อยู่ในกลุ่มคนที่ไม่เชื่อด้วยอีกทั้งเธอยังเคยพูดประกาศออกมาว่า “คนเราควรจะยืนอยู่บนโลกแห่งความจริงไม่ควรที่จะพูดคำโกหกออกมา เพื่อให้ได้รับความสนใจจากผู้อื่น” และนี่ก็ทำให้คนที่มาตามจีบปิงเหยียนต่างก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนได้เดินทางมาถึงจุดที่ย่ำแย่แล้วพวกเขาจึงต่างก็พาอาศัย่เวลานี้ยืนอยู่ข้างปิงเหยียนพร้อมกับใช้สถานการณ์นี้ในการโจมตีเขา เพื่อที่จะได้รับความรู้สึกดีๆ จากคนสวย...อย่างเช่นในตอนนี้ ที่คุณชายที่แอบชอบปิงเหยียนมานานหลายปีได้พากลุ่มเพื่อนมาเที่ยวเล่นที่เขาฮั่วชานแห่งนี้
สำหรับเผยหยวนแล้ว คนคนนี้เป็คนที่น่าจะมีโอกาสที่สุดในบรรดาคนที่ตามจีบปีงเหยียนมาโดยปกติแล้ว เขาจะเป็คนสุภาพมากแต่ั้แ่ที่เขาได้ยินว่า่นี้ ความสัมพันธ์ของเขาและปิงเหยียนได้ “แตกหัก” ลงแล้วหลังจากนั้นคุณชายจางชูิก็เริ่มที่จะลอบโจมตีเขาอยู่บ่อยๆ เขาคอยดูถูกเผยหยวนเพื่อที่จะทำให้ตัวเองดูสูงส่งขึ้นก่อนหน้านี้แม้แต่เผยหยวนเอง ต่างก็เคยถูกท่าทางภายนอกของเขาหลอกเอาเสียแล้ว
ถ้าหากรู้อยู่แล้วว่าจะเป็แบบนี้ แล้วเขาจะมาด้วยทำไม?
ในตอนนี้เขาต่างตกอยู่ในความสนใจของใครหลายๆ คนจึงอยากจะออกมาเพื่อพักความคิดของตัวเองบ้างอีกทั้งเขาก็รู้สึกว่าตัวเองอยากจะคอยปกป้องปิงเหยียนเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงอดทนกับคำพูดหัวเราะเยาะของคนอื่น!
“เผยหยวน ความจริงแล้วฉันแปลกใจมากเลยนะบางทีเทพสาวที่นายเจอเมื่อวันนั้นอาจจะเป็เื่จริงก็ได้...” จางชูิดื่มน้ำลงไป น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง
เมื่อได้ยินเื่นี้ขึ้นมา คิ้วที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ปีกหมวกของปิงเหยียนก็เริ่มขมวดเข้าหากัน
เมื่อััได้ถึงความตั้งใจของหัวหน้าเหล่าพวกลูกสมุนต่างก็หัวเราะออกมาด้วย “ความหวังดี” หญิงสาวที่พักร่วมห้องเดียวกับปิงเหยียนเธอได้รับของขวัญจากจางชูิอย่างลับๆ มาไม่น้อย หากไม่ช่วยพูดตอนนี้ แล้วจะให้ช่วยพูดตอนไหน?
“เผยหยวน เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่านายเป็คนที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งเลยนะไม่คิดเลยว่าจะทำเื่แบบนี้...อาปิงเหยียนนี่ก็นิสัยดีจริงๆ เลยนะ ถึงได้ชวนนายขึ้นมาเที่ยวเขาด้วยกันแบบนี้ถ้าเป็ฉันนะเพื่อนรักพูดโกหกลวงโลกออกมาแบบนั้น ฉันคงจะอายจนไม่อยากจะเจอหน้าแล้วล่ะ...” หญิงสาวพูดไปเรื่อย โดยที่ปิงเหยียนเองก็ไม่ได้ห้ามอะไร
รอยยิ้มปรากฏขึ้นในสายตาของจางชูิ เขาเป็คนที่อ่านใจคนได้เก่งเมื่อก่อนความรู้สึกที่ปิงเหยียนมีต่อเผยหยวนนั้น ก็เป็เพียงความรู้สึกดีแต่ก็ไม่ได้เรียกว่าชอบ และวันนี้มันก็ถูกเขาเติมแต่งจนค่อยๆกลายเป็ความรังเกียจ...เื่การ “พบเทพ” ของเผยหยวนนั้น ช่างเป็เื่ที่ฟ้า์ช่วยเขาเสียจริง!
เผยหยวนได้ยินเื่นี้มาเสียจนหูของเขาด้านชาไปหมดแล้ว
ั้แ่ที่เขาปล่อยรูปภาพนั้นลงในอินเทอร์เน็ต ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปมันเหมือนกับดอกไม้ไฟที่เปล่งประกายและมีสีสันขึ้นมามากทีเดียวคนบางกลุ่มต่างก็อยากจะให้เขาเล่าเื่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอย่างละเอียดส่วนคนที่หัวเราะเยาะเขาต่างก็พากันรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่ “คนเกาหลี้าจะจับอินทรีทอง ก่อนที่จะมีเทพสาวที่เป็เ้าของปรากฏตัวออกมาอย่างน่าประหลาด” มันดูเหมือนฉากในนิยายปรัมปราสักเล่ม
แม้ว่าอินทรีทองจะหายไปในค่ำคืนนั้นจริง แต่ว่าเผยหยวนจะมาบอกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาพามันไปก็ไม่ได้ไม่ใช่เหรอ? อีกทั้งถ้าเกิดว่ามีคนเกาหลีอยากจะจับอินทรีอะไรจริง ทำไมทางรัฐบาลถึงไม่ประกาศออกมาล่ะ? แม้ว่าใบหน้าด้านข้างนั้น จะดูสวยงามมากแต่ว่าเหล่าคนที่หัวเราะเยาะเขาต่างก็เชื่อว่าในสักวันหนึ่งพวกเขาจะต้องหาภาพต้นฉบับให้เจอให้ได้
เมื่อเห็นว่าสติของเผยหยวนล่องลอยไป จางชูิก็หัวเราะออกมา “ช่างเถอะ เผยหยวน ยังไงพวกเราก็เป็เพื่อนร่วมชั้นกันพวกเราทุกคนต่างก็ยินดีที่จะเชื่อนายนะ แต่ว่าเทพสาวที่ขี่อินทรีไปคนนั้นก็ไม่อาจจะขวางกั้นจิตใจที่พวกเราอยากจะดูพระอาทิตย์ขึ้นบนเขานี้ได้หรอก...ไปเถอะออกเดินทางได้แล้ว!”
ปิงเหยียนนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเพียงแค่หันกลับไปมองเผยหยวนด้วยสายตานิ่งๆก่อนหน้านี้เธอรู้สึกว่าเขาเป็คนพูดเก่งเมื่ออยู่ด้วยก็จะรู้สึกมีความสุขอยู่ตลอดแต่ว่าทำไมถึงเลือกที่จะเผยแพร่เื่โกหกลวงโลกเพื่อที่จะได้รับความสนใจจากคนอื่นแบบนั้น...
เผยหยวนถูกสายตาของเธอทำเอาในใจของเขาเป็กังวลขึ้นมา ทุกๆคนต่างก็พากันเริ่มเดินขึ้นไป้าอีกครั้ง หนึ่งมือที่จับโซ่เหล็กเอาไว้ของเขาเริ่มที่จะเพิ่มแรงจับแน่นขึ้น
ในตอนนั้นเองจางชูิก็พูดถึงบทกวีในยุคถังที่ว่า “ใครถือดาบ์ขึ้น ตัดผ่านขอบฟ้า” เมื่อได้ยินดังนั้นเพื่อนร่วมห้องพักของปิงเหยียนก็พูดตามไปด้วย
เผยหยวนเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาที่สูงชัน เขาเม้มปากของเขาแน่นใครถือดาบออกมาผ่าฟ้าน่ะเหรอ?
เขาเชื่อว่า ถ้าเป็เทพที่นั่งอยู่บนหลังอินทรีในวันนั้นเธอจะต้องทำได้แน่แต่ว่าเขาก็เป็เพียงนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยการท่องเที่ยวแห่งจินหลิงคนหนึ่งเท่านั้นแม้แต่ปิงเหยียนยังไม่เชื่อเขาแล้วฟ้า์จะช่วยปรากฏแสงดาบตัดผ่าลงมายังยอดเขาเพื่อที่จะยืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?