สามีไม่อยู่บ้าน อากุ้ยไปส่งฉี่เยว่ ในบ้านจึงเหลือเพียงฟางซื่อ ชุนเหมย และอวิ๋นฉี่ซานที่อายุสิบเอ็ดปี แต่ในเวลานี้กลับมีเ้าหน้าที่ทางการนำเชือกจับกุมคนมุ่งหน้ามาหาพวกนางที่บ้าน ฟางซื่อรีบดึงอวิ๋นเจียวมาหลบด้านหลังโดยสัญชาตญาณ ส่วนชุนเหมยก็ยืนอยู่ข้างๆ อวิ๋นเจียว จ้องมองผู้มาเยือนด้วยท่าทางระแวดระวัง
ชาวบ้านที่มามุงดู อวิ๋นเจียวไม่รู้จักสักคน เพราะพวกเขาย้ายมาที่หมู่บ้านไหวซู่ได้ไม่กี่วัน นอกจากคนตระกูลอวิ๋น ผู้ใหญ่บ้าน หัวหน้าตระกูล ผู้เฒ่าเฉียว และบุตรชายคนที่สามของผู้ใหญ่บ้านแล้ว อวิ๋นเจียวและคนอื่นๆ ไม่ได้ติดต่อกับใครในหมู่บ้านเลย
ทุกคนต่างพากันซุบซิบนินทา ชี้ไม้ชี้มือมาที่พวกนาง แม้ในใจจะเกิดคลื่นลมปั่นป่วน แต่ฟางซื่อก็ยังคงเดินเข้าไปถามเ้าหน้าที่ทางการด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ขอถามท่านเ้าหน้าที่ทั้งสอง ไม่ทราบว่ามาที่นี่มีเื่อันใดหรือ?”
เ้าหน้าที่ทางการสองคน คนหนึ่งอายุประมาณสามสิบกว่าปี อีกคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอม เพียงแค่ดูใบหน้าก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี เ้าหน้าที่ทางการร่างอ้วนมองลงมาด้วยแววตาดูถูก “หึ! มีเื่อันใดหรือ มีคนแจ้งความว่าพวกเ้าเป็ทาสหลบหนี พวกข้าจึงมาจับกุมพวกเ้าไงล่ะ!”
‘ตูม...’ คำพูดของเ้าหน้าที่ร่างอ้วนราวกับะเิที่ตกลงในน้ำ เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวและคลื่นน้ำที่ซัดกระจายออกไปทุกทิศทาง สีหน้าของฟางซื่อเปลี่ยนไปอย่างมาก ส่วนอวิ๋นเจียวกับอวิ๋นฉี่ซานก็โกรธจนตัวสั่น ฟางซื่อพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “ท่านเ้าหน้าที่ทั้งสอง การจับกุมคนต้องมีหลักฐานมิใช่หรือ? เวลากลางวันแสกๆ เช่นนี้ ท่านเ้าหน้าที่เพียงแค่ฟังคำพูดลอยๆ ก็มาจับกุมคนถึงบ้าน ท่านนายอำเภอรู้เื่หรือไม่?”
เ้าหน้าที่ทางการร่างผอมพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “เื่เล็กน้อยเช่นนี้มิจำเป็ต้องรบกวนท่านนายอำเภอหรอก พาพวกเ้ากลับไปตรวจสอบทะเบียนทาส หลังตัดสินความผิดแล้ว จากนั้นท่านปลัดอำเภอจะเป็ผู้เขียนคำพิพากษาเอง”
“ที่แท้พวกเขาเป็ทาสหลบหนีหรือ? แล้วยังขโมยเงินของเ้านาย กลับบ้านเกิดมาซื้อที่ดินอีก?”
“ได้ยินมาว่าครอบครัวพวกเขากลับมาจากเมืองหลวง ที่นั่นน่ะดีกว่าหุบเขาทุรกันดารเช่นนี้ตั้งเยอะ มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะกลับมาที่หมู่บ้านไหวซู่!”
“งั้นก็ต้องมีเหตุผลสิ เ้าไม่ได้ยินที่ท่านเ้าหน้าที่พูดหรือ? พวกเขาเป็ทาสหลบหนี ในเมื่อเป็ทาสหลบหนีก็ต้องหนีให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ว่ากันว่าอวิ๋นโส่วจงออกจากหมู่บ้านไหวซู่ตอนอายุสิบสาม ตอนนั้นเป็่เวลาที่เกิดภัยอดอยาก ตอนที่อวิ๋นโส่วจงจากไป ไม่รู้ว่าไปหาข้าวปลาอาหารมาจากที่ใด ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว คงได้มาจากการขายตัวเองเป็ทาส”
“หน้าไม่อายจริงๆ อยากจะหนีไปที่ไหนก็ไปสิจะมาที่หมู่บ้านของพวกเราด้วยทำไม ระวังจะทำให้ฮวงจุ้ยของหมู่บ้านเสียหายนะ!”
“ใช่ๆ ท่านเ้าหน้าที่รีบจับพวกเขาไปเถอะ!” ชาวบ้านที่มามุงดูต่างพากันพูดคุยอย่างออกรส ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ราวกับกำลังดูละครลิง
อวิ๋นเจียวมองดูด้วยความเฉยชา คนที่พูดจาเสียดสีเ่าั้ ล้วนเป็พวกคนเกเร
ผู้เฒ่าเฉียวกับลูกศิษย์ของเขาก็อยู่ในฝูงชนเช่นกัน เมื่อเห็นดังนั้นจึงะโขึ้นว่า “พวกเ้าเงียบปากกันได้แล้ว พูดจาเหลวไหลอันใด? มีทาสหลบหนีที่ไหนพาลูกพาเมียกลับมาซื้อที่ดินที่บ้านเกิดแล้วลงหลักปักฐานสร้างบ้านกัน?”
จากนั้นก็ประสานมือคำนับเ้าหน้าที่ทางการด้วยท่าทางนอบน้อม “ท่านเ้าหน้าที่ทั้งสองคงเข้าใจผิดแล้วกระมัง?”
อวิ๋นโส่วจู่กับภรรยาของเขาแอบดูอยู่หลังเนินดินข้างๆ ลานบ้าน พอเห็นผู้เฒ่าเฉียวออกมาช่วยพูดแก้ต่างให้ครอบครัวอวิ๋นโส่วจง ทั้งสองคนก็ด่าทอผู้เฒ่าเฉียวในใจว่า ‘ยุ่งไม่เข้าเื่’
อวิ๋นโส่วจู่ยุยงเถาซื่อสำเร็จ ั้แ่เช้าตรู่ก็ไล่อวิ๋นโส่วกวงกับภรรยา รวมถึงอวิ๋นโส่วเย่ากับภรรยา ไปช่วยทำงานที่บ้านแม่ของเถาซื่อ ส่วนผู้เฒ่าอวิ๋นก็ถูกเถาซื่อหลอกให้ไปบ้านอวิ๋นเจวียนเอ๋อร์ที่ในตำบลด้วยกัน
บังเอิญเหลือเกิน ไม่ว่าจะผู้ใหญ่บ้านหรือหัวหน้าตระกูลต่างก็ไม่อยู่ในหมู่บ้าน ที่บังเอิญยิ่งกว่านั้นก็คือ เขาจะไปแจ้งความที่ศาลาว่าการอำเภอ พอเดินออกจากหมู่บ้านไหวซู่ได้ไม่ไกล ก็บังเอิญเจอกับเ้าหน้าที่ทางการสองคนนั้นพอดี เ้าหน้าที่สองคนนั้นกำลังตามหาคนอยู่ และได้ไต่ถามข้อมูลบางอย่างจากเขา เขาตอบทุกคำถาม แม้จะไม่ใช่คำตอบที่เ้าหน้าที่ทางการสองคนนั้น้า แต่อวิ๋นโส่วจู่ก็ถือโอกาสแจ้งความว่าอวิ๋นโส่วจงเป็ทาสหลบหนี
อวิ๋นโส่วจู่คิดว่าวันนี้ฟ้าดินกำลังช่วยเขา! เดิมทีเ้าหน้าที่ทางการสองคนนั้นรู้สึกผิดหวังที่หาเบาะแสเจิ้นหย่วนโหวซื่อจื่อไม่พบ พอมีคนมาแจ้งความ พวกเขาก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
แม้ทิศตะวันออกไม่รุ่งโรจน์ แต่ทิศตะวันตกอาจสว่างไสว [1] หากพวกเขาจับทาสหลบหนีกลับไป ก็ถือว่าเป็ผลงานไม่น้อย แน่นอนพวกเขาไม่ใช่คนโง่ รู้ดีว่าไม่สามารถฟังความข้างเดียวได้ พวกเขาจึงสอบถามชาวบ้านคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ก็ยิ่งสงสัยว่าครอบครัวอวิ๋นโส่วจงเป็ทาสหลบหนี
หากไม่ใช่ทาสหลบหนี ในเมื่อขายตัวเองไปแล้ว ทำไมยี่สิบปีให้หลังถึงได้กลับมาจากเมืองหลวง? เมืองหลวงคือสถานที่เช่นไร? นั่นคือใต้ฝ่าพระบาทของโอรส์ ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็หาเงินได้ หลายคนอยากจะย้ายไปอยู่ที่นั่นยังไปไม่ได้เลย คนที่ขายตัวเองไปแล้ว ต่อให้เ้านายเมตตาปล่อยตัวเป็อิสระและคืนสถานะให้ ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่อยู่ที่เมืองหลวงต่อ แต่กลับพาลูกพาเมียเดินทางหลายพันลี้ ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการกลับบ้านเกิดมิใช่หรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นโส่วจงผู้นี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับครอบครัว พวกเขาไปสอบถามชาวบ้านหลายคน ทุกคนต่างก็บอกว่าั้แ่อวิ๋นโส่วจงกลับมาตระกูลอวิ๋นก็ทะเลาะกันหลายครั้งแล้ว ในเมื่อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับคนในบ้านเกิดก็ยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะกลับบ้านเกิด
ด้วยเหตุนี้ เ้าหน้าที่ทางการสองคนจึงเชื่อคำพูดของอวิ๋นโส่วจู่ราวเจ็ดถึงแปดส่วน พวกเขาจึงกล้ามาจับกุมคนถึงบ้านเช่นนี้เพราะรู้ดีว่าชาวบ้านในชนบทล้วนเป็คนที่ไม่มีอำนาจ ต่อให้จับผิดคนแล้วจะอย่างไรเล่า? ก็แค่ปล่อยตัวไปก็พอแล้ว คนที่ต้องลำบากก็ไม่ใช่พวกเขาอยู่แล้ว!
เ้าหน้าที่ทางการร่างอ้วนจ้องมองผู้เฒ่าเฉียวด้วยความไม่พอใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็มิตร “ตาแก่หลบไป อย่ามาขัดขวางการทำงานของพวกข้า มิฉะนั้นจะจับเ้าไปรับโทษที่ศาลาว่าการอำเภอ!”
เมื่อเห็นผู้เฒ่าเฉียวถูกเ้าหน้าที่ทางการขู่ตวาด ฟางซื่อจึงรีบเอ่ยขึ้น “ขอรบกวนท่านลุงเฉียวไปตามผู้ใหญ่บ้านให้พวกข้าหน่อยเ้าค่ะ”
ผู้เฒ่าเฉียวรีบตอบรับ “ได้ ข้าจะรีบไปตามผู้ใหญ่บ้านเดี๋ยวนี้” กล่าวจบผู้เฒ่าเฉียวกับลูกศิษย์ก็รีบเดินฝ่าฝูงชนออกไป คนหนึ่งรีบไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน อีกคนหนึ่งรีบไปที่บ้านหัวหน้าตระกูลอวิ๋น
หลังจากผู้เฒ่าเฉียวจากไป ฟางซื่อจึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราแจ้งชื่อเข้าทะเบียนบ้านที่ศาลาว่าการอำเภอแล้ว มีทะเบียนบ้านเป็หลักฐาน”
ก่อนที่เ้าหน้าที่ทางการจะเอ่ยปาก ก็มีคนะโขึ้นมา “ทะเบียนบ้านก็ปลอมแปลงได้!”
“หากไม่ได้เตรียมการมาอย่างดี จะกล้ากลับมาที่หมู่บ้านได้ยังไง?”
“ข้าว่าหากพวกเ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ไปที่ศาลาว่าการอำเภอเสียสิ เป็ทาสหลบหนีหรือไม่ ตรวจสอบดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ?”
“พวกนางไม่กล้าไป ต้องมีพิรุธอะไรสักอย่างแน่ๆ!”
อวิ๋นเจียวฟังคำพูดของคนพวกนั้นด้วยใบหน้าเ็า จดจำใบหน้าของพวกเขาเอาไว้ในใจ! พวกเขาจงใจ!
“พวกเราบริสุทธิ์ หาใช่ทาสหลบหนี! คนบริสุทธิ์ย่อมไม่ต้องสวมโซ่ตรวน ไม่ทราบว่าพวกท่านมีอำนาจอันใดถึงกล้าตัดสินความผิดพวกเราทั้งครอบครัว? ความยุติธรรมของอำเภอจิ่วจิ้นอยู่ที่พวกท่าน หรือท่านนายอำเภอกันแน่?”
คนที่แจ้งความช่างโหดร้ายนัก หากสตรีนางหนึ่งถูกมัดแล้วพาเข้าในอำเภอ ภายใต้สายตาของผู้คน นั่นจะเป็การดูถูกเหยียดหยามเพียงใด? ต่อให้สุดท้ายได้รับการปล่อยตัวโดยไร้ความผิด แต่ชื่อเสียงของสตรีคนหนึ่งก็ถูกทำลายไปตลอดชีวิตแล้ว!
ในแคว้นต้าเยี่ย มีสตรีจำนวนไม่น้อยที่ถูกใส่ร้ายพอได้รับการปล่อยตัวก็เลือกที่จะฆ่าตัวตาย ตัวนางถูกเหยียดหยามก็ไม่เป็ไร แต่เจียวเอ๋อร์ของพวกนาง ต่อให้นางต้องแลกด้วยชีวิต ก็จะไม่ยอมให้เจียวเอ๋อร์ต้องทนรับการโดนดูถูกเหยียดหยามแม้เพียงนิด!
เ้าหน้าที่ทางการทั้งสองถูกฟางซื่อตอกกลับเช่นนี้ พลันไม่พอใจขึ้นมา เ้าหน้าที่ร่างผอมพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเ้าเป็คนดีหรือไม่ ไปที่ศาลาว่าการอำเภอกับพวกข้าเดี๋ยวก็รู้เอง!”
“พวกเรามีทะเบียนบ้าน แจ้งชื่อเข้าทะเบียนบ้านที่ศาลาว่าการอำเภอแล้ว พวกท่านเพียงแค่กลับไปตรวจสอบที่ศาลาว่าการอำเภอ ก็รู้ว่าจริงหรือเท็จ เหตุใดต้องให้พวกเราไปที่ศาลาว่าการอำเภอด้วย?”
“นั่นก็เพราะกลัวพวกเ้าหนีไงล่ะ?” ยังคงเป็คนกลุ่มเดิมที่ะโโวยวาย
ขณะที่ฟางซื่อกำลังโต้เถียงกับเ้าหน้าที่ทางการทั้งสอง อวิ๋นเจียวก็เห็นหัวสองหัวโผล่ออกมาจากเนินดินนอกบ้าน ดวงตาเย็นเยียบของนางหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะซื้อของอย่างหนึ่งจากเถาเป่าอย่างรวดเร็ว
จากนั้นอาศัยจังหวะที่ฟางซื่อกำลังโต้เถียงกับเ้าหน้าที่ทางการ ก็ให้ชุนเหมยกับอวิ๋นฉี่ซานคอยบังร่างของนางไว้ ร่างเล็กๆ ของนางไม่ดึงดูดสายตาใคร จึงลัดเลาะปะปนเข้าไปในฝูงชน มุ่งหน้าตรงไปที่เนินดินนั้น
เชิงอรรถ
[1] แม้ทิศตะวันออกไม่รุ่งโรจน์ แต่ทิศตะวันตกอาจสว่างไสว (东边不亮西边亮) หมายถึง หากเื่หนึ่งไม่สำเร็จ ก็ยังมีเื่อื่นให้ทำสำเร็จได้ คล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า ปิดประตูบานนี้ ยังมีประตูบานอื่นเปิดอยู่