ตอนนี้รัชศกเฉิงเต๋อได้ดำเนินมาอย่างราบรื่นจนกระทั่งเข้าสู่ปีที่สี่แล้ว
ในปีที่สามของรัชศกเฉิงเต๋อ อ๋องอวิ๋นเมิ่งคนใหม่ได้สถาปนาซูปี้หลัวบุตรสาวของผู้ว่าการซูเป็ท่านหญิงอวิ๋นเมิ่ง
อย่างไรก็ตามในปีที่สองของรัชศกเฉิงเต๋อ ได้มีเหตุการณ์สำคัญบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองหยงโจว
ปี้เหยียนสาวงามอันดับหนึ่งคนใหม่ของหอจุ้ยฮวนพลัดตกลงไปในแม่น้ำและเสียชีวิต ม่านอู่จึงกลับคืนสู่สถานะเดิมของนางในฐานะสาวงามอันดับหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน ซูปี้หลัวแห่งจวนผู้ว่าการที่ถูกส่งตัวไปยังสำนักชิงซานเพื่อฝึกฝนวิชากระบี่ั้แ่เด็กได้เดินทางกลับมาแล้ว เพราะมีราชโองการจากเมืองอวิ๋นเมิ่งซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหยงโจวหลายร้อยลี้สั่งให้ซูปี้หลัวเข้าเฝ้าโอรส์
ผู้ที่ติดตามซูปี้หลัวไปยังเมืองหลวงคือซูเจินพี่ชายของนาง
ระยะทางระหว่างเมืองหยงโจวและเมืองอวิ๋นเมิ่งนั้นยาวไกลและยากลำบาก
ระหว่างเดินทางไม่มีใครกล่าวอะไรมาก
ซูเจินและอวิ๋นจื่อนั่งอยู่บนรถม้าและพูดคุยกันอย่างเป็กันเอง
ซูเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบา “ชางอู๋หลิงกำลังจะกลับมาในอีกไม่นาน”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นจื่อก็ถามว่า “เื่นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
ซูเจินไม่ตอบ แต่ถามกลับว่า “เ้าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร?”
อวิ๋นจื่อส่ายหน้า
ซูเจินยิ้ม “เ้ากังวลอะไร? ฮ่องเต้เฉิงเต๋อจะขบคิดเื่นี้แทนเ้าเอง องค์หญิงหลิงดูเหมือนจะเข้าพิธีปักปิ่นในปีนี้ ดังนั้นเ้าต้องไปร่วมพิธีในฐานะพี่สะใภ้”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าและเงียบไป
ชางอู๋หลิงเคยอยู่เคียงข้างนางมาห้าปี แต่พวกเขาก็ทรยศนาง ทั้งยังมีข่าวว่าถูกกำจัดไปแล้ว แต่นางยังไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง ตอนนี้พวกเขาจะกลับมาอีกครั้ง เช่นนี้จะให้นางคิดอย่างไร?
ชางอู๋หลิงยังจำนางได้หรือไม่?
ชางอู๋หลิงดำรงอยู่แบบไหนกันแน่?
นางพยักหน้า “ไม่เป็ไร หลังจากนี้ข้าคงต้องเลิกคิดเื่นี้แล้ว”
ซูเจินยิ้ม “เ้าคิดว่าชางอู๋หลิงเป็ของเ้าหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อรู้สึกงุนงง นางไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
ซูเจินกล่าวต่อว่า “ชางอู๋หลิงเป็กองกำลังของท่านลุงอวิ๋นเซียวมาโดยตลอด”
น้ำเสียงของเขาแสดงถึงความมั่นอกมั่นใจ
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ข้าเพิ่งได้ยินเื่นี้เป็ครั้งแรก ตอนนี้ข้าพอจะเชี่ยวชาญกระบี่บ้างแล้ว ข้าย่อมไม่้าผู้คุ้มกันอย่างชางอู๋หลิงอีกต่อไป”
ซูเจินยิ้ม “ความคิดของเ้าไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักเมื่อเทียบกับสองปีก่อน จูเหยาไม่ใช่อาจารย์ที่โดดเด่น เ้าจะเดินทางไปสำนักฮั่วซานในปีนี้เลยหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า “แน่นอน บางทีเย่เช่อก็อาจไปที่นั่นเช่นกัน”
ซูเจินกล่าวว่า “เ้าเป็ศิษย์ของสำนักชิงซานและเขาก็เป็ศิษย์ของสำนักขงถง เ้าแน่ใจหรือว่าจะไปด้วยกัน?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า “มีคนไม่มากที่รู้จักตัวตนของเขา ดังนั้นอย่ากังวลไปเลย”
ซูเจินเปลี่ยนเื่และกล่าวว่า “ลืมมันไปเถอะ เล่นกู่ฉินให้ข้าฟังสักเพลงสิ”
อวิ๋นจื่อนำกู่ฉินขึ้นมาวางแล้วเริ่มเล่นเพลงเมฆหมอกเหนือลำน้ำเซียวเซียง
เมื่อเล่นจบซูเจินก็ไม่ได้กล่าวอะไร เมื่อก่อนหากอวิ๋นจื่อเล่นเพลงนี้ เสียงเพลงที่ออกมามักฟังดูธรรมดามาก เพราะถึงแม้จิตใจของนางจะสงบนิ่ง แต่นางกลับมีประสบการณ์ชีวิตไม่มากนัก แต่ในตอนนี้หัวใจแห่งฉินของนางดูจะมีความมั่นคงมากขึ้นกว่าเดิม
ในที่สุดบุตรีของท่านลุงอวิ๋นเซียวก็เติบโตขึ้นแล้ว
ซูเจินรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง
เขากล่าวเบาๆ “ไม่เลว เ้าก้าวหน้าขึ้นแล้ว แต่จำไว้ว่าจากนี้ไปเ้าจะไม่สามารถเล่นเพลงนี้ได้อีก”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า
ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนอะไรบางอย่างแหวกผ่านสายลม
อวิ๋นจื่อรู้วิชากระบี่ นางจึงคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็อย่างดี
มันคือเสียงของกระบี่ที่ถูกดึงออกจากฝัก
ใครกัน?
อวิ๋นจื่อเริ่มตื่นตัว
อย่างไรก็ตามก่อนที่กระบี่ของอวิ๋นจื่อจะถูกดึงออกจากฝัก คนขับรถม้าก็นอนจมกองเืแล้ว
เมื่อม่านของรถม้าถูกยกขึ้น กลิ่นอายของกระบี่ยังคงอบอวลอยู่
มือสังหารเป็ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าดุร้าย เขากล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “เ้าคือซูปี้หลัว?”
อวิ๋นจื่อไม่ได้กล่าวอะไร แต่ทันทีที่ก้าวออกจากรถม้ากระบี่ของนางก็ตวัดออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงปะทะกันกระบวนท่าแรกทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ฝีมือของกันและกันได้อย่างชัดเจน
“เ้าเป็ศิษย์ของสำนักฮั่วซานหรือไม่?”
“เ้ามาจากสำนักชิงซานหรือ?”
ทั้งสองกล่าวออกมาแทบจะพร้อมกัน
“สำนักชิงซานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักฮั่วซาน เหตุใดเ้าถึงโจมตีข้า?” อวิ๋นจื่อถาม
ชายผู้นั้นยิ้มอย่างโเี้และกล่าวว่า “เื่นี้ไม่เกี่ยวกับสำนัก เ้าต่างหากที่เดินสะดุดเท้าของคนที่ไม่ควรตอแย”
อวิ๋นจื่อรู้สึกว่าคำกล่าวนี้ช่างไร้สาระ
นางยิ้มบางๆ กระบี่ในมือของนางเพิ่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ การเคลื่อนไหวของกระบี่รุนแรงอย่างถึงที่สุด
เมื่อกระบี่ของนางจ่ออยู่ที่ลำคอของอีกฝ่าย ดวงตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อย
นางยังคงยิ้มและกล่าวว่า “ไปบอกคนที่จ้างวานเ้าว่าหากไม่ใช่เพราะเ้าใช้วิชากระบี่ของสำนักฮั่วซาน ข้าย่อมฆ่าเ้าแน่นอน”
ชายผู้นั้นจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
ซูเจินเฝ้ามองจากระยะไกล แต่ไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เมื่ออวิ๋นจื่อกลับขึ้นมาบนรถม้า ซูเจินก็กล่าวชมเชย “ดูเหมือนว่าเ้าได้เรียนรู้หลายอย่างใน่สองปีที่ผ่านมา จูเหยาสอนเ้าได้ไม่เลวเลย”
อวิ๋นจื่อไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ นางเพียงกล่าวว่า “เราควรทำอย่างไรดี?”
ซูเจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ข้าเกรงว่าอีกฝ่ายคงตั้งใจมาดักรอเ้าที่นี่ เราคงต้องเปลี่ยนแผนการเดินทาง”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ถ้าข้ารู้ก่อนข้าคงจะพาคนมามากกว่านี้ เหตุใดเราไม่หยุดพักเสียก่อนล่ะ?”
ซูเจินมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีแตู่เาและป่าทึบที่ปราศจากร่องรอยของมนุษย์ เขาขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เ้าอาจต้องขี่ม้าเอง”
อวิ๋นจื่อไม่ค่อยพอใจนัก นางกล่าวว่า “ข้าไม่้าขี่ม้า ซูเจินเ้าหาวิธีอื่นเถอะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้