หลินหวั่นชิวอธิบายการร่วมเครือ(แฟรนไชส์)ในยุคปัจจุบันให้ตู้ซิวจู๋ฟัง ตู้ซิวจู๋ยิ่งฟังก็ยิ่งตาเป็ประกาย ความชื่นชมที่มีต่อหลินหวั่นชิวเพิ่มขึ้นอีกหลายระดับ
“ได้ ตกลงตามนี้ ร่วมเครือ! เมืองหลวง ซูโจวและหังโจวเป็ของข้า เ้าห้ามให้ผู้อื่น!”
หลินหวั่นชิวหัวเราะ “วางใจเถิด ข้าไม่ให้สิทธิคนไม่สนิทร่วมเครือ ข้าไม่ได้อยากทำลายชื่อเสียงตัวเอง”
นางคิดไว้แล้วว่าจะให้ร้านที่ร่วมเครือใช้ชื่อว่าชิงอี้จวี เฉพาะร้านที่ตัวเองเปิดเท่านั้นที่ชื่อว่าอันอี้จวี
“ขอบคุณที่เชื่อมั่นในตัวข้า!” ตู้ซิวจู๋ยืดอกพูด หลินหวั่นชิวมองแล้วนึกถึงภาพยนตร์ยุคเจ็ดศูนย์แปดศูนย์
ขอบคุณองค์กรที่เชื่อมั่น!
ขอบคุณพรรคคอมมิวนิสต์และประชาชนที่เชื่อมั่น!
ว่ากันด้วยเหตุผล ผู้ใดจะร่วมเครือก็ไม่สำคัญทั้งนั้น เงินมาของไป ถึงเวลาแล้วทำสัญญาอยู่ดี ไม่ต้องกลัวโดนโกง
อีกอย่าง ต่อให้โกงไม่จ่ายค่าดูแล อย่างมากนางก็แค่ไม่ส่งสินค้า
“พวกเราทำสัญญาเมื่อใด?” ตู้ซิวจู๋ถาม เขาไม่ถามเื่ค่าร่วมเครือ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ แต่เพราะไม่สนใจ
“ไว้สองสามวัน เสร็จงานนี้ข้าจะให้คนส่งสาส์นให้ท่าน” หลินหวั่นชิวตอบ
แม้ตู้ซิวจู๋จะร้อนใจ แต่เขาก็เข้าใจว่าไม่ควรเพิ่มปัญหาให้หลินหวั่นชิวตอนนี้ บอกลาอย่างรู้กาลเทศะ
หลินหวั่นชิวเดินไปส่งเขาที่ประตู ตู้ซิวจู๋หันมาถามนาง “ตอนนี้พวกเราเป็เพื่อนกันแล้วใช่หรือไม่?”
เผชิญหน้ากับสายตาคาดหวังจากเขา หลินหวั่นชิวพยักหน้า “ใช่ พวกเราเป็เพื่อนกันแล้ว” ทั้งยังเป็คู่ค้าที่ร่วมเครือของนางด้วย!
ตู้ซิวจู๋ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน “ในเมื่อเป็เพื่อนกัน เช่นนั้นข้าเรียกเ้าว่าหวั่นชิวได้หรือไม่? คำว่าเจียงไท่ไท่กับต้าเม่ยจื่อฟังดูไม่เพราะเอาเสียเลย!”
“ก็แค่ชื่อเรียก ตามใจท่าน!” หลินหวั่นชิวโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ นางมาจากยุคปัจจุบัน ไม่ได้จริงจังกับคำเรียกเหมือนสตรียุคนี้
“หวั่นชิว งั้นข้าไปก่อน อย่าลืมให้คนส่งสาส์นมาให้ข้า!” ตู้ซิวจู๋ยิ้มกว้างกว่าเดิม
หลินหวั่นชิว “ได้ ว่างแล้วข้าจะไปหา”
ตู้ซิวจู๋ “พวกเราเป็เพื่อนกันแล้ว หากเ้ามีปัญหากระไรก็ส่งคนมาหาข้าที่คฤหาสน์ตระกูลตู้ได้เลย หากผู้ใดรังแกเ้า ไม่ว่าผู้ใดหน้าไหนล้วนบอกข้าได้ทั้งนั้น ข้าจะช่วยออกหน้าเอาคืนให้เอง!”
หลินหวั่นชิวถูกเขาหยอกจนหัวเราะ คิดในใจว่านางมีหย่วนเกอ คงไม่ต้องให้ผู้อื่นช่วยจัดการ กระนั้นปากกลับตอบว่า “ได้ หากข้ามีปัญหาจะไปหาท่านเป็แน่ นี่ก็สายแล้ว ท่านรีบกลับไปเถิด ข้าเองก็ต้องทำงาน”
หลังจากส่งตู้ซิวจู๋กลับไป หลินหวั่นชิวกลับไปช่วยงานที่ร้าน ให้ยายสวีกลับไปทำกับข้าว
“เ้าทำกระไร?” จู่ๆ มีเสียงร้องแหลมดังขึ้นหน้าประตู หลินหวั่นชิวออกไปดู เห็นผู้คุ้มกันหญิงจับฟู่เหรินคนหนึ่ง
หลินหวั่นชิวคุ้นตากับฟู่เหรินคนนี้ เหมือนว่านางจะอยู่ตรอกข้างๆ ถือเป็เพื่อนบ้านกัน
ที่นางไม่รู้คือ ฟู่เหรินคนนี้ก็คือคนที่พูดถึงนางกับเจียงหงหย่วนในทางไม่ดีให้หลินซย่าจื้อฟัง
ไม่ได้มีความแค้นกระไรต่อกัน มีเพียงความอิจฉาริษยา
“เกิดกระไรขึ้น? ไปคุยด้านข้าง” หลินหวั่นชิวให้ผู้คุมกันหญิงลากไปคุยด้านข้าง จะได้ไม่บังทางเข้าร้าน
“นางขโมยของ” ผู้คุ้มกันหญิงตอบ
“เหลวไหล ข้าไม่ได้ขโมยของ!” ฟู่เหรินกระทืบเท้าด่า รอบข้างมีคนมามุงหลายคน ฟู่เหรินฉวยโอกาสร้องไห้โวยวาย “ไอ๊หยา…รังแกเพื่อนบ้านเสียแล้ว ไม่ไหวแล้ว เป็เพียงคนเฝ้าร้านให้ผู้อื่นแต่กลับรังแกเพื่อนบ้านด้วยกัน”
คนที่มามุงดูพากันพูดวิจารณ์เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ชี้ไม้ชี้มือมาทางหลินหวั่นชิวเช่นกัน
หลินหวั่นชิวไม่โมโห นางพูดว่า “ขโมยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับหลักฐาน สินค้าทั้งหมดที่ซื้อจากอันอี้จวีจะมีตราประทับหลังจากจ่ายเงิน ท่านป้าท่านนี้บอกว่าไม่ได้ขโมย เช่นนั้นนำของออกมาดูว่าได้ประทับตราหรือไม่ก็จบเ้าค่ะ”
ฟู่เหรินนึกไม่ถึงว่าจะมีเช่นนี้ด้วย นางกอดหนังสือแน่น นี่มีค่าสี่สิบตำลึงเชียวนะ!
นางเห็นคนพวกนั้นเอาเงินมาซื้อ คนพวกนั้นไม่ได้โง่ หนังสือนี่ต้องเป็ของดีเป็แน่
“ข้าจ่ายเงินแล้ว พวกนางไม่ได้ประทับตราให้เอง ยังจะมาใส่ร้ายข้าอีก!” ฟู่เหรินยืดคอพูด
หลินหวั่นชิวพูดกับฝูงชนรอบๆ “ลุงป้าน้าอาทุกท่าน อันอี้จวีของเราเปิดมาแล้วครึ่งวัน ไท่ไท่และคุณหนูหลายคนต่างซื้อของออกไป แต่นอกจากท่านป้าผู้นี้แล้วไม่มีผู้ใดบอกว่าอันอี้จวีโกงเงิน อีกอย่าง ต่อให้อันอี้จวีจะโกงเงินก็ควรเลือกโกงจากลูกค้าที่มีเงิน ส่วนท่านป้าผู้นี้…ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกท่าน แต่ด้วยครอบครัวของท่าน สามีท่านทำงานใช้แรงงาน ส่วนท่านก็รับจ้างซักผ้า จะเอาเงินสี่สิบตำลึงมาซื้อหนังสือจากที่ใด?”
ฟู่เหรินถูกหลินหวั่นชิวตอกใส่จนกลอกตาด้วยความโมโห
จะรังแกกันเกินไปแล้ว กำลังดูถูกนางชัดๆ!
“เ้า…เ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่มีเงินซื้อหนังสือ เงินนี้พวกข้าเก็บสะสมมาหลายปี นังแพศยา กล้าบอกว่าข้าไม่มีเงิน อยากให้ข้าตายใช่หรือไม่…” ฟู่เหรินตอบสนองเร็วเช่นกัน โต้กลับทันที
หลินหวั่นชิวยิ้มเยาะ “ใช่ ข้าดูถูก แค่ข้าวสวยยังไม่มีกิน จะยอมเอาเงินที่สะสมหลายปีมาซื้อหนังสือหรือ? เอาเช่นนี้ ท่านนำหนังสือออกมาให้ทุกคนดู หากมีตราประทับ ข้าจะใช้คืนสองเท่า จ่ายให้ท่านแปดสิบตำลึง แต่หากไม่มี เช่นนั้นก็เชิญท่านไปพบทางการ!”
นางเชื่อผู้คุ้มกัน เพราะตอนเชิญตัวมานางบอกแล้วว่าถ้าจับคนขโมยของได้จะมีรางวัลให้ แต่หากจับผิดต้องโดนหักเงิน ไม่มีผู้คุ้มกันคนไหนอยากโดนหักเงิน หากไม่แน่ใจจริงๆ คงไม่ลงมือจับ
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้านี่เป็เื่เข้าใจผิด นางยินดียอมรับ ยอมจ่ายเงินชดเชยให้!
หลินหวั่นชิวบอกแค่บอกว่าจะแจ้งทางการก็มีมือปราบมาทันที “เถ้าแก่ ผู้ใดขโมยของ…”
“เพี้ยะ…” ในตอนนี้เองก็มีเสียงดังขึ้น ชายฉกรรจ์ตัวสูงพอให้โอบหลังคนหนึ่งเดินเข้ามาตบฟู่เหริน จากนั้นแย่งหนังสือในอ้อมแขนนางมาโค้งตัวมอบให้หลินหวั่นชิว “เจียงไท่ไท่ โรคประสาทของภรรยาข้ากำเริบ ท่านได้โปรดยกโทษ อย่าถือสาหาความกับนางเลย”
พูดจบก็เตะขาฟู่เหริน “ยังไม่รีบคำนับศีรษะขอโทษเจียงไท่ไท่อีก!”
หลินหวั่นชิวมองบุรุษผู้นี้นิ่งๆ เขาอยู่ด้านข้างมาั้แ่ตอนที่ฟู่เหรินอาละวาดแต่กลับไม่ห้ามปราม ตอนนี้มือปราบมาแล้วถึงเพิ่งะโออกมาแล้ว ไม่ใช่คนดีเช่นกัน
ฟู่เหรินหวาดกลัวเ้าหน้าที่ทางการ รีบคุกเข่าคำนับศีรษะให้หลินหวั่นชิว “ข้าผิดเอง ข้าเป็โรคประสาท คิดว่าตัวเองจ่ายค่าหนังสือแล้ว…ได้ยินท่านพูดเช่นนี้ถึงนึกได้ว่าตัวเองเลอะเลือน ข้าไม่ได้อยากขโมยของ…ที่บ้านยังมีแม่เฒ่าต้องดูแล มีลูกหลานต้องเลี้ยง ติดคุกไม่ได้…เราต่างก็เป็เพื่อนบ้านกัน เจียงไท่ไท่ ท่านช่วยเมตตา อภัยให้ข้าสักครั้งเถิด”
มุมปากหลินหวั่นชิวกระตุก สตรีนางนี้ยอมรับผิดไวไม่เบา
เพื่อนบ้านคนอื่นๆ ช่วยวิงวอน บอกว่าเป็เพื่อนบ้านกัน เมตตาได้ก็เมตตา
