นางแอบเรียกสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดในใจ “สัตว์ปีศาจน้อยจ๋า!”
“มีอะไรก็ว่ามาครับ!” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดกระดิกกลีบใบไม้เล็กๆ ตอนนี้มันเองก็เรียนรู้การวางตัวแล้ว
เบื้องหน้าของหลิวเต้าเซียงดำมืด เ้าหมอนี่เรียนรู้อะไรเร็วจริง ไม่ปล่อยให้นางเหนือกว่า
“คือว่า นายมีวิธีทำแป้งมันเทศหรือเปล่า?”
หลิวเต้าเซียงนึกถึงซวนล่าเฝิ่น [1] ที่เคยกินในชาติก่อน พลันกลืนน้ำลายอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
ไม่ได้กินมานานแล้ว คิดถึงจริงๆ
แต่ว่าเมื่อครู่นั่นเองที่นางนึกได้กะทันหันว่า ได้ข้ามมิติมาราชวงศ์โจวสามปีแล้ว แต่กลับไม่เคยได้กินวุ้นเส้นมันเทศ?!
แน่นอนว่ามันเทศทอด ไม่ว่าจะนึ่ง ทอดหรือย่าง นางก็เคยกินมาทั้งหมด...
สำหรับสายกินแล้ว ดันลืมอาหารรสเลิศเช่นนี้ไปได้ ช่างไม่น่าให้อภัยจริงๆ
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดพูดไม่ออก มันสนใจเพียงแค่เื่สัตว์ปีกกับสัตว์ปีศาจ ไม่เคยอยากรู้ว่าวุ้นเส้นจะเป็แบบไหน!
หลิวเต้าเซียงเห็นว่ามันไม่ได้ส่งเสียง จึงสงสัยว่าวิธีการนั้นยากมากหรือ?
“เอาน่า สัตว์ปีศาจน้อย เราก็คนกันเอง วันนี้นายช่วยฉัน ก็เท่ากับว่าวันพรุ่งนี้นายช่วยตัวเองไว้ นายคิดดูนะ ที่ฉันพยายามก็เพื่อใครกัน เพื่อให้นายได้มีรูปลักษณ์เร็วๆ ว่ากันว่าสิ่งใดๆ ก็ต้องมาจากการสะสม หาก้าเปลือกนอกก็ต้องมาจากการดูแลภายในก่อน ที่ฉันพยายามทำแบบนี้ก็เพื่อนายไม่ใช่หรือ?”
หลิวเต้าเซียงใช้ลูกไม้ออดอ้อนอย่างน่ารักบ้องแบ๊ว!
“ก็ได้ๆ ผมขอไปถามเพื่อนร่วมงานก่อน” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง
มันรู้สึกว่าหลิวเต้าเซียงหน้าหนาเกินไป
ไม่รู้ว่ามันติดต่อกับเพื่อนร่วมงานอย่างไร เพียงแค่ชั่วอึดใจหนึ่งก็หาวิธีทำมาให้ได้ทันที
“โชคดีที่คราวนี้ผมติดต่อมิติคู่ขนานหมายเลขหนึ่งศูนย์ศูนย์แปดหกซึ่งเป็สาวชาวนาตัวเล็กของนางนั้นได้ คุณลองดูว่านี่ใช่สูตรที่คุณอยากได้หรือเปล่า?”
ในสมองของหลิวเต้าเซียงมีภาพฉายขึ้น เป็สูตรวิธีทำที่สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดให้มา นางตรวจดูอย่างรวดเร็ว วิธีการทำแป้งมันเทศหลักๆ คือต้องนำไปโม่ กรอง และตากแป้ง จากนั้นค่อยผสมเป็น้ำ ต้มให้เดือด แล้วทำเป็ผงแป้ง จากนั้นต้องทำกระชอนที่มีรูขนาดเล็กและยาวเป็พิเศษ เื่นี้ไม่ต้องห่วง เพราะสามารถไปหานายช่างเหล็กหลี่หรือบิดาของหลี่ชุ่ยฮัวให้ช่วยทำเป็พิเศษได้
เมื่อนางรู้ตัวอีกที หลิวซานกุ้ยกับหลี่เจิ้งก็คุยเื่มันเทศของปีหน้าจบเรียบร้อย
หลิวเต้าเซียงพินิจดูแล้วจึงเอ่ย “ท่านปู่หลี่เจิ้ง อันที่จริงที่ของเรามีดินเนื้อแข็งค่อนข้างมาก เหตุใดเราไม่ปลูกมันเทศเยอะๆ?”
แม้ว่าจะสู้ดินร่วนไม่ได้ แต่ก็ถือว่าใช้ได้
หลี่เจิ้งอ้าปากและยิ้มขมขื่น เขาจะอธิบายกับเด็กคนนี้อย่างไรดี?
อย่าเห็นว่าที่ครอบครัวหลิวเต้าเซียงยังอาศัยอยู่ในบ้านดินแล้วจะไม่มีกินมีใช้ ใครเล่าไม่รู้บ้างว่าครอบครัวของนางนั้นเจริญรุ่งเรือง การสร้างบ้านเป็เื่ที่ขึ้นอยู่กับว่าครอบครัวของนางจะยินดีทำหรือไม่
จางกุ้ยฮัวพูดอย่างคึกคัก “ขายหน้าท่านลุงหวงแล้ว ลูกรองข้าไม่เคยทำนาทำสวนมาก่อน จึงไม่เข้าใจเื่เกษตรกรรม”
จากนั้นก็หันมาเอ่ยกับหลิวเต้าเซียง “ลูกรัก เ้าคงไม่รู้เื่นี้ แม้ว่าคุณภาพการผลิตมันเทศจะใช้ได้ แต่ก็ไม่สู้ข้าวเปลือกกับข้าวสาลีที่เก็บได้นาน เมื่อเริ่มฤดูใบไม้ผลิ พอปล่อยไว้ในหลุมดินก็ไม่ได้เื่ หากไม่เสียไปก่อนก็รากงอกก่อน อีกอย่างคนร่ำรวยเ่าั้ต่างก็รู้สึกว่านี่คือของชั้นต่ำ ไม่ชอบกิน มีเพียงครอบครัวที่ยากจนอย่างเรา จึงจะปลูกไว้สักหน่อย”
หลิวเต้าเซียงอยากจะบอกว่าแป้งมันเทศนอกจากจะทำซวนล่าเฝิ่นได้อร่อย เวลาเอามาหมักเนื้อต้มซุปก็ดีนัก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเวลานำไปต้มปลา
เมื่อนึกถึงเื่นี้ แมลงในกระเพาะของนางก็เริ่มงอแงอีกแล้ว อยากจะสั่งซวนล่าเฝิ่นมาสักสามชามใหญ่แล้วต้มเนื้อปลาสักหม้อ แล้วหย่อนวุ้นเส้นมันเทศที่แช่น้ำไว้ลงไปในน้ำแกงปลาไม่กี่กำ
จากนั้นสูดดมกลิ่น เมื่อนึกถึงรสชาติที่แสนอร่อยและนุ่มลื่นในปาก หากได้กินในฤดูหนาวที่คนอาจแข็งตายได้ ก็นับเป็การอบอุ่นร่างกายได้อย่างดี
นางไม่เคยได้ยินจางกุ้ยฮัวเอ่ยถึงวุ้นเส้นมันเทศ ก็ยิ่งแน่ชัดว่าห้วงมิตินี้ไม่มีของสิ่งนี้
นางจึงยิ้มอย่างมีชัย!
ท่านปู่หลี่เจิ้งตาเป็ประกาย เขากำลังวิตกเื่นี้ ดีใจจนหน้าแป้นแล้วถามย้ำ “เ้าเอาหมดหรือ?”
จากนั้นก็นึกได้ว่าครอบครัวหลิวเต้าเซียงจะเลี้ยงหมูอีกสามสิบตัว จึงรู้ว่านาง้าซื้อมาเลี้ยงหมู
“หลุมดินในบ้านเรายังมีไม่น้อยนะ!” หลิวชิวเซียงเสียดายเงิน กังวลว่าพอถึงฤดูใบไม้ผลิ มันเทศที่ซื้อมาจะเน่าเสีย
หลิวเต้าเซียงยิ้มจนตาโค้ง ดวงตาดำขลับนั้นมีชีวิตชีวาอย่างมาก
“ไม่เสีย ไม่เสีย”
นางคิดถึงซวนล่าเฝิ่นที่ทั้งเปรี้ยวและเผ็ดแล้ว
ไม่ได้ ต้องสรุปเื่นี้อย่างรวดเร็ว
“ท่านปู่หลี่เจิ้ง รอเมื่อถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ท่านบอกกับทุกคนก็ได้ว่าหลังจากการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงผ่านไปแล้ว ไม่ว่ามันเทศมีเท่าไร บ้านข้าขอรับไว้หมด”
สี่ชั่งต่อหนึ่งอีแปะ คุ้มค่านัก
ของอร่อยแบบนี้หากทำออกมา อย่างไรก็คงต้องขายชั่งละสิบกว่าอีแปะจึงจะดี
“รับไว้หมด?” หลี่เจิ้งสำรวจนาง “เต้าเซียง เ้าต้องรู้ไว้ว่า เมื่อเ้าพูดออกไปแบบนี้ ที่ดินแห้งในหมู่บ้านเราคงถูกทุกคนในหมู่บ้านกว้านซื้อไปหมด”
หลิวเต้าเซียงพูดกับเขาว่า “ไม่เป็ไรหรอก ท่านปู่หลี่เจิ้ง หมู่บ้านเราจะร่ำรวยแล้ว ไม่แน่ว่าท่านก็สามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็กำนันตำบลก็ได้”
“อื้อ แบบนี้ดีๆ ไม่ต้องสนว่าข้าจะได้เป็กำนันตำบลหรือไม่ ขอเพียงทุกคนนึกถึงความดีของครอบครัวเ้า พ่อเ้าเองก็เป็คนเรียนเก่ง ไม่แน่ว่าต่อไปเมื่อมีคนมาสอบถามคุณธรรมของพ่อเ้า ก็อาจจะได้คะแนนเพิ่ม”
หลี่เจิ้งอดสงสัยไม่ได้ว่าหลิวเต้าเซียงมีจุดประสงค์ที่เื่นี้อยู่แล้วหรือไม่
อย่างที่รู้กัน การสอบขุนนางในราชวงศ์โจวไม่เพียงแต่ต้องมีความสามารถที่โดดเด่น แต่การทดสอบคุณธรรมก็มีคะแนนส่วนหนึ่ง หากว่าไม่มีคุณธรรม ไม่แน่ว่าคงเป็ได้เพียงสถานะบัณฑิต แต่เข้าสู่ราชสำนักไม่ได้
แต่พอนึกดู เด็กสาวตรงหน้าอายุเพียงแค่นี้ จะคิดได้ครอบคลุมละเอียดถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน
หากไม่เอ่ยถึงความสงสัยในใจของหลี่เจิ้ง ความดีเบื้องหน้านี้เขาเองก็ได้รับผลพลอยได้ด้วย
เดิมทีหลิวชิวเซียงยังไม่เห็นด้วย เพียงแต่มารดาไม่สนเื่เหล่านี้ ส่วนบิดาก็เชื่อในตัวบุตรสาวคนรอง ดังนั้นแม้นางจะคัดค้าน แต่เื่ก็จบลงเท่านี้
หลังจากที่ส่งหลี่เจิ้งกลับไป หลิวซานกุ้ยไม่ได้สนใจว่าเวลาจะมืดค่ำเพียงใด เมื่อกลับเข้าห้องโถงก็เอ่ยปากถามหลิวเต้าเซียง
“ท่านพ่อ ปีนี้เพื่อหาอาหารไก่กับหมู ข้าบังเอิญเดินทางผ่านตำบลข้างๆ และเห็นท่านปู่คนหนึ่งถูกรังแก” เมื่อเห็นสีหน้าของหลิวซานกุ้ยไม่ค่อยดีนัก นางจึงรีบเอ่ยต่อ “ข้าไม่กล้าเข้าไปห้าม เพียงแต่เมื่อคนพวกนั้นจากไป ข้าจึงเข้าไปใกล้และอยากส่งท่านปู่คนนั้นไปที่โรงหมอ แต่เขาก็แปลก เอ่ยปากขอเงินอย่างเดียว ไม่ให้ข้าส่งไปโรงหมอ ข้าเห็นว่าเขาอายุมากแล้วจึงคิดว่าทำเื่ดี และให้เศษเงินกับเขาไป เขาเห็นว่าข้าใช้ได้ จึงบอกสูตรหนึ่งกับข้ามา และสอนข้าทำมันเทศให้เป็แป้ง”
“แป้ง เป็แบบแป้งเปียกหรือ?” จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าบุตรสาวคงถูกหลอกแล้ว
หลิวเต้าเซียงยิ้มเบาๆ “ท่านแม่ ไม่ใช่ ทำออกมาแล้วตากแห้ง จะคล้ายกับเส้นก๋วยเตี่ยว เหมือนกับก๋วยเตี๋ยวแห้ง เวลากินต้องนำมาแช่น้ำ จากนั้นต้มในน้ำเดือดก็พอ เขายังสอนวิธีการทำเป็อาหารอีกด้วย”
เมื่อหลิวชิวเซียงได้ยินก็เอ่ยถาม “เช่นนี้ก็เท่ากับว่าเ้าอยากลองทำหรือ?”
“เหตุใดต้องไม่ลองด้วยเล่า ถึงอย่างไรมันเทศเ่าั้ก็ไม่ได้ใช้เงินมาก อีกอย่างท่านปู่คนนั้นบอกว่า มันเรียกว่าแป้งมันเทศ ฟังจากน้ำเสียงเขาคงไม่ใช่คนในอำเภอถู่หนิว บางทีอาจจะพเนจรมาจากต่างถิ่นก็ได้”
หลิวเต้าเซียงแอบปาดเหงื่อ ตามคาด เวลาที่พูดโกหกหนึ่งเื่ก็จะตามมาด้วยเื่โกหกอีกมากมายเพื่อกลบเื่แรก
หลิวซานกุ้ยยิ้ม “มันเทศนั้นราคาแค่สี่ชั่งต่อหนึ่งอีแปะ พวกเ้าปล่อยให้นางดิ้นรนเถิด หากทำของอร่อยได้จริง ก็จะเป็บุญปากของเราด้วย”
จางกุ้ยฮัวไตร่ตรองดู ฟังเหมือนจะอร่อยจริง แต่ก็ยังมิคลายสงสัย “แต่ก่อนแม่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เวลาไปซื้อของในอำเภอก็ไม่เคยได้ยินคนเอ่ยถึงเื่วุ้นเส้นมันเทศเลย”
หลิวซานกุ้ยตอบอย่างเฉยเมยว่า “ลูกสาวเราก็บอกอยู่ไม่ใช่หรือว่านี่เป็ของต่างถิ่น หากว่าอร่อย เผลอๆ อาจกลายเป็ของชั้นดี หากทำมากเกิน ก็สามารถส่งไปที่เมืองหลวงได้”
เขาเชื่อในสายตาของบุตรสาวอย่างสุดใจ เห็นว่านางเจรจากับหลี่เจิ้งอย่างมั่นอกมั่นใจ จำต้องรู้สึกว่าของสิ่งนี้สามารถทำเงินได้
หลังจากที่หลิวซานกุ้ยได้เล่าเรียนจึงรู้ว่า การไม่มีเงินนั้นไม่อาจทำอะไรได้
“ลูกรัก เ้า้าอะไรก็ไปซื้อ” ถึงอย่างไร เงินในบ้านของเขาก็อยู่ในมือบุตรสาวคนรอง
หลิวเต้าเซียงคิดว่ามีเงินมากมาย สามารถสร้างบ้านหลังดีๆ ได้ ถึงอย่างไรสองปีนี้ชีวิตครอบครัวนางก็คงรุ่งโรจน์ เงินที่สร้างบ้าน เดาว่าทุกคนคงพอรู้ในใจ “ท่านพ่อ ผ่านพ้นปีใหม่ครอบครัวเราซื้อที่นาดีกันเถิด ท่านพ่อเป็ซิ่วไฉแล้ว ต่อไปคนที่ไปมาหาสู่คงไม่ได้มีแต่คนในหมู่บ้านเรา เื่บ้านคงต้องสร้างหลังใหม่”
“ท่านพ่อ เราจะสร้างบ้านใหม่จริงหรือ?” หลิวชิวเซียงนั้นอิจฉาหลิวจูเอ๋อร์ที่ได้อยู่อาศัยในบ้านแบบนั้น พื้นหน้าบ้านปูด้วยหิน แม้ว่าฝนตกหนักแต่ก็ไม่ทำให้รองเท้าปักสกปรก
เดิมทีหลิวซานกุ้ยอยากจะบอกว่า บ้านเรานั้นพออาศัยอยู่ แต่พอนึกถึงว่าบ้านฝั่งภรรยายังมีน้องชาย หากเขากลับมา บ้านหลังนี้คงไม่พออยู่อาศัย อีกอย่างบุตรสาวคนรองพูดถูกต้อง ตอนนี้ตนเองเป็ซิ่วไฉแล้ว สมควรจะสร้างบ้านที่ดูดีสักหลัง
ว่ากันว่าพระพุทธเ้ายัง้าชุบทอง ส่วนมนุษย์ก็ดูกันที่เสื้อผ้า คนภายนอกที่รู้จักมากหน้าหลายตา ใครบ้างที่ไม่รังเกียจคนจนและชื่นชอบคนรวย
มนุษย์ย่อมเดินขึ้นที่สูง ส่วนน้ำย่อมไหลลงที่ต่ำ
นี่เป็สัจธรรมของมนุษย์โลก หลังจากที่หลิวซานกุ้ยตระหนักรู้ ก็ยิ่งไม่รู้สึกอึดอัด
อีกอย่างการสร้างบ้านที่ดี ครอบครัวตนเองจะได้อยู่อาศัยอย่างสุขสบาย
เมื่อจางกุ้ยฮัวได้ยินว่าจะสร้างบ้านใหม่ ก็ดีใจจนหุบยิ้มไม่ลง
ลูกๆ ก็โตกันแล้ว ส่วนท่านแม่ก็ไม่เหมาะที่จะอาศัยกับเด็กๆ
“ท่านพ่อ ข้าคิดว่าบ้านเรายังต้องสร้างโรงงานไว้ข้างๆ ด้วย และเชื่อมโรงเก็บของกับหลุมดินไว้ เพื่อความสะดวก”
ในชาติก่อน วุ้นเส้นมันเทศนับว่าเป็สิ่งที่ทุกบ้านมักจะซื้อกิน เห็นได้ว่าของสิ่งนี้ได้รับความนิยมชมชอบ
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจสร้างโรงงานพร้อมกับสร้างบ้านไปด้วย
“ถ้าเ้า้าสร้างโรงงาน การทำวุ้นเส้นมันเทศยากหรือไม่ หากว่าไม่ยาก เกรงว่าคงถูกคนแอบฝึกทำได้”
ในสมัยราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่ เพื่อที่จะรักษาทรัพยากรที่มาของเงิน ทั่วไปแล้วเมื่อได้สูตรลับมาก็จะคิดหาหนทางไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้
จางกุ้ยฮัวนึกถึงเื่ที่น้องชายเคยเอ่ยถึงตอนกลับมาใน่ฤดูร้อน ตอนนั้น จางอวี้เต๋อไม่พอใจที่พี่สาว มารดาและหลานสาวทั้งหลายต้องอยู่ในบ้านหลังเล็กเช่นนี้
นางยังจำสิ่งที่เขาพูดในตอนนั้นได้
เขาบอกกับนางว่า “ข้าว่าท่านพี่ ต่อไปบ้านท่านมีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ ข้าเห็นพี่เขยก็ทนลำบากได้ ต่อไปคงต้องสร้างสัมพันธ์กับคนมากมาย ตำแหน่งสถานะก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ไม่พูดถึงท่านพี่กับท่านแม่ บรรดาหลานสาวข้าเอง ต่างก็เป็เด็กสาวที่อ่อนหวาน คงไม่อาจให้มือที่ขาวเนียนของพวกนางต้องเสียดสีจนหยาบกร้าน ต่อไปจะถูกบ้านแม่สามีรังเกียจเอาได้ และรู้สึกว่าบ้านเรานั้นเป็ครอบครัวเล็กๆ แต่งออกไปจะกลายเป็แต่งข้ามชนชั้น ปลายปีนี้หลังจากที่ขายหมูกับไก่ ข้าว่าเราซื้อบ่าวรับใช้มาสักไม่กี่คนไว้ปรนนิบัติดีกว่า”
-----
เชิงอรรถ
[1] ซวนล่าเฝิ่น 酸辣粉 ซวน แปลว่า เปรี้ยว ล่า แปลว่า เผ็ด ส่วนคำว่า เฝิ่น มาจากคำว่า เฝิ่นซือ 粉丝 ซึ่งก็คือวุ้นเส้น เมนูนี้เป็วุ้นเส้นรสแซ่บของทางเสฉวน