บันไดคอนกรีตทอดลงไปในความมืดเป็เส้นตรง
แสงไฟฉายส่องได้ไม่ไกลนัก ก่อนจะถูกกลืนหายไปเหมือนอากาศด้านล่างหนากว่าปกติ เสียงจาก้า—การงัดโลหะ เสียงปะทะ—ค่อย ๆ จางหาย เหลือเพียงเสียงรองเท้ากระทบขั้นบันไดและลมหายใจที่ดังชัดขึ้นทุกก้าว
คิรันลงก่อน
เขานับขั้นในใจโดยไม่รู้ตัว เป็นิสัยที่ไม่เคยหายไปจากสนามรบ ทุกครั้งที่นับจบสิบขั้น เขาจะชะลอฝีเท้าเล็กน้อย รอให้คนข้างหลังยังตามทัน
ภพลงตามมา
มือจับปืนแน่น สายตากวาดซ้ายขวาเป็จังหวะ ไม่เร็ว ไม่ช้า เขาไม่พูด เพราะรู้ดีว่าที่แบบนี้ เสียงคนพูดจะดังเกินจำเป็
ก้องลงเป็คนสุดท้าย
เมื่อเท้าแตะพื้น เขาไม่ขยับทันที แต่ยืนนิ่ง ฟัง
ฟังนานเกินไป
“หวังว่าคราวนี้…” เขาพูดเสียงต่ำ
“…จะไม่ต้องมีใครหายไปอีก”
คำพูดนั้นไม่ได้ดัง
แต่เหมือนกรีดผ่านความเงียบ
คิรันไม่หันกลับ
“นั่นคือเหตุผลที่เราลงมา”
ก้องขมวดคิ้ว
เขาไม่ได้ชอบคำตอบนั้น
แต่ก็ไม่แย้งทันที
ภพเหลือบมองทั้งสองคน
แล้วพูดเหมือนกลบช่องว่าง
“อย่างน้อย คราวนี้เรารู้แล้วว่าพื้นมันพังได้”
ไม่มีใครหัวเราะ
คำพูดนั้นไม่ตลก
แต่มันช่วยให้ทุกคนยังขยับต่อ
ชั้นล่างกว้างกว่าที่คิด
ไม่ใช่ทางเดินแคบ ๆ แต่เป็โถงยาว เพดานต่ำ ผนังเป็แผ่นโลหะสลับคอนกรีต พื้นเรียบผิดธรรมชาติ แสงไฟฉายสะท้อนผิวสนิมเก่า ทำให้พื้นที่ดูแข็งกระด้างและเ็า
อากาศเย็นจัด
นิ่ง
มีกลิ่นคาวบางอย่างลอยค้างอยู่ เหมือนมันติดอยู่ในที่นี้มานาน และไม่คิดจะไปไหน
ภพสูดลมหายใจช้า ๆ
“กลิ่นไม่ใหม่”
ก้องส่องไฟฉายไปตามผนัง
หยุดตรงรอยถลอกยาว
“แต่ก็ไม่เก่าพอจะที่หายไป”
เขาเว้นจังหวะ
เหมือนรอให้ใครสักคนปฏิเสธ
คิรันกวาดสายตาไปรอบ ๆ
“แปลว่ามีคน…หรือมีอะไร ใช้ที่นี่ไม่นานมานี้”
ก้องหันมาทันที
“หรือมันยังใช้อยู่”
ภพชะงัก
มองก้อง
ไม่ชอบน้ำเสียงนั้น
“อย่าเพิ่งลากไปไกล” ภพพูด
“เรายังไม่เห็นอะไร”
ก้องยักไหล่
“ฉันแค่ไม่ชอบที่มันสมบูรณ์เกินไป”
พวกเขาเดินต่อ
ไม่มีเศษอิฐ
ไม่มีรอยถล่ม
พื้นที่ชั้นล่างยังอยู่ในสภาพดีเกินจะเป็ผลจากการถล่ม้า
ภพพูดขึ้นอีก
“ถ้า้าโดนหนักขนาดนั้น ชั้นล่างไม่น่าจะรอด”
คิรันพยักหน้า
“โครงสร้างมันแยกกัน”
ก้องเอามือแตะผนังโลหะ
เย็นจนต้องชักมือกลับ
“เหมือนสร้างไว้คนละเหตุผล”
ภพเหลือบมอง
“บังเกอร์กับแล็บ?”
ก้องหัวเราะเบา ๆ
ไม่มีอารมณ์ขัน
“บังเกอร์สนามรบ ไม่ลงทุนขนาดนี้”
คิรันส่องไฟไปที่รางโลหะฝังในพื้น
“รางพวกนี้ไม่ได้มีไว้ขนคน”
ภพขมวดคิ้ว
“งั้นก็ขนของ”
ก้องพูดต่อทันที
ไม่รอ
“หรือขนตัวอย่าง”
คำว่า ตัวอย่าง ทำให้ทุกคนหยุดเดินพร้อมกัน
ภพถอนหายใจ
“ถ้าเป็แล็บ มันควรอยู่ลึกในประเทศ ไม่ใช่ตรงนี้”
คิรันตอบทันที
“เว้นแต่มันไม่อยากให้ใครรู้ว่ามันอยู่ที่นี่”
ก้องมองเขานานกว่าปกติ
ก่อนพูดช้า ๆ
“หรือไม่ก็ ไม่อยากให้ของข้างในออกไปข้างนอก”
ไม่มีใครเถียง
ไม่มีใครอยากเป็คนพูดต่อ
โถงยาวทอดไปข้างหน้า
ไม่มีป้าย
ไม่มีทางแยก
ไม่มีที่ให้ลังเล
ก้องพูดขึ้นอีก
เหมือนทนความเงียบไม่ไหว
“นทีลงมาเจอแบบนี้…เขาคงเริ่มรู้ชะตากรรมแล้ว”
ภพหันไปมอง
สายตาเตือน
“ก้อง”
ก้องไม่หยุด
“หรือไม่ก็ไม่ทันได้รู้อะไร”
ความเงียบกลับมาอีกครั้ง
คราวนี้หนักกว่าเดิม
คิรันไม่พูด
แต่สายตาเขาไม่ละจากพื้นและผนัง ความรู้สึกบางอย่างกดแน่นอยู่ในอก
ที่นี่ไม่ได้ถูกทิ้งร้าง
มันแค่…อยู่ๆผู้คนก็หายไป
คิรันยกมือ
ทุกคนหยุดทันที
แสงไฟฉายเผยให้เห็นรอยขูดลึกเป็ทางยาว
ขนานกัน
ไม่สม่ำเสมอ
เขาย่อตัว
“ไม่ใช่รอยรองเท้า”
ก้องส่องไฟตาม
“และไม่ใช่ล้อ”
ภพพูดช้า ๆ
“เหมือนอะไรที่มีเล็บลากไป”
ก้องเหลือบมองคิรัน
“รอยนี้…เหมือนมีมาก่อนนทีจะตกลงมา”
คิรันพยักหน้า
“ใช่”
ก้องเม้มปาก
พูดเหมือนย้ำตัวเอง
“…งั้นเราก็มาช้าไปแล้ว”
ไม่มีใครตอบ
แต่ทุกคนคิดเหมือนกัน
ครืดดด...
เสียงขูดเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหน้า
ไม่ดังมาก
ไม่ชัดเกินไป
แต่ใกล้พอให้หัวใจเต้นแรงขึ้นพร้อมกัน
คิรันยกมือ
“หยุด”
กลิ่นคาวแรงขึ้น
เหมือนมีบางอย่างขยับตัวอยู่ในความมืด
ก้องกระซิบ
“มันรู้ว่าเรามา”
ภพตอบเบา ๆ
“หรือมันรออยู่แล้ว”
คิรันมองรอยบนพื้น รอยยังใหม่
“ตั้งแนว” เขาสั่ง
“อย่าเดินชิดผนัง”
ก้องขยับตาม
แต่ก่อนก้าวต่อ เขาพูดขึ้นโดยไม่หันมา
“คราวนี้ อย่าให้มันเอาใครไปได้อีกนะผู้หมวด”
คิรันตอบทันที
ไม่ดัง
และไม่ลังเล
“ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้น”
แต่ในความมืดของชั้นล่าง
รอยขีดบนพื้นทอดยาวออกไป
เหมือนเส้นทางที่มีบางอย่างกำหนดไว้แล้ว
และพวกเขา
กำลังเดินตามมันเข้าไป
ทั้งที่รู้ดีว่า
ไม่ใช่ทุกคน
จะได้กลับขึ้นไป
