โรงงานทางนี้ยังคงดำเนินงานไปได้ด้วยดี หลินเผิงเฟยกับเฉียนหย่งจิ้น รวมถึงหมี่หลันหยาง ต่างช่วยกันขนย้ายเครื่องจักรจากโรงงานเก่ามาที่นี่ การย้ายครั้งใหญ่นี้ก็เล่นเอาเหนื่อยไม่น้อย เครื่องจักรไม่ใช่คนที่จะเดินขึ้นบันไดเองได้ ต้องมีคนยกถึงจะไปได้ แม้ว่าจะจ้างคนงานมาช่วย แต่สามหนุ่มก็แทบจะหมดแรง
เมื่อเห็นเครื่องจักรเรียงรายเป็แถวเป็แนวอย่างเป็ระเบียบในโรงงาน เหงื่อบนใบหน้าของทั้งสามยังไม่ทันแห้งดี รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมา หลินเผิงเฟยชี้ไปยังเครื่องจักรจำนวนมากด้วยท่าทางโอ้อวด
"ดูสิ นี่คือผลงานที่ยิ่งใหญ่ของเรา!"
เฉียนหย่งจิ้นตบไหล่เขาเบาๆ อย่างภูมิใจเล็กน้อย
"แค่นี้เองนายก็พอใจแล้วเหรอ? ต่อไปเราจะทำให้มันใหญ่กว่าและดีกว่านี้ นี่มันแค่เื่เล็กน้อย นายลืมสิ่งที่หลันเยว่เคยพูดไปแล้วเหรอ เราจะต้องก้าวออกไปข้างนอก เมืองซวงเฉิงมันเล็กเกินไปที่จะรองรับอนาคตของเรา"
"นายก็ขี้โม้ไปเรื่อย ยังอีกหลายปีเลยนะ กว่าจะถึงตอนนั้น นายนี่คิดการณ์ไกลจริงๆ"
หลินเผิงเฟยเบ้ปากใส่เขา แต่หางตาที่ยกขึ้นเล็กน้อยก็เผยให้เห็นความคิดในใจของเขาออกมา สิ่งที่เฉียนหย่งจิ้นพูดนั้นเป็สิ่งที่เขาหวังไว้เช่นกัน โลกภายนอกช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ทำให้เขาต้องพยายามให้มากขึ้น
"ไกลอะไรกัน เวลาสามสี่ปีมันก็แค่พริบตาเดียวเท่านั้นแหละค่ะ"
หมี่หลันเยว่ไม่รู้ว่าเข้ามาั้แ่เมื่อไหร่ ยืนอยู่ข้างหลังทั้งสามคน
"สามสี่ปีนี้คือ่เวลาที่เราสะสมพลังงาน มีแต่จะไม่พอ ไม่มีเหลือหรอก"
"การขยายธุรกิจของเรามาถึงตอนนี้ก็ถือว่าเกือบจะเต็มที่แล้ว การเติบโตที่เร็วเกินไปไม่ได้เป็ผลดีกับเรา การวางรากฐานให้มั่นคงนั้นสำคัญกว่า การขยายโรงงานให้ใหญ่โตขนาดนี้ก็เพียงพอแล้ว โลภมากมักลาภหาย ถ้าเราก้าวออกไปข้างนอกไม่ได้ การขยายโรงงานให้ใหญ่กว่านี้ก็ไม่มีความหมายอะไร"
ความหมายของหมี่หลันเยว่นั้นชัดเจน ถ้าจำกัดอยู่แค่ธุรกิจเสื้อผ้าในเฮยหลงเจียง โรงงานที่มีคนงานร้อยคนนี้ก็เพียงพอแล้ว ใช่แล้ว ตอนนี้โรงงานมีขนาดร้อยคนแล้ว จากเดิมที่มีห้าสิบคน ก็รับคนงานเข้ามาเพิ่มอีกห้าสิบคน แบบหนึ่งต่อหนึ่ง รุ่นเก่าสอนรุ่นใหม่
เนื่องจากคนงานที่รับเข้ามานั้นเป็คนที่มีฝีมืออยู่แล้ว จึงน่าจะเริ่มงานได้เร็ว นั่นหมายความว่าปริมาณการผลิตของโรงงานก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือคำสั่งซื้อจากตลาดจะสามารถตอบสนองได้หรือไม่ หากคำสั่งซื้อมีเพียงจำนวนเท่าเดิม ไม่ได้พัฒนาต่อไป โรงงานแห่งนี้ก็จะมีกำลังการผลิตเหลือเฟือ ซึ่งนั่นคือการสิ้นเปลืองทรัพยากร
"ดูเหมือนว่าเป้าหมายต่อไปของเราคือการเร่งพัฒนาตลาด เราจะพยายามทำให้ตลาดในเฮยหลงเจียงอิ่มตัวภายในไม่กี่ปีนี้ ทุกที่ต้องมีสินค้าของเรา แบบนั้นถึงจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเรา"
เฉียนหย่งจิ้นกำหมัดอย่างมั่นใจ หมี่หลันหยางต่อยเขาที่ไหล่
"อย่าเอาแต่พูดพล่อยๆ การเปิดตลาดไม่ใช่เื่ง่ายๆ ต่อไปก็ต้องดูฝีมือนายแล้วล่ะ"
"ไม่มีปัญหา เพื่อนคนนี้ทำได้ดีแน่นอน นี่คือจุดแข็งของฉันเลย"
เฉียนหย่งจิ้นมั่นใจในตัวเองและมั่นใจในลูกน้องของเขามาก
"อย่าพูดมาก พวกเรากำลังจับตาดูอยู่นะ"
คำพูดของหลินเผิงเฟยกระตุ้นเฉียนหย่งจิ้น เขายื่นมือไปจี้เอว
"กล้าดูถูกฉันเหรอ รอให้ถึงวันที่ฉันมีงานจนนายทำไม่ทันสิ จะดูว่าฉันจะจัดการนายยังไง"
ทั้งสองคนนี้เข้าขากันดี หมี่หลันเยว่ชอบบรรยากาศแบบนี้ ที่ไม่ใช่การแข่งขัน แต่เหมือนการแข่งขันมากกว่า
"เอาล่ะๆ เหนื่อยกันขนาดนี้ ยังมีอารมณ์มาทะเลาะกันอีก มื้อเย็นนี้ฉันเลี้ยง อยากกินอะไรอร่อยๆ สั่งมาได้เลยนะคะ"
หมี่หลันเยว่ใจดีจะจ่ายค่าตอบแทนสำหรับงานวันนี้ ทั้งสามคนไม่มีใครเกรงใจ
"หลันเยว่เลี้ยง เราก็ต้องกินของดีๆ หน่อย ฉันอยากกินปู ตอนนี้กำลังอยู่ใน่ฤดูพอดีเลย"
เฉียนหย่งจิ้นไม่เคยรู้จักคำว่าเกรงใจ หลินเผิงเฟยพอคิดถึงของอร่อยๆ ก็อยากกินขึ้นมาทันที
"ฉันอยากกินขาหมู เอาแบบใหญ่ๆ เลยนะ"
หมี่หลันหยางที่อยู่ข้างๆ เกือบจะขำออกมาเป็เสียงดัง เขาอดไม่ได้ที่จะเอาศอกกระทุ้งหลินเผิงเฟย
"ฉันว่านะ เผิงเฟย นายช่วยทำตัวให้มีศักดิ์ศรีหน่อยได้ไหม แค่ขาหมูก็ทำให้นายน้ำลายไหลขนาดนี้แล้วเหรอ?"
"ยังไงก็อร่อยกว่าศอกของนายก็แล้วกัน"
หลินเผิงเฟยก็เอาศอกกระทุ้งกลับไปบ้าง
การกินเลี้ยงครั้งใหญ่เป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่บนโต๊ะอาหาร ทั้งสี่คนก็ยังไม่หยุดพัก
"หลันเยว่ แล้วโรงงานเก่าทางนั้น เธอจะทำยังไง?"
เฉียนหย่งจิ้นกัดปูในมือไปด้วย พลางปรึกษาหารือกับหมี่หลันเยว่ไปด้วย
"พี่หย่งจิ้นมีความคิดอะไรหรือเปล่า?"
เมื่อได้ยินเฉียนหย่งจิ้นพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าเขาต้องคิดหาทางออกไว้แล้ว หมี่หลันเยว่จึงถามกลับไป เธอตั้งตารอความคิดของเฉียนหย่งจิ้น อยากจะรู้ว่าครั้งนี้เขาจะมีความคิดเห็นตรงกับเธออีกหรือไม่
"ฉันคิดว่าร้านเก่าทางนั้นมันเล็กเกินไป แต่ธุรกิจค้าปลีกของเราทางนี้ก็ไม่เลว ลูกค้าบางคนไม่มีเวลาหรือไม่้าเดินทางมาซื้อของที่ห้างเฉียนคุน เราน่าจะขยายร้านใหญ่ทางนั้นนะ สร้างโรงงานเก่าให้เป็ร้านใหม่ ข้างในก็เป็พื้นที่โล่งๆ ที่สร้างไว้สำหรับโรงงาน เหมาะที่จะเป็ร้านค้า"
หมี่หลันหยางชูนิ้วโป้งขึ้นมา ในดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม
"หย่งจิ้นเก่งมาก คิดเหมือนกันอีกแล้ว ตอนที่โรงงานกำลังจะย้ายออก หลันเยว่ก็เคยปรึกษากับฉันแล้วว่าบ้านทางนี้ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ ลูกค้าที่ร้านใหญ่ก็เยอะ น่าจะขยายเป็ร้านค้าไปเลย ไหนๆ ก็เป็บ้านของตัวเอง กำไรก็ต้องดีแน่ๆ"
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ทั้งสี่คนก็ไม่ใช่คนเฉื่อยชา ปรับปรุงบ้านใหม่ เพราะสร้างเป็โรงงานได้ไม่นาน ก็มีแต่ฝุ่น ง่ายต่อการจัดการ จากนั้นก็ออกแบบให้สอดคล้องกับการออกแบบในห้างสรรพสินค้าเฉียนคุน
หมี่หลันเยว่อยากจะทำให้ร้านของตัวเองเป็แบบสาขาอยู่แล้ว จึงตั้งใจจัดระเบียบเป็อย่างมาก แบ่งออกเป็หลายรูปแบบ แม้ว่าจะเทียบกับทางห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนแล้ว พื้นที่ทางนี้เล็กกว่ามาก แต่รูปแบบโดยรวมก็เหมือนกัน ตราบใดที่ออกแบบมาดี ก็จะโดดเด่นได้เหมือนกัน
ทางนี้ก็จัดระเบียบได้อย่างรวดเร็ว หมี่หลันเยว่ก็ออกแบบตู้กระจกขนาดใหญ่เช่นกัน ตู้กระจกนี้เกือบจะเป็ผนังทั้งหมดของลานบ้าน ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ต้องพูดถึง เสื้อผ้าที่จัดแสดงข้างในนั้นยังไม่ทันเปิดร้าน ตู้กระจกก็เต็มไปด้วยผู้คน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาชมสภาพภายในร้าน
"หลันเยว่ ฉันไม่รู้ว่าตอนนั้นเธอคิดยังไงถึงออกแบบตู้กระจกนี้ ั้แ่ร้านเก่าแรกเริ่ม เธอก็ทุ่มเทให้กับตู้กระจกไม่น้อย ตอนนี้ฉันเข้าใจถึงเสน่ห์ของตู้กระจกแล้ว กระจกใสบานนั้นช่วยลดช่องว่างระหว่างลูกค้ากับเราได้อย่างเป็ธรรมชาติ ทำให้พวกเขาเปิดใจรับสินค้าของเราได้อย่างรวดเร็วที่สุด"
คำพูดของหมี่หลันหยางนั้นแปลกใหม่ หมี่หลันเยว่ก็ชอบมากเช่นกัน
"ใช่แล้ว พี่ชายพูดได้ดีมาก เสน่ห์ของตู้แสดงสินค้าช่วยลดช่องว่างระหว่างลูกค้ากับเรา นี่คือความตั้งใจแรกของฉัน ความคิดอาจจะไม่โรแมนติกเท่าที่พี่ชายพูด แต่ก็มีมุมมองที่คล้ายกัน"
"หลันเยว่ เธออย่าถ่อมตัวไปเลย ตู้กระจกของเธอให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมาก ดูสิ ตอนนี้ยังไม่ทันเปิดร้าน ลูกค้าก็สามารถดูสินค้าของเราได้จากที่นี่แล้ว พอเปิดร้านรับรองว่าแห่กันเข้ามา แล้วตรงไปที่เสื้อผ้าที่ตัวเองชอบ เราแทบไม่ต้องแนะนำเลย"
เมื่อเห็นเฉียนหย่งจิ้นทำท่าทางตลก หมี่หลันหยางก็มองเขาอย่างเหยียดๆ
"คิดง่ายไปหรือเปล่า ถ้ามันเป็แบบนั้นจริง ฉันจะสร้างร้านกระจกดูบ้าง จะดูซิว่าไม่ต้องแนะนำสินค้า ก็สามารถเอาชนะใจลูกค้าได้อย่างง่ายดายจริงไหม"
"นายนั่นแหละที่คิดง่ายๆ ถ้ามันเป็แบบนั้นจริง ก็ไม่ต้องมีพนักงานขายแล้ว สร้างเป็บ้านกระจกให้หมดเลยก็ได้"
เฉียนหย่งจิ้นตอบโต้หมี่หลันหยางที่พูดเื่โง่ๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่าคำพูดเ่าั้ไม่ใช่สิ่งที่เขาพูด
"นายก็รู้ว่ามันไม่ได้ผล แล้วจะพูดจาเหลวไหลทำไม"
"ฉันพูดเล่น นายนี่ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ด้วย"
ทั้งสองคนก็ทะเลาะกันไปมา โดยไม่สนใจสายตาที่รังเกียจของคนรอบข้าง
"พี่สาว ร้านเก่าทางนั้นจะใช้เหมือนทางนี้เลยเหรอ?"
หมี่หลันซิงที่ไม่พูดอะไรมานาน ไม่คิดที่จะสนใจพี่ชายที่ยังไม่โตทั้งสองคน จึงดึงพี่สาวมาคุยด้วย
"แล้วนายมีความคิดอะไรบ้างล่ะ?"
่นี้ ถ้าหมี่หลันซิงมีเวลาว่าง หมี่หลันเยว่ก็จะพาเขาไปด้วย เพราะเธออยากจะให้หมี่หลันซิงดูแลกิจการทางนี้ และหมี่หลันซิงก็ไม่ได้มีพร์ในการเรียนเหมือนหมี่หลันหยาง ดังนั้นหมี่หลันเยว่จึงไม่อยากให้เขาข้ามชั้น เรียนให้จบตามขั้นตอน มีผลการเรียนที่ดี หมี่หลันเยว่ก็พอใจแล้ว
ก็เพราะน้องชายเรียนตามขั้นตอน กิจการในซวงเฉิงจึงเหมาะที่จะมอบหมายให้เขา เพราะเขาจะสามารถดูแลได้เป็เวลาหลายปี พอเขาเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยความฉลาดของเขา คงไม่ต้องให้เธอจัดการ เขาก็จะสามารถจัดการทางนี้ได้เป็อย่างดี คงไม่ต้องให้เธอเป็ห่วงมาก
หมี่หลันเยว่ก็แปลกใจเช่นกัน น้องชายที่มีพร์ทางธุรกิจ แต่กลับมีปัญหาในการเรียน ต้องพึ่งพาความขยันในการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป ส่วนพี่ชายก็เรียนได้ไม่ยากนัก แต่เมื่อเทียบกับน้องชายในเื่ธุรกิจแล้วก็ด้อยกว่ากันมาก ช่างเป็คนที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบจริงๆ
"ผมว่าโรงงานของพี่สาวมีสินค้าชั้นนำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เราน่าจะทำร้านเก่าให้เป็ร้านสินค้าชั้นนำ แบบนี้ก็จะแยกคุณภาพกับทางนี้ได้ ไม่งั้นถ้าเอาสินค้าแบบเดียวกันมาวางขายที่นี่ จะไม่เห็นคุณค่าของร้านนั้นเลย สินค้าทางนี้เยอะ ใครจะอยากเข้าไปซื้อของที่นั่นล่ะ"
ในขณะที่หมี่หลันซิงกำลังพูดอยู่นี้ หมี่หลันหยางและเฉียนหย่งจิ้นก็หยุดการโจมตีซึ่งกันและกันแล้ว กำลังตั้งใจฟังเขาพูด พอหมี่หลันซิงพูดจบ หมี่หลันหยางก็พยักหน้า
"หลันซิงนี่สมองเหมาะกับการทำธุรกิจจริงๆ คิดเหมือนกับพี่สาวเลย พี่ชายกลับคิดไม่ถึง"
"พี่ชายยุ่งเกินไป ทั้งย้ายบ้านทั้งขยายร้าน ไม่มีเวลาคิด ผมอยู่ว่างๆ ก็คิดเองเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่า เมื่อกี้ก็แค่ปรึกษากับพี่สาว ขอเสนอแนะเล็กๆ น้อยๆ"
"ไอ้หนู นายนี่ถ่อมตัวจริงๆ"
หมี่หลันหยางลูบเบาๆ ที่หัวเล็กๆ ของน้องชาย รู้สึกสงสารที่น้องชายตัวเล็กแค่นี้ก็ออกมาช่วยงานแล้ว ในขณะเดียวกันก็รู้สึกภูมิใจมาก
"นายไม่ต้องกลัวว่าพี่ชายจะรู้สึกเป็ภาระนะ ถ้าน้องเก่งกว่าพี่ชาย พี่ก็ดีใจด้วย และนายที่เป็แบบนี้ก็จะช่วยพี่สาวได้ดีกว่าด้วย พี่ชายไม่มีหัวทางธุรกิจดีเท่าพวกน้องสองคน แต่พี่ก็จะไม่ท้อถอย จะพยายามอย่างเต็มที่ ตราบใดที่สามารถช่วยพวกน้องได้ พี่ชายก็มีความสุขแล้ว"
ร้านใหม่ของห้องเสื้อหลันเยว่เปิดทำการก่อน จากนั้นร้านเก่าก็เริ่มตกแต่ง เพราะการปรับปรุงร้านสินค้าชั้นนำมีตัวอย่างให้เห็นแล้ว แค่ทำตามรูปแบบก็เรียบร้อยได้อย่างรวดเร็ว เมื่อร้านเสื้อผ้าชั้นนำหลันเยว่เปิดทำการ ร้านใหม่ก็เปิดดำเนินการอย่างเต็มที่ ร้านทั้งสองต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน ธุรกิจก็ก้าวหน้าไปอีกขั้น
