หลินหวั่นชิวตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น นางใช้น้ำร้อนลวกเืไก่กับเืกระต่ายจากเมื่อวันก่อนไว้แล้ว ฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็น ไม่ต้องกลัวเสีย
นางนำเืไก่มาทำเป็น้ำแกงเืไก่ ต้มโจ๊กเืกระต่ายอีกหนึ่งหม้อ จากนั้นนำเืกระต่ายที่เหลือมาผัดกับพริกหยวก
อันที่จริงต้มเืต้องผัดกับพริกดองจึงจะอร่อย แต่ตระกูลเจียงยากจนข้นแค้น ไม่มีอะไรทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไหดองผัก
“นี่กินได้ด้วยหรือ?” เจียงหงหนิงรู้ว่านี่ทำจากเื แต่พวกเขาไม่เคยกินของแบบนี้มาก่อน ในใจจึงหวาดระแวง
“ไม่ตายหรอกน่า!” หลินหวั่นชิวใช้ขนมเปี้ยะหนีบเืกระต่ายขึ้นมาสองชิ้นแล้วกินคำโตต่อหน้าเขา
เ้าเด็กนี่ยังไม่ขอโทษนาง นางจะไม่พูดดีกับเขาหรอกนะ
นี่ไม่ใช่การถือสาเอาความกับเด็ก แต่หลินหวั่นชิวจะทำให้เจียงหงหนิงรู้ว่า ทำผิดก็คือทำผิด
ความผิดพลาดบางอย่างยังแก้ไขได้ แต่ความผิดพลาดบางอย่างไม่มีโอกาสให้แก้ไข อย่างเช่นถ้าหากตายไปแล้วเ้าขอโทษคนตาย…เหอะๆ คิดว่าคนตายจะลุกขึ้นมาบอกเ้าว่า ‘ไม่เป็ไร’ อย่างนั้นหรือ?
ถึงอย่างไรหลินหวั่นชิวก็มองว่า คำว่า ‘ข้ายังเด็ก ข้าไม่รู้เื่’ ไม่ใช่ข้อแก้ตัว
เด็กนิสัยไม่ดีต้องจัดการ
แต่นิสัยโดยเนื้อแท้ของเจียงหงหนิงไม่ได้เลวร้าย จุดเริ่มต้นของเขาไม่เหมือนกัน ดังนั้นแม้หลินหวั่นชิวจะไม่พูดดีกับเขาแต่ก็ไม่ได้ไม่สนใจ
เจียงหงหนิงเห็นหลินหวั่นชิวทานอย่างเอร็ดอร่อย อีกทั้งของนี่ก็ส่งกลิ่นหอมมาก เขากลืนน้ำลาย อดใจใช้ขนมเปี้ยะหนีบก้อนเืขึ้นมากินแบบหลินหวั่นชิวไม่ได้
อร่อยมาก!
อร่อยจนต้องหรี่ตา
หลินหวั่นชิวกินอิ่มแล้ว โจ๊กเริ่มเย็นลงแล้ว นางยกเข้าไปให้เจียงหงป๋อ
“นี่เป็โจ๊กเืกระต่าย กินแล้วช่วยบำรุงเื กินเสร็จค่อยดื่มน้ำแกงเืไก่ มันช่วยบำรุงเืเช่นกัน วันนี้ข้าจะเข้าไปในตำบล ต้าเกอของเ้ารับปากไว้แล้ว กับข้าวข้าทำเสร็จแล้ว ตอนเที่ยงเ้าให้หงหนิงเอาไปอุ่นก็พอ อีกเื่ หากวันนี้เ้ารู้สึกมีแรงก็พยายามขยับแขนขยับขา หรือไม่ก็ให้เจียงหงหนิงช่วยนวด ห่มผ้าให้หนา เปิดหน้าต่างกับประตูให้อากาศถ่ายเท เอาแต่อุดอู้อย่างเดียวจะหายดียาก”
หลินหวั่นชิวกำชับเสร็จก็จะหันออกไป แต่นางกลับได้ยินเสียงอ่อนแรงของเด็กหนุ่ม “พี่สะใภ้…ขอบคุณท่านมาก ข้าไม่ดีเอง เพิ่มปัญหาให้พี่สะใภ้แล้ว ขอให้พี่สะใภ้อย่าได้โกรธหงหนิงเลย ตอนนั้นเขาเพียงแต่ใ”
หากเมื่อก่อนต้องพูดประโยคยาวแบบนี้ เขาต้องรู้สึกเหนื่อยมากอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขากลับไม่เหนื่อยเลยสักนิด รู้สึกว่ายังมีแรงเหลือให้พูดอีกสองสามประโยค
“นี่ไม่ใช่เหตุผล พวกเ้าอาจรู้สึกว่าข้าเป็เมียที่ต้าเกอของพวกเ้าใช้หมูป่าแลกกลับมา สำหรับพวกเ้าแล้ว ข้าเป็แค่สิ่งของของนายพรานเจียง เป็สมบัติของนายพรานเจียง ไม่ใช่มนุษย์คนหนึ่ง ไว้เมื่อไรพวกเ้ามองข้าเป็มนุษย์ที่อยู่ระดับเดียวกับพวกเ้า เราค่อยมาคุยกันใหม่ จริงสิ ข้าเข้าตำบลไปแล้วเ้าก็ให้เจียงหงหนิงอยู่บ้าน อย่าออกไปไหน ลงกลอนประตูให้ดี รอข้ากลับมาตอนเย็น”
หลินหวั่นชิวพูดจบก็เดินออกไป นำเงินไปด้วยยี่สิบทองแดง นี่คือเงินทั้งหมดในกล่องที่เจียงหงหย่วนให้นางดูแล
แค่ยี่สิบทองแดงยังเก็บดีขนาดนี้ ครอบครัวนี้ยากจนจนน่าปวดใจ
แต่ตอนนี้มีนางแล้ว เจียงหงหย่วนมอบที่พักพิงให้นาง ช่วยชีวิตนางถึงสองครั้งสองครา ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะคิดหาวิธีมาช่วยให้เขามีชีวิตที่ดี เปลี่ยนแปลงสภาวะยากจนในปัจจุบันให้ได้
เพราะมีคำของเจียงหงหย่วน เจียงหงหนิงจึงไม่ได้พูดอะไรที่หลินหวั่นชิวออกจากบ้านคนเดียว อันที่จริงเขาค่อนข้างกลัวว่านางจะหนี แต่ก็กลัวว่าถ้าไม่ให้หลินหวั่นชิวออกไป ต้าเกอกลับมาแล้วจะโกรธ
ด้วยเหตุนี้ เจียงหงหนิงจึงยืนมองหลินหวั่นชิวสะพายตะกร้าใบหนึ่งออกไปอยู่หน้าห้องครัวตาปริบๆ
หลังออกจากบ้านตระกูลเจียง หลินหวั่นชิวมุ่งตรงไปที่บ้านตระกูลหวาง
แม้จะบอกว่าเ้าของร่างเดิมเคยไปจ่ายตลาด และหลินหวั่นชิวก็รู้จากความทรงจำเ้าของร่างว่าเข้าตำบลต้องทำอย่างไร แต่หากมีคนไปเป็เพื่อนย่อมสบายใจกว่า
“ท่านอา กุ้ยเซียงอยู่บ้านหรือไม่เ้าคะ?” หลินหวั่นชิวยืนอยู่หน้าบ้านตระกูลหวัง เห็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังกวาดลานบ้านจึงร้องถามเสียงดัง
หญิงคนนั้นเห็นว่าเป็นางก็รีบเชิญเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “หวั่นชิวเองหรือ รีบเข้ามาสิ ทานอะไรมาหรือยัง หากยังไม่ทานก็อยู่กินข้าวที่บ้านเราก่อน”
หลังจากที่เมื่อวานเจียงหงหย่วนเอากระต่ายตัวอวบอ้วนมาให้ หลิวซื่อก็รู้ความสำคัญของหลินหวั่นชิวในใจเขาแล้ว
เจียงหงหย่วนให้ความสำคัญกับภรรยาตัวน้อยคนนี้มาก
หลินหวั่นชิวรีบตอบ “ไม่ล่ะเ้าค่ะท่านอา ข้าทานจากบ้านมาแล้ว แค่จะถามว่าวันนี้กุ้ยเซียงพอจะว่างหรือเปล่า ข้าอยากเข้าไปในตำบล ที่บ้านขาดเกลือขาดน้ำมัน ข้าอยากไปซื้อมาหน่อย”
“โอ้ พอดีเลย ฟู่กุ้ยจะเอาของไปส่งในหมู่บ้าน ถือโอกาสพาเ้ากับกุ้ยเซียงไปด้วยเลย” หลิวซื่อพูดจบก็วางไม้กวาดไปเรียกคนที่หลังบ้าน
ลานหน้าบ้านของพวกเขามีไว้ให้คนอยู่ ด้านหลังเลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด รวมถึงหมูและแกะ
ครอบครัวเกษตรกรงานยุ่งั้แ่เช้า ไม่มีใครว่างง่าน ให้อาหารเป็ดไก่ก็ถือเป็งานเช่นกัน
“พี่สะใภ้”
“พี่สะใภ้มาแล้วหรือ”
หวางฟู่กุ้ยกับหวางกุ้ยเซียงเดินออกมาจากลานหลังบ้านมาทักทายหลินหวั่นชิว
“ดีเลย ข้าอยากไปตลาดั้แ่เช้าแล้ว แต่ท่านแม่ไม่ยอมให้ไป!” หวางกุ้ยเซียงเข้ามาเกี่ยวแขนหลินหวั่นชิวด้วยความดีใจ “พี่สะใภ้เข้ามานั่งก่อนเถิด ข้าไปทานข้าวเดี๋ยวเดียว”
“อ้อ ไม่ต้องรีบ เ้าค่อยๆ กิน” หลินหวั่นชิวโดนหวางฟู่กุ้ยลากเข้ามานั่งบนตั่งในลาน นางจึงช่วยเด็ดผักป่า
“หวั่นชิว รีบวางลงเลย มีที่ไหนให้แขกมาเด็ดผัก” หลิวซื่อรีบเข้ามาแย่งงานในมือหลินหวั่นชิว แต่หลินหวั่นชิวพูดว่า “ท่านอาไม่ต้องเกรงใจ ก็แค่ผักป่าเล็กๆ น้อยๆ ข้าเด็ดครู่เดียวก็เสร็จแล้ว อีกอย่าง ข้าทำงานมาั้แ่เด็ก อยู่นิ่งไม่ได้”
หลิวซื่อคลายมือลงเมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ คิดในใจว่าเด็กคนนี้ช่างน่าสงสาร ต้องอยู่กับครอบครัวเช่นนั้น
ั้แ่เล็กจนโตมีงานให้ทำไม่สิ้นสุดเหมือนวัว ทั้งยังเกือบโดนใช้งานหนักจนตาย
แต่ตอนนี้ดีแล้ว ขนาดเพิ่งมาอยู่กับเจียงหงหย่วนไม่กี่วัน สีหน้าไม่เพียงแต่ดีขึ้นมาก แม้แต่ท่าทีก็ดูมีชิวตชีวา ไม่เหมือนตอนอยู่บ้านตระกูลหลินที่ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองคน ไม่ได้พูดจาเปิดเผยและไม่กลัวคนสักนิดแบบตอนนี้
จะว่าไปแล้ว เด็กคนนี้ก็ถูกรังแกมากเกินไป เกือบถูกทรมานตายที่บ้าตระกูลหลิน พอออกมายังเกือบโดนถ่วงน้ำอีก
นี่เป็สาเหตุที่ทำไมควรมีผู้ชายหนุนหลัง
หลินหวั่นชิวยังไม่รู้ ว่าหลิวซื่อรวมถึงหลายคนในหมู่บ้านมองว่านางเปลี่ยนไปเพราะมีเจียงหงหย่วนหนุนหลัง
“หวั่นชิวเอ๋ย เมื่อก่อนเ้าลำบาก แต่วันหน้าต้องดีขึ้นแน่ หงหย่วนเป็คนดี เ้าอย่าเห็นว่าหน้าตาเขาน่ากลัว แต่แท้จริงด้านในจิตใจนะ เ้าอยู่กับเขา เขาจะดีกับเ้าแน่นอน ชีวิตผู้หญิงเราก็มีแค่นี้ แต่งงานมีลูก ดีกว่าไปเอาผู้ชายที่ไม่รู้หนาวรู้ร้อนเยอะ”
หลินหวั่นชิวหน้าแดง ขณะที่กำลังไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร หวางกุ้ยเซียงเดินออกมาพอดี “ท่านแม่ วันหน้าท่านก็หาผู้ชายที่รู้หนาวรู้ร้อนให้ข้าบ้างสิ”
หลิวซื่อใช้มือฟาดหัวหวางกุ้ยเซียง ด่าว่า “ข้าจะตีเ้าให้ตาย เื่นี้ก็พูดออกมาได้หรือ!” ปัดโธ่ เหนื่อยใจจริงๆ ลูกสาวคนอื่นทั้งน่ารักทั้งรู้ความ เหตุใดลูกสาวนางจึงทั้งโง่ทั้งพูดไม่คิด!