ฉินไท่เฟยชี้ไปที่โจวโม่เสวียนแล้วพูดกับสองสามีภรรยาโจวปิงด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเด็กคนนี้เถิด รู้จักตั้งเงื่อนไขกับข้าด้วย”
“ท่านย่า แป้งย่างรสหวานยังร้อนๆ อยู่ ท่านรีบทานตอนนี้เถิด” โจวโม่เสวียนหยิบแป้งย่างชิ้นเล็กเท่าฝ่ามือเด็กที่กำลังส่งกลิ่นหอมของดอกเหมยกุ้ยออกมา ยื่นไปตรงปากของฉินไท่เฟย
เขาเป็หลานที่อายุน้อยที่สุดที่เกิดจากภรรยาเอก เกิดมาก็มีรูปโฉมหล่อเหลา ทั้งยังปากหวานรู้จักพูดจา จึงได้รับความรักจากฉินไท่เฟยอย่างมาก
ฉินไท่เฟยหัวเราะ “อย่าคิดถึงข้านักเลย ให้บิดามารดาเ้ากินด้วยเถิด” จากนั้นก็กัดแป้งย่างไปคำหนึ่ง แป้งย่างที่เข้าไปอยู่ในปากมีกลิ่นหอมของดอกเหมยกุ้ยอันเข้มข้นกระจายออกมา ทั้งยังมีกลิ่นของน้ำมันงาจางๆ อีกด้วย มีรสชาติหวานเล็กน้อย ให้ความรู้สึกกรอบนอกนุ่มใน อร่อยยิ่งนัก นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าแป้งย่างรสหวานชิ้นน้อยที่ดูธรรมดาจะมีรสชาติที่น่าอัศจรรย์เพียงนี้
สองสามีภรรยาโจวปิงก็ถูกโจวโม่เสวียนป้อนขนมแป้งย่างไปคนละหนึ่งชิ้น
โจวโม่เสวียนได้แป้งย่างรสหวานมาเป็คนแรก กลับได้กินเป็คนสุดท้าย แต่เขาก็รู้สึกมีความสุขมากที่สุด การกระทำเช่นนี้ไม่ได้เสแสร้ง แต่ออกมาจากใจจริงของตน
บนโลกใบนี้ บุคคลเบื้องหน้าทั้งสามคือคนที่เขารักมากที่สุด และเป็ที่พึ่งพิงของเขา โจวโม่เสวียนจะไม่ทำให้พวกเขาลำบากใจเป็อันขาด
ขอเพียงพวกเขามีความสุข พวกเขาชอบ ตนก็ชอบด้วย
ฉินไท่เฟยให้ความสำคัญกับเจียงชิงอวิ๋นมาก นางรักใคร โจวโม่เสวียนก็รักคนคนนั้นด้วย ดังนั้นโจวโม่เสวียนจึงได้ใส่ใจเจียงชิงอวิ๋นมาก
โจวปิงไม่ชอบกินของหวาน แต่ก็ยังกินขนมแป้งย่างรสหวานไปสองชิ้น ทั้งยังกล่าวชมเชยด้วยว่า “แป้งย่างนี้ไม่เลวเลย”
เยี่ยนหวังเฟยกล่าวเตือนขึ้นว่า “ท่านแม่ หลังจากนี้ต้องกินข้าวเย็นอีกนะเ้าค่ะ”
ฉินไท่เฟยมีอารมณ์คล้ายเด็กน้อย “แป้งย่างอร่อยเพียงนี้ ข้ากินข้าวเย็นน้อยลงหน่อยก็ได้” จากนั้นก็กินไปสามชิ้นจึงจะหยุด นางมองไปทางโจวโม่เสวียนแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเรากินกันเสร็จแล้ว รีบพูดมาเถิดว่ามีเื่น่าสนใจอันใด”
โจวโม่เสวียนวางท่าทีเคร่งขรึม “นี่… ข้าต้องพูดให้ชัดเจนเสียก่อน เื่น่าสนใจนี้อยู่นอกเหนือการคาดเดาของผู้คนยิ่งนัก บางเื่ก็นำไปเล่าให้ผู้อื่นฟังไม่ได้ กระทั่งอาจรู้สึกว่าไม่เหมาะสมด้วยซ้ำ ท่านก็ฟังเป็เื่สนุกไปเถิด อย่าได้คิดมากจนทำให้ไม่สบายใจนะขอรับ”
ฤดูหนาวอากาศหนาว ฉินไท่เฟยไปที่ใดไม่ได้ ได้แต่อยู่ในจวนอ๋องจนเบื่อแล้ว นางชอบฟังเื่ซุบซิบเป็ที่สุด จึงโบกมือเร่ง “รีบพูดมาเถิด”
“เื่นี้เกิดกับคนรู้จักของท่าน ซึ่งก็คือลุงโจว บ่าวชราของท่านอานั่นเอง ครั้งที่แล้วลุงโจวมาจวนพวกเราเพื่อให้หมอหลวงและหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองเยี่ยนมาช่วยตรวจรักษา แต่กลับตรวจไม่พบว่าเป็โรคอะไรกันแน่ เมื่อกลับไปถึงจวนท่านอา อยู่มาวันหนึ่งอาการก็กำเริบ…”
โจวโม่เสวียนมีคารมคมคาย ใช้จังหวะในการเล่าเื่ได้ดีน่าสนใจ มีสีสันยิ่งกว่านักเล่าเื่ด้านนอกเสียอีก ฉินไท่เฟยและเยี่ยนหวังเฟยได้ฟังก็รู้สึกเพลิดเพลิน
ในใจโจวปิงไม่เชื่อว่าจะมีก้อนหินอยู่ในร่างกายมนุษย์ได้ แต่เมื่อเห็นมารดาแท้ๆ และภรรยาเอกของตนกำลังตั้งใจฟังเื่เล่านั้น จึงไม่อยากกล่าวขัดการเล่าเื่ของโจวโม่เสวียน
“ท่านอาไม่เชื่อ จึงไปหยั่งเชิงหมอเทวดาน้อยครั้งแล้วครั้งเล่า”
“ในจวนท่านอามีคนมากมายเห็นกับตาว่าในอุจจาระของลุงโจวมีก้อนหินอยู่จริงๆ”
“ความจริงอยู่เบื้องหน้าแล้ว อ่า... ท่านแม่ ท่านเป็อะไรไปขอรับ ข้าพูดเื่น่าสนใจที่มีบางส่วนมิอาจนำไปบอกต่อผู้อื่นได้ ข้าไม่ควรบรรยายเลยจริงๆ” โจวโม่เสวียนหน้าเจื่อน รีบเข้าไปประคองเยี่ยนหวังเฟยออกไปอาเจียนที่ด้านนอก
ฉินไท่เฟยกล่าวกับโจวปิงว่า “ข้าไม่เป็ไร ภรรยาของเ้ารับไม่ไหวเสียแล้ว เ้าไปดูนางเถิด”
เยี่ยนหวังเฟยที่เพิ่งเดินออกไปถึงประตูหันกลับมาบอกว่า “ท่านแม่ ข้าไม่ได้คลื่นไส้ แต่ไม่ทราบว่าเป็อะไรจึงอยากอาเจียน”
ฉินไท่เฟยเกิดความกังวลขึ้นมา “คงมิใช่ว่าต้องลมเย็นกระมัง รีบไปเรียกหมอหลวงมาเถิด”
ไม่นานหมอหลวงก็มาถึง เขารีบจับชีพจรให้เยี่ยนหวังเฟยที่ไปอาเจียนเอาน้ำเปรี้ยวๆ ออกมาแล้วต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็จับชีพจรอีก สุดท้ายจึงมีสีหน้ายินดี กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวานว่า “กระหม่อมยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไท่เฟย ท่านอ๋อง หวังเฟย มีข่าวดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนหวังเฟยดีใจจนเสียงสั่น “ข้ามีข่าวดีแล้ว ข้าตั้งครรภ์แล้วหรือ” นางอายุสามสิบหกปีแล้ว เป็ย่าแล้ว ถึงกับมีข่าวดีเช่นนี้เชียว นี่เป็เื่มงคลที่นางคาดไม่ถึงจริงๆ
ฉินไท่เฟยลุกขึ้นเดินเข้ามาด้วยความดีใจ จับแขนทั้งสองของเยี่ยนหวังเฟยแล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “บุตรชายข้า เ้ามีหลานเพิ่มให้ข้าอีกแล้ว ดีเหลือเกิน ดีจริงๆ”
โจวปิงหัวเราะเสียงดัง ประทานรางวัลแก่หมอหลวงและบ่าวไพร่ในจวนทุกคน
เมื่อครู่โจวโม่เสวียนยังคิดตำหนิตนเอง แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าเป็ข่าวดีก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง แม้อยู่ต่อหน้าหมอหลวงก็ไม่แสร้งทำเป็สุขุมเยือกเย็นอีกต่อไป ถึงกับะโโลดเต้นแล้วกล่าวว่า “ข้าจะมีน้องชายแล้ว”
หมอหลวงคิดในใจว่า ท่านเสี้ยนกงก็มีน้องชายที่เกิดจากอนุภรรยาอยู่แล้ว แต่น้องชายผู้นั้นจะเหนือกว่าน้องชายแท้ๆ ได้อย่างไร
บ่าวที่ยืนอยู่ข้างหลังฉินไท่เฟยชี้ไปที่แป้งย่าง “แป้งย่างที่คุณชายเจียงส่งมาให้ช่างดียิ่งนัก กินแล้วเป็มงคลสมปรารถนา ไม่ว่าคิดสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ”
ฉินไท่เฟยยิ้มแล้วกล่าวว่า “เหตุใดเ้าไม่พูดว่าเื่ที่เขาเล่าน่าสนใจเล่า”
เยี่ยนหวังเฟยมีใบหน้าเบิกบาน กล่าวชื่นชมไปว่า “แป้งย่างรสหวานดียิ่งนัก เื่เล่าก็น่าสนใจ”
โจวปิงเอ่ยว่า “เด็กๆ รีบไปแจ้งข่าวนี้กับญาติผู้น้องของเปิ่นหวาง”
หากย้อนนึกไปถึงชีวิตของเจียงชิงอวิ๋นช่างน่าเวทนายิ่งนัก เมื่อครั้งที่อยู่ในจวนก็ได้รับความใส่ใจจากฉินไท่เฟยและ โจวปิงมาก นึกไม่ถึงว่านี่กลับทำให้คนบางพวกในจวนอ๋องเกิดความรู้สึกอิจฉา กลายเป็ขัดตาพวกเขาไปเสีย
เจียงชิงอวิ๋นทำเพียงออกไปจากจวนอ๋อง ไปอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง
โจวปิงเพิ่งรู้เื่นี้ก่อนเกิดเื่ไม่นาน ในใจย่อมรู้สึกผิดต่อเจียงชิงอวิ๋น
รัชทายาทโจวจิ่งวั่งและพระชายาหม่าหวั่นได้ทราบข่าวก็รีบมา ทั้งยังพาบุตรชายอายุขวบกว่าๆ นามโจวเว่ยมาด้วย “ยินดีด้วยขอรับ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่”
โจวเว่ยยังอายุน้อย ยังพูดไม่ได้ ได้แต่ประสานมือแล้วหัวเราะเป็การอวยพร เขาสวมอาภรณ์สีแดง ประดับหยกพกสีขาว มีใบหน้าอวบอิ่มดูมีชีวิตชีวา เห็นแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกรักใคร่โปรดปราน
“ดวงใจของข้า เ้ามาแล้วหรือ รีบมาหาย่าเร็วเข้า” เยี่ยนหวังเฟยกวักมือเรียกโจวเว่ย ขณะที่กล่าวคำนี้ก็ให้นึกไปถึงบุตรที่ยังไม่เกิดมาดูโลกของตน บุตรคนนี้อายุน้อยกว่าหลานชายเสียอีก นางอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงระเรื่อ
ฉินไท่เฟยมองไปยังหม่าหวั่นที่นั่งอยู่ข้างๆ นางมีรูปโฉมงดงามจนทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นหวั่นไหว “มารดาของเ้าตั้งครรภ์แล้ว ไม่อาจเหน็ดเหนื่อยเกินไปได้ เื่ในจวนก็ให้เ้าจัดการชั่วคราว”
“เพคะ สะใภ้จะทำตามที่ไท่เฟยรับสั่ง” หม่าหวั่นรู้สึกยินดียิ่งนัก ในที่สุดก็ได้งานดูแลจวนแล้ว
ฉินไท่เฟยหันไปพูดกับเยี่ยนหวังเฟยด้วยรอยยิ้ม “เ้าก็ดูแลครรภ์ให้ดี ปีหน้าก็คลอดหลานชายตัวอ้วนให้ข้าสักคน อืม... หากเป็หลานสาวอวบอ้วนก็ดีเช่นกัน ข้าชอบทั้งนั้น”
“ยินดีด้วยเ้าค่ะ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่” โจวฉยงรุ่ยก็มาแล้วเช่นกัน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อครู่ตอนอยู่ในงานเลี้ยงนางก็ได้รับคำอวยพรจากสหายมากมาย เกิดในครอบครัวเช่นนี้ มารดาแท้ๆ ก็ได้รับความรักจากบิดา ในฐานะที่เป็บุตรสาวย่อมรู้สึกเป็เกียรติ
เยี่ยนหวังเฟยตั้งครรภ์อีกครั้งแล้ว ชายารองทั้งสองและนางบำเรออีกสองคนที่อยู่เรือนหลังรู้สึกแย่จนรับไม่ไหว
“หวังเฟยอายุมากเพียงนี้แล้ว ครรภ์นี้จะปลอดภัยหรือ”
“ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องเสด็จไปหาหวังเฟยบ่อยๆ หวังเฟยไม่เห็นจะตั้งครรภ์ เหตุใดคราวนี้จึงตั้งครรภ์ขึ้นมาได้”
บุตรชายคนโตที่เกิดจากเยี่ยนหวังเฟยมีตำแหน่งเป็รัชทายาท(ซื่อจื่อ) บุตรชายบุตรสาวคนอื่นๆ ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็เสี้ยนกงเสี้ยนจู่ หากลูกในท้องของนางออกมาดูโลก จะต้องได้รับการแต่งตั้งเป็เสี้ยนกงหรือเสี้ยนจู่แน่นอน
“หากหวังเฟยได้โอรสก็เป็เสี้ยนกง และหวังเฟยก็จะมีโอรสกินบรรดาศักดิ์เสี้ยนกงเพิ่มอีกหนึ่งพระองค์”
“หวังว่าหวังเฟยจะได้พระธิดา”
คนเหล่านี้แต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ลอบก่นด่าสาปแช่งอยู่ในใจ
โจวลั่วเหยียนคิดมาตลอดว่าตนเป็บุตรชายที่อายุน้อยที่สุดของโจวปิง และได้รับความโปรดปรานมากที่สุด ก่อนหน้านี้เขามักจะเปรียบเทียบตนเองกับโจวโม่เสวียน หากบุตรของหวังเฟยคลอดออกมา ก็จะมีคนให้เปรียบเทียบมากขึ้นแล้ว
บุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกย่อมได้รับความรักความโปรดปรานมากกว่าบุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยา
เขากลัวจริงๆ ว่า ครรภ์ของเยี่ยนหวังเฟยจะเป็บุตรชาย
คืนนั้นเจียงชิงอวิ๋นได้รับข่าวมงคลนี้ก็รู้สึกดีใจแทนโจวปิงและครอบครัว “ข้ากำลังไว้ทุกข์คงไม่สะดวกไปที่จวนแล้ว พรุ่งนี้ให้ลุงฝูไปแสดงความยินดีกับญาติผู้พี่และพี่สะใภ้แทนข้าเถิด”
สิ่งที่เขาไม่ทราบก็คือ ครรภ์นี้ของเยี่ยนหวังเฟยดึงดูดความสนใจของคนทั้งจวนอ๋อง เหล่าคนที่ริษยาเขาจะจับเขาโยนเข้าไปในความวุ่นวาย
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้