คุณปู่ตระกูลมู่เห็นว่าสีหน้าของหลินลั่วหรานดูผ่อนคลายลงแล้วก็ลูบเคราพร้อมพูด “หากรับหยกของหนูมาโดยเปล่าแล้วไม่ตอบแทนคืนกลับไป ในการฝึกศาสตร์นี้ ก็คงจะก้าวเดินไปในทางไม่ดีแน่ หนูหลินมีอะไรที่หนูอยากได้ แล้วพวกฉันพอจะหามาให้ได้ ก็ขอให้บอกออกมาเถอะนะพวกฉันจะได้ไม่รู้สึกแย่มากนัก?”
หลินลั่วหรานไม่ค่อยเข้าใจอะไรนักเธอไม่รู้ว่าที่คุณปู่ตระกูลมู่พูดจริงจังแค่ไหน เธอได้แต่คิดอยู่สักพัก “่นี้หนูอยากจะฝึกการปล่อยเวทลูกไฟน่ะค่ะ แต่ว่าไม่มีใครมาช่วยสอนไม่รู้ว่าถ้าจะขอเชิญให้พวกท่านทั้งสองมาช่วยสอนจะได้ไหม?”
หลังจากที่ตกลงจะเข้าร่วม “ค่ำคืนแห่งเบอร์มิวดา” ไปกับเหวินกวนจิ่งแล้ว ถ้าเธอไม่สามารถใช้เวทได้เลยสักอย่างก็คงไม่เพียงแค่อาจจะถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงแต่เื่ความปลอดภัยของตัวเองก็เป็อีกเื่ที่สำคัญ
เมื่อเห็นว่าคนแก่ทั้งสองหันหน้าเข้าสบตากันดูเหมือนว่าจะประหลาดใจที่อาจารย์ของเธอไม่สอนเวทให้ในใจของหลินลั่วหรานก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมา แต่กลับไม่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าแม้แต่น้อยเธอคิดว่าการหาข้ออ้างคือสิ่งที่ดีที่สุดแต่การโกหกครั้งหนึ่งนั้นมักจะ้าคำโกหกมาช่วยเข้าอีกมากและก็มีโอกาสที่จะถูกเปิดโปงได้เสมอ หลินลั่วหรานตัดสินใจอย่างแน่วแน่มาลองเสี่ยงกันดูเสียหน่อยก็ดี หากมีคนมองออกมาเธอก็แค่พาพ่อกับแม่แล้วก็ลั่วตงหลบเข้าไปในป่าลึก พอให้มีพลังมากพอแล้วค่อยกลับออกมาก็คงจะได้ก็มีเพียงแค่นี้แหละนะ
ความจริงที่คุณปู่ตระกูลมู่และชายแก่สกุลกัวประหลาดใจนั้นไม่ใช่การสงสัยว่าเธอเป็เพียงเสือกระดาษอย่างที่หลินลั่วหรานกังวลแต่เป็เพราะว่าคำขอของเธอ หากเทียบกันกับมูลค่าของหยกแล้วมันไม่ได้เข้ากันเลยแม้แต่น้อย
เวทการปล่อยลูกไฟง่ายๆ หากว่าตอนนี้โลกการฝึกศาสตร์ไม่ได้ตกต่ำลงก็เป็เพียงสิ่งที่ใครๆ ต่างก็ทำกันได้ทั้งนั้น ไม่ใช่เวทลึกลับวิเศษอะไรหยกที่หลินลั่วหรานเอามานั้นสามารถส่งพลังที่ร่างกายของคนเราสามารถดูดซึมได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านการสกัดประโยชน์ที่มีต่ออาการาเ็ของชายแก่สกุลกัวนั้นไม่ต้องพูดถึงแต่ถ้าเอามาให้เป็ระยะเวลาต่อกันยาวนาน ก็สามารถช่วยประหยัดเวลาในการฝึกศาสตร์ลงไปได้กว่าเท่าตัว
คุณปู่ตระกูลมู่พูดออกมาอย่างสงบนิ่ง “หนูหลินหนูรู้หรือเปล่าว่าหยกที่หนูนำมามีค่ามากแค่ไหน?”
หลินลั่วหรานนิ่งไป มันมีค่ามากเลยเหรอ? ไม่ใช่ว่าเธอใช้เวลานิดหน่อยก็สามารถทำออกมาได้แล้วไม่ใช่เหรอไม่คิดเลยว่าในสายตาของนักฝึกศาสตร์ระดับพื้นฐานอย่างพวกเขา จะถือว่ามีค่ามากแล้ว
เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าหลินลั่วหรานเพิ่งจะฝึกศาสตร์ได้ไม่นานนักคุณปู่ตระกูลมู่ก็รู้ขึ้นมา
“หนูได้รับโอกาสครั้งใหญ่ ยังไม่รู้ถึงความยากลำบากของการฝึกั้แ่พันปีก่อนที่พลังลดน้อยลงแม้แต่พลังที่หลงเหลืออยู่ก็กระจัดกระจายไปหมดแล้วการที่นักปราชญ์คนหนึ่งจะดูดซึมพลังได้ ไม่เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลาสักพักหนึ่งแต่กลับต้องใช้ระยะเวลากว่าสามเท่าในการสกัดหรืออาจจะมากกว่านั้น...แม้ว่าระดับพื้นฐานจะมีอายุได้ถึงสองร้อยปีแต่ถ้าหากพื้นฐานแย่หน่อย ก็ถูกระยะเวลาที่ต้องเสียไปนี้ในการฝึกจนถูกดึงรั้งเอาไว้ ไม่อาจจะไปไหนได้ อีกทั้งเพราะพลังไม่สงบพลังต่างแก้ไขฤทธิ์ยาให้ผิดแปลกไป ยาที่เคยใช้ในอดีตก็ไม่อาจจะใช้ได้อีกต่อไป เหล่ายาที่คอยช่วยเหลือเหล่าผู้ฝึกศาสตร์เหล่านี้ก็กลายเป็สิ่งหายากขึ้นมาและนี่ก็เป็เหตุผลว่าทำไมถึงไม่มีใครได้ก้าวเข้าสู่ระดับรวมพลังอีกแค่นี้หนูก็น่าจะรู้แล้วนะว่าหยกที่เต็มไปด้วยพลังที่สามารถดูดซึมเข้ามาได้โดยตรงนี้ มีค่ามากแค่ไหน”
ในตอนที่คุณปู่ตระกูลมู่พูดถึง “ไม่มีใครได้ก้าวเข้าสู่ระดับรวมพลังอีก” ก็อดที่จะนิ่งไปไม่ได้แต่เมื่อนึกถึงว่าหลินลั่วหรานยังมีอาจารย์ลึกลับคนนั้นอยู่เื้ัจากการคาดเดาของพวกเขา ไม่ใช่ว่าก็เป็ผู้าุโระดับรวมพลังเหรอ
เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานกำลังตั้งใจฟัง ก็เดาว่าอาจารย์ของเธอต้องไม่เคยพูดเื่ความยากลำบากเหล่านี้ให้ฟังเมื่อคิดไปคิดมา คนที่สามารถนำหยกแบบนี้ออกมาได้ ปัญหาลำบากของผู้ฝึกศาสตร์ทั่วไปบางทีอาจจะไม่ใช่ปัญหาของอาจารย์ผู้นั้นเลยแม้แต่น้อยแล้วเขาจะพูดออกมาให้กระทบกับการฝึกของลูกศิษย์ทำไม?
เมื่อคิดได้ดังนี้คุณปู่ตระกูลมู่ก็หยุดเื่นี้เอาไว้ในใจของหลินลั่วหรานเต็มไปด้วยความร้อนรนสิ่งที่เธอขาดแคลนที่สุดก็คือความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของโลกการฝึกศาสตร์นี่แหละแต่คุณปู่ตระกูลมู่กลับหยุดคำพูดเอาไว้เพียงแค่นั้น น่าเสียดายเสียจริง
ชายแก่สกุลกัวกลับคว้าเอาหนังสือเล่มหนึ่งออกมาก่อนจะส่งมันให้กับหลินลั่วหราน ้ากระดาษที่ซีดเหลืองเขียนเอาไว้ว่า “เวททั้งห้า” หลินลั่วหรานรับมาดูเธอใปนกับความรู้สึกเหลือเชื่อ เวทของเหล่าผู้ฝึกศาสตร์ที่เธอปรารถนาอยู่ในมือของเธอแล้ว?
ชายแก่สกุลกัวมองไปยังสีหน้าของเธอ ก่อนจะพูดอธิบายออกมา “อย่าได้ใไปเลย นี่เป็เพียงเวทขั้นพื้นฐานทั่วไปเท่านั้นเอากลับไปลองอ่านดูเถอะ มันเป็ของหนูแล้ว”
“ขอบคุณนะคะท่านกัว!” น้ำเสียงแสดงความขอบคุณของหลินลั่วหรานเต็มไปด้วยความจริงใจแม้ว่าสำหรับคนอื่นมันจะเป็เพียงเวทธรรมดาทั่วไป แต่สำหรับเธอแล้วมันกลับมีค่ามากยิ่งเมื่อเธอเปิดไปยังหน้าแรก ก็ได้พบว่ามันคือพลังที่เหวินกวนจิ่งเคยปล่อยออกมาและหลินลั่วหรานพยายามฝึกอยู่กว่าครึ่งวันอย่างเวทลูกไฟหลินลั่วหรานก็ยิ่งดีใจขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานดูดีใจชายแก่ทั้งสองก็ได้แต่ชื่นชมจิตใจที่ดีของเธอแต่ว่าแค่หนังสือเวทขั้นพื้นฐานเล่มเดียวจะไปตอบแทนน้ำใจที่ช่วยยืดระยะเวลาชีวิตของเธอได้อย่างไรกัน? อย่างไรก็คงจะต้องหาอะไรดีๆ มาตอบแทนให้เธอ เพียงแต่จะให้อะไรถึงจะพอเข้าตาของศิษย์รักผู้าุโระดับรวมพลังกันนะ นี่ต่างหากที่เป็ปัญหาใหญ่
คุณปู่ตระกูลมู่เห็นว่าเธอดูมีความสุขมากก็จัดการเอาความคิดเื่ของตอบแทนพักไปไว้ก่อน เมื่อคิดขึ้นมาในใจมือขวาก็ขยับท่าทางออกมา ก่อนจะเห็นก้อนดินสี่ก้อนผุดขึ้นมาจากพื้นหลินลั่วหรานััได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังเธอไม่รู้ว่าคุณปู่ตระกูลมู่จะทำอะไรเธอมองไปยังท่าทางที่มือของคุณปู่ตระกูลมู่ตาไม่กะพริบในเวลาเดียวกันก็ส่งจิตความคิดออกไปดูการเคลื่อนไหวของพลังหลินลั่วหรานเคยล้มเหลวในการฝึกเวทลูกไฟมาแล้วครั้งหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองจะมองข้ามการเคลื่อนไหวของพลังมากเกินไป แน่นอนว่าครั้งนี้เธอจะไม่ยอมเสียโอกาสไปอีก
ในเวลาสั้นๆ เวทที่คุณปู่ตระกูลมู่ร่ายออกมาก็ปรากฏรูปทรงขึ้นที่แท้มันก็มีรูปร่างเป็โต๊ะและเก้าอี้นั่งอีกสามตัว
ในสายตาของคนทั่วไป ก็คงมองว่ามันเหมือนกับมายากลแต่หลินลั่วหรานกลับรู้สึกได้ว่าเหล่าโมเลกุลพลังสีน้ำตาลดินนั้นกำลังขยับสั่นไหวไม่หยุด เมื่อมองไปยังดินรูปทรงโต๊ะและเก้าอี้เธอก็เข้าใจขึ้นมาได้ทันที ว่าเหล่าพลังสีน้ำตาลดินพวกนั้นน่าจะเป็พลังของธาตุดินใช่ไหม?
“ท่านมู่ ดินพวกนี้ทั้งนิ่มแล้วก็ชื้น เก้าอี้คงจะนั่งไม่ได้เอานะคะ!” หลินลั่วหรานเดาว่าคุณปู่ตระกูลมู่ยังคงจะมีอะไรอีกเธอจึงตั้งใจพูดยั่วยุขึ้นมา ให้คนแก่ได้มีความรู้สึกประสบความสำเร็จและแสดงอะไรให้เธอได้ดูมากขึ้น การที่จะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมฟรีๆ หลินลั่วหรานไม่มีข้อแย้งอะไรอยู่แล้ว
คุณปู่ตระกูลมู่ได้แต่ยิ้มออกมา เทคนิคเล็กๆของหลินลั่วหรานจะหลอกคนที่ใช้ชีวิตมามากกว่าร้อยปีอย่างเขาได้อย่างไรแต่ว่าเธอก็เป็เด็กที่ไม่เลว จึงอยากจะยอมตามใจให้มากเสียหน่อยเขาจึงไม่ได้เปิดโปงความคิดน้อยๆ ของเธอ
“ตั้งใจดูล่ะ หนูหลิน!” ท่าทางของมือขวาของคุณปู่ตระกูลมู่เปลี่ยนไปทันทีความรวดเร็วของการร่ายเป็ไปช้ากว่าปกติแต่กลับแตกต่างไปจากเวทที่ใช้เรียกดินให้เป็โต๊ะ หรือเวทลูกไฟของเหวินกวนจิ่งระหว่างที่นิ้วมือขยับเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ต่างก็ให้ความรู้สึกหนักแน่นราวกับดาบที่กระทบกันพลังเล็กๆ สีทองเบาบางจากโดยรอบตอบสนองเข้ากับท่าทางจากมือของเขา แม้แต่สีหน้าของคุณปู่ตระกูลมู่เองก็ยังดูหนักแน่น ไม่ได้สบายๆอย่างตอนที่เรียกดินขึ้นมา เขาส่งเสียงออกมาทันที “เวทสมบูรณ์!ไป!” แสงสีทองพุ่งออกมาจากหมัดของเขา พลังธาตุทองปะทะเข้ากับพลังธาตุดินที่ยังไม่หายไปไหนก่อนจะเกิดเป็ประกายไฟออกมา ล้อมรอบตัวโต๊ะดินที่ทั้งนิ่มและชื้นก่อนจะจุดเปลวไฟให้ลุกขึ้น!
นี่คือกำลังเผาโต๊ะดินอยู่อย่างนั้นเหรอ? หลินลั่วหรานมองไปยังกลุ่มเปลวไฟที่ขยับสั่นไหวเธอรู้สึกได้ถึงการขยับเต้นแรงของหัวใจของเธอ เธอสามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจว่าคุณปู่ตระกูลมู่ไม่ได้ควบคุมพลังธาตุไฟ แล้วเปลวไฟเ่าั้มาจากไหนกันนะ?
ชายแก่สกุลกัวไออ้อมแอ้มออกมา โดยไม่ชอบใจคุณปู่ตระกูลมู่นักอายุตั้งขนาดนี้แล้วยังจะใช้เวทลึกลับมาหลอกเด็กสาวอยู่ได้ แม้ว่าจะเป็เด็กที่ฝึกศาสตร์อยู่ก็เถอะแต่แบบนี้มันแย่เกินไปแล้ว
“เหล่ามู่ การที่ระหว่างธาตุดินและไฟ สามารถสร้างธาตุไฟขึ้นมาได้น่ะเป็เวทที่หลังจากฝึกข้ามมาถึงระดับพื้นฐานแล้วถึงจะทำได้ยังจะเอาออกมาใช้หลอกคนอีกเหรอ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้