บทที่ 5:ความกลัว...ก่อเกิดเป็ศรัทธา
เสียงล้อเกวียนของจวนนายอำเภอที่บดมาบนถนนดินของหมู่บ้านจิ่งสุ่ยในวันนั้น ดังกว่าเสียงฟ้าร้องในความรู้สึกของชาวบ้านทุกคน
เกวียนไม่ได้บรรทุกทหารหรือคำสั่งลงทัณฑ์ แต่กลับบรรทุกกระสอบข้าวสารกองสูง และที่สำคัญที่สุด...กระสอบเกลือสีขาวสะอาด ซึ่งเป็สิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าเงินตราสำหรับคนชนบท
ซูเหยียนก้าวลงจากเกวียนด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง ร่างกายยังคงผอมบางแต่แววตากลับฉายความเด็ดเดี่ยว ผู้เฒ่าฉีรีบลงตามมา ใบหน้าของเขาปราศจากความแข็งกร้าวโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงความทึ่งและยำเกรงอย่างปิดไม่มิด
ชาวบ้านที่เคยถือคบไฟและจอบเสียมเพื่อขับไล่นาง บัดนี้ต่างพากันออกมายืนมองด้วยสายตาสับสน ไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ก็ไม่ยอมถอยห่าง
"ตามที่ข้าได้ให้สัญญาไว้!" เสียงของผู้เฒ่าฉีดังก้องขึ้น ทำลายความเงียบ "ซูเหยียน...ได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่านางคือผู้ที่ได้รับพรจาก์ นางได้ช่วยชีวิตคุณชายลู่ และนำเกียรติยศพร้อมกับอาหารมาสู่หมู่บ้านของเรา!"
ซูเจินรีบวิ่งออกมาจากกระท่อม เมื่อเห็นกองข้าวสารและเกลือ ผู้เป็มารดาก็ถึงกับทรุดลงกับพื้น ปล่อยโฮออกมาด้วยความตื้นตันใจที่มิต้องอดอยากอีกต่อไป ซูก๋วนวิ่งเข้าไปกอดแม่แน่นด้วยความภาคภูมิใจ
“ท่านแม่...พี่ใหญ่รักษาอาการป่วยของคุณชายลู่จนดีขึ้น และก็ได้ของพวกนี้มาเป็ค่ารักษา”
ซูเหยียนไม่ได้แสดงท่าทีหยิ่งผยอง นางเดินตรงไปยังกระสอบเกลือ ใช้มีดเปิดปากกระสอบออกอย่างคล่องแคล่ว แล้วหันไปกล่าวกับชาวบ้านทุกคนด้วยรอยยิ้มบางๆ
"นี่คือเกลือสำหรับทุกคนในหมู่บ้านจิ่งสุ่ย" นางกล่าว "ส่วนข้าวสารนี้ ท่านนายอำเภอมอบให้ครอบครัวข้า แต่ความอิ่มท้องเพียงครอบครัวเดียวหาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่ ข้าจะแบ่งปันให้ทุกครัวเรือนเช่นกัน"
คำพูดของนางทำให้กำแพงในใจของชาวบ้านพังทลายลง พวกเขามองหน้ากัน ก่อนที่แม่เฒ่าฉือหญิงชรา จะเดินออกมาเป็คนแรก นางคือคนที่เคยะโด่าทอนางเสียงดังที่สุดเมื่อวันก่อน ที่เป็ผู้นำในการขับไหล่ครอบครัวของซูเจิน บัดนี้นางค้อมศีรษะลงต่ำ "ข้า...ข้าขอโทษแม่ของซูเหยียน...พวกข้ามันตาบอดที่กล่าวร้ายพวกเ้า"
“แม่เฒ่าฉือ ข้าไม่ถือโทษท่าน แต่การใส่ร้ายโดยไม่คิดให้รอบคอบ ก็คือการสั่งฆ่าผู้อื่นโดยไม่สืบหาความจริงได้เช่นกัน” นางพูดและมองหน้าผู้นำหมู่บ้านไปพร้อมๆ กัน จนทั้งสองไม่กล้าสบตา
จากนั้นชาวบ้านคนอื่นๆ ก็พากันเข้ามาขอบคุณและขอขมา บรรยากาศแห่งความเกลียดชังได้สลายไปจนหมดสิ้น ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกขอบคุณและศรัทธาอย่างท่วมท้น ซูเหยียน ซูเจิน และซูก๋วน ช่วยกันตวงข้าวสารและเกลือแจกจ่ายให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ภาพของเด็กสาวที่เคยถูกตราหน้าว่าเป็ปีศาจ บัดนี้กลายเป็ดั่งเทพธิดาในสายตาของพวกเขา
หลังจากที่ชาวบ้านแยกย้ายกันกลับไปพร้อมอาหารและความหวังแล้ว สามแม่ลูกก็ช่วยกันขนกระสอบข้าวที่เหลือเข้ากระท่อมหลังน้อยที่บัดนี้ดูไม่คับแคบอีกต่อไป
ถังเหมยหลินในร่างของซูเหยียนทิ้งตัวลงนั่งบนแคร่อย่างหมดแรง เมื่อภารกิจภายนอกสิ้นสุดลง นางก็หันกลับมาสนใจภารกิจที่สำคัญที่สุด...การฟื้นฟูร่างกายนี้
"ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป...ขาดทั้งโปรตีนและไขมัน" นางพึมพำกับตัวเอง "แค่ข้าวกับเกลือยังไม่พอ ต้องหาเนื้อสัตว์กับผักเพิ่ม" นางวางแผนในใจ เตรียมจะให้ซูก๋วนลองไปดักซุ่มยิงกระต่ายป่าในวันรุ่งขึ้น
แต่แล้ว สิ่งที่นางไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ก๊อก...ก๊อก...
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ซูเจินเดินไปเปิดประตูด้วยความประหลาดใจ และต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ชายชาวประมงที่เคยยืนถือฉมวกอย่างเอาเื่ บัดนี้ยืนก้มหน้าก้มตาพร้อมกับยื่นปลาตัวใหญ่ที่ยังสดใหม่อยู่ในมือมาให้ "ข้า...ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนแม่นาง...มีเพียงปลาน้ำจืดจากแม่น้ำท้ายหมู่บ้าน ขอท่านโปรดรับไว้ด้วย"
ยังไม่ทันที่ซูเจินจะกล่าวอะไร นายพรานหนุ่มที่เคยจะเอาหอกไล่แทงนางก็เดินตามมาอีกคน เขาวางเนื้อหมูป่าส่วนที่ดีที่สุดที่ห่อด้วยใบตองลงบนพื้น "ข้าล่ามาได้เมื่อเช้านี้ ส่วนนี้...ขอมอบให้แม่นางซูบำรุงร่างกาย"
จากนั้นก็ตามมาด้วยป้าข้างบ้านที่นำผักกาดเขียวอวบอ้วนมาให้หนึ่งตะกร้า ลุงอีกคนนำไข่ไก่ป่ามาให้หลายฟอง...ชาวบ้านที่ได้รับข้าวและเกลือจากนางไป ต่างนำของดีที่สุดที่ตนเองมีกลับมาให้นางด้วยความเต็มใจ
เถ้าถ่านแห่งความหวาดกลัวที่เคยมอดไหม้ในใจของชาวบ้าน บัดนี้ได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็ความอบอุ่นแห่งการให้โดยสมบูรณ์
ซูเจินมองภาพนั้นด้วยน้ำตานองหน้า นางหันมามองบุตรสาวที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่กลางห้อง ในที่สุดนางก็เข้าใจ...ไม่ว่าิญญาในร่างนี้จะเป็ใคร...แต่ิญญาดวงนี้คือผู้ที่นำพาปาฏิหาริย์มาสู่ครอบครัวและหมู่บ้านของนางอย่างแท้จริง
คืนนั้น...เป็ครั้งแรกในรอบหลายปีที่ควันไฟจากเตาในกระท่อมตระกูลซูไม่ได้มีเพียงกลิ่นข้าวต้มจืดชืด แต่กลับอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของปลาย่าง เนื้อหมูป่าต้มสมุนไพร และแกงจืดผักกาด
ถังเหมยหลินนั่งมองซูเจินและซูก๋วนที่กินอาหารอย่างมีความสุข นางตักเนื้อปลาเข้าปากช้าๆ รับรสชาติของชีวิตใหม่ที่เรียบง่ายแต่กลับเติมเต็มอย่างน่าประหลาด
นางหนีจากความตายในโลกเก่า มาสู่การถูกพิพากษาในโลกใหม่ แต่วันนี้...ณ กระท่อมหลังเล็กที่รายล้อมไปด้วยน้ำใจของชาวบ้านที่เคยเกลียดชังนาง...เป็ครั้งแรกที่ถังเหมยหลินรู้สึกว่า "ซูเหยียน" อาจจะเป็ชื่อที่ไม่ได้เลวร้ายนัก ชีวิตใหม่ค่อยๆ เริ่มต้นขึ้นในหมู่บ้านจิ่งสุ่ยอย่างเชื่องช้าสงบ และเรียบง่าย
สายฝนที่เคยโหมกระหน่ำดั่งพายุคลั่ง บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็สายฝนพรำที่โปรยปรายลงมาเป็พักๆ ชะล้างฝุ่นดินและมลทินในใจของผู้คนจนหมดสิ้น พื้นที่รอบๆ เรือนพักเชิงเขาของตระกูลซูนั้นเขียวชอุ่มไปด้วยพืชป่าและต้นไม้นานาพันธุ์ที่แข่งกันเติบโต หยาดฝนสุดท้ายของค่ำคืนยังคงเกาะพราวอยู่บนใบหญ้าและใยแมงมุมในยามเช้า ราวกับอัญมณีที่์โปรยทานลงมา
อาหารเช้าถูกทำขึ้นอย่างง่ายๆ แต่เปี่ยมด้วยความสุขที่ไม่เคยมีมาก่อน ข้าวต้มร้อนๆ ที่หอมกรุ่นจากข้าวสารใหม่ มีเนื้อปลาเค็มเล็กน้อยและผักดองที่ชาวบ้านนำมาให้เป็เครื่องเคียง ซูเจินมองลูกทั้งสองที่กำลังกินอาหารด้วยแววตาอ่อนโยน ความกังวลเื่ปากท้องที่เกาะกินหัวใจมานานหลายปีได้เลือนหายไปแล้ว
"เดี๋ยวแม่กับซูก๋วนจะไปไร่เสียหน่อย ต้องไปถอนหญ้าที่ขึ้นแซมในไร่ข้าวฟางของเรา" ซูเจินกล่าวขึ้นหลังจากมื้ออาหาร นางมองไปยังซูเหยียนอย่างเป็ห่วง "เ้าพักผ่อนอยู่ในกระท่อมเถอะ ร่างกายยังไม่แข็งแรงดี"
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุด...ก่อนหน้านี้ ซูเหยียนต้องลากสังขารที่ป่วยออดๆ แอดๆ ไปทำงานในไร่เสมอ แต่วันนี้...นางได้รับการยกเว้นโดยไม่มีเงื่อนไข
"เ้าค่ะท่านแม่" ซูเหยียนรับคำ นางไม่ได้อิดออด แต่กลับเดินไปส่งมารดาและน้องชายที่หน้าประตูเรือนไม้ของพวกเขา
เส้นทางเล็กๆ ที่ทอดยาวจากเรือนของนางไปยังใจกลางหมู่บ้านนั้น ขนาบข้างไปด้วยพงหญ้าและต้นไม้ที่ดูรกทึบในสายตาของคนอื่น แต่สำหรับถังเหมยหลินแล้ว...มันคือคลังยาและคลังความรู้ขนาดมหึมาที่รอการค้นพบ
ขณะที่เดินไปส่งมารดาได้ครู่หนึ่ง คำถามที่นางครุ่นคิดมาตลอดคืนก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
"ท่านแม่...ที่หมู่บ้านของเราตอนนี้ นอกจากการทำไร่ทำนาแล้ว ยังมีอาชีพอื่นอีกหรือไม่เ้าคะ"
ซูเจินชะงักฝีเท้า หันมามองบุตรสาวด้วยความแปลกใจ "อาชีพอื่นรึ? ก็มีแต่ทำไร่ทำนานี่แหละคือชีวิตของพวกเรา บางครั้งพวกผู้ชายก็เข้าป่าล่าสัตว์มาแบ่งกันบ้าง ส่วนผู้หญิงก็ทอผ้าไว้ใช้เอง...จะมีอะไรอีกเล่าลูก"
"ก็มีลุงหลิวที่เป็ช่างตีเหล็ก แต่ก็ทำแค่ซ่อมจอบเสียมให้คนในหมู่บ้านเท่านั้นขอรับท่านพี่" ซูก๋วนเสริมขึ้นมา
ซูเหยียนพยักหน้าช้าๆ ข้อมูลตรงกับที่นางคาดไว้ ความทรงจำของซูเหยียนคนเดิมนั้นมีเพียงภาพของการก้มหน้าก้มตาทำไร่ั้แ่เช้าจรดค่ำ ไม่เคยมีภาพของการค้าขายหรือการสร้างอาชีพอื่นใดเลย มันคือวิถีชีวิตที่พึ่งพาฟ้าฝนและโชคชะตามากเกินไป...มีความเสี่ยงสูงเกินไปในสายตาของนักยุทธศาสตร์อย่างนาง
นางก้มลงเด็ดใบไม้รูปทรงแปลกตาข้างทางขึ้นมาพิจารณา "แล้วพืชพันธุ์พวกนี้เล่าเ้าคะ มีใครเคยนำไปขายบ้างหรือไม่"
ซูเจินหัวเราะเบาๆ "โอ๊ยลูกเอ๋ย ใครจะไปซื้อวัชพืชพวกนี้กัน มันขึ้นอยู่ทั่วทุกที่ ไม่มีราคาค่างวดอะไรหรอก"
"แต่ในความฝันของข้า..." ซูเหยียนเริ่มใช้ข้ออ้างเดิมที่ยังคงศักดิ์สิทธิ์เสมอ "...เซียนท่านนั้นบอกว่าพืชใบหยักชนิดนี้ หากนำไปต้มดื่มจะช่วยบรรเทาอาการไอได้ดีนัก ส่วนต้นที่มีดอกสีม่วงเล็กๆ นั่น หากนำรากไปบดพอกแผลจะช่วยให้เืหยุดไหลเร็วขึ้น"
นางชี้ไปยังพืชสองสามชนิดที่นางรู้จักดีจากความรู้ทางเภสัชศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งบังเอิญเป็พืชพื้นถิ่นของที่นี่
ซูเจินและซูก๋วนมองตามด้วยสายตาเหลือเชื่อ พวกเขามองพืชเ่าั้เป็เพียงหญ้ารกตามาตลอดชีวิต ไม่เคยคิดว่ามันจะมีสรรพคุณเช่นนี้ได้
หลังจากที่มารดาและน้องชายเดินจากไปแล้ว ซูเหยยีนไม่ได้กลับเข้ากระท่อมตามที่บอกไว้ สายตาของนางจับจ้องไปยังป่าทึบเชิงเขาที่เคยเป็สถานที่น่ากลัวและไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่มย่าม
นางเดินกลับเข้าไปในกระท่อม แต่ไม่ได้ไปนอนพัก...นางหยิบตะกร้าสานใบเก่าที่เคยใช้เก็บผักขึ้นมาสะพายบ่า
"การทำไร่เลี้ยงปากท้องได้เป็มื้อๆ" นางรำพึงกับตนเอง "แต่ความรู้...สามารถเลี้ยงดูคนได้ทั้งชีวิต" และป่าแห่งนี้...ในสายตาของแพทย์ทหารผู้เชี่ยวชาญด้านพฤกษศาสตร์...คือห้องสมุดขนาดใหญ่ที่รอให้นางเข้าไปอ่านและแปลความหมายของมัน
ร่างผอมบางของเด็กสาวเดินมุ่งหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวไปยังผืนป่าสีเขียว...นางไม่ได้จะไปถางพงหญ้าเพื่อทำการเกษตร...แต่นางกำลังจะไป "เก็บเกี่ยว" ความลับและทรัพย์สมบัติที่ซ่อนอยู่ในนั้น เพื่อพลิกชะตาของครอบครัวและหมู่บ้านแห่งนี้ต่างหาก.!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้