“เฮ้อ!” เย่เฟิงถอนหายใจ โชคดีที่เขามีความสามารถ หากเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 5 คนอื่นถูกส่งมาที่แห่งนี้ เกรงว่าคงไม่มีทางกลับไปได้ แต่จะกลายเป็อาหารของสัตว์อสูรแทน
เย่เฟิงไม่รอช้าที่จะออกเดินทางทันที หลังผ่านไปหลายชั่วยาม เขาพบว่าที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายและสัตว์อสูรดุร้าย ทั้งยังมีพืชพรรณกินคน
ระหว่างทาง เย่เฟิงยังเจอสัตว์อสูรลอบโจมตีหลายหน แต่ก็ถูกเย่เฟิงสังหารเกลี้ยง กระทั่งมีสัตว์อสูริญญาระดับเก้า ซึ่งเย่เฟิงเสียพลังไปมากเพื่อฆ่ามัน จนตัวเองได้รับาเ็เล็กน้อย
เย่เฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับมิตินี้ แต่การที่ได้สู้กับสัตว์อสูริญญาระดับสูงพวกนี้ ทำให้ประสบการณ์การต่อสู้ของเย่เฟิงได้รับการขัดเกลา พลังก็ยังถูกยกระดับ
ที่แห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล เทือกเขายังทอดยาวไปไกล ยิ่งเข้ามาลึกก็ยิ่งมีสัตว์อสูรดุร้าย
เย่เฟิงหยุดอยู่หลายชั่วยามเพื่อสังหารสัตว์อสูริญญาระดับเก้านับสิบตน ซึ่งระหว่างที่ต่อสู้กับพวกมัน ทุกเคล็ดวิชาที่เขาใช้ต่อสู้ก็ได้ถูกขัดเกลาจนก้าวหน้าไปมาก จากนั้นเย่เฟิงมาถึงที่แห่งหนึ่ง โดยที่ไม่กล้าเข้าไปลึกมากกว่านี้ เพราะถ้าปีศาจพิภพปรากฏตัว เขาคงรับมือไม่ได้ สุดท้ายหลายชั่วยามต่อมา เย่เฟิงก็ย้อนกลับมาที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติและกลับไปยังหอวิชาชั้นที่สี่อีกครั้ง
“มิติแห่งนั้นเป็สถานที่ที่ดีในการขัดเกลาพลังต่อสู้ ผ่านมาหลายชั่วยามก็ทำให้ทุกเคล็ดวิชาที่ข้าควบคุมก้าวหน้าไปมาก มิหนำซ้ำยังใช้สะดวกกว่าเดิมด้วย” เย่เฟิงยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นเขาหันไปมองประตูบานที่สองพร้อมกล่าวว่า “ในประตูบานแรกมีค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติซ่อนไว้ งั้นประตูบานที่สองก็คงเหมือนกัน แต่สถานที่ที่จะส่งไปต้องแตกต่างกันแน่นอน”
เมื่อฉุกคิดได้เช่นนี้ เย่เฟิงก็เดินเข้าประตูบานที่สองทันที ซึ่งเป็ไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ ความทรงจำของาาเสวียนในประตูบานที่สองหายไป และซ่อนค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติไว้ด้วย ครั้งนี้เขาถูกส่งมายังมิติที่เหมือนนรก ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย แต่มีสัตว์อสูรดุร้ายและกระหายเือาศัยอยู่หลายเผ่าพันธุ์ ทั้งยังมีแต่ระดับสูง ๆ อย่างต่ำก็อยู่ระดับเจ็ด กระทั่งเย่เฟิงเกือบปะทะกับปีศาจพิภพสองครั้ง แต่เย่เฟิงหลีกเลี่ยงอีกฝ่ายทุกครั้งไป
ใครก็ตามที่อยู่ในที่แห่งนี้จะต้องรู้สึกกดดัน เพราะที่นี่ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ทุกพื้นที่ล้วนพบเจอโครงกระดูกสัตว์อสูร และสัตว์อสูรเหล่านี้ไม่เพียงแต่โจมตีมนุษย์ แต่ยังฆ่ากันเองด้วยวิธีโเี้
เย่เฟิงอยู่ที่มิตินี้หนึ่งวันเต็ม ในหนึ่งวันนี้เขามีแต่ปะทะกับสัตว์อสูรทุกประเภท ทั้งยังพยายามควบคุมทุกเคล็ดวิชาในการสังหารพวกมัน ก็เพื่อให้บรรลุการขัดเกลาพลังต่อสู้
เย่เฟิงค่อย ๆ เข้าสู่สภาวะลืมตน ขณะมองสัตว์อสูรที่พุ่งมาฆ่าเขาไม่หยุดหย่อน เย่เฟิงก็เหมือนลืมทุกอย่าง มีเพียงการต่อสู้เท่านั้น นี่ทำให้เย่เฟิงได้รับการขัดเกลาจากการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง จนมาเจอกับสัตว์อสูริญญาระดับเก้า แต่ก็สังหารอีกฝ่ายได้แบบพอถู ๆ ไถ ๆ ด้วยเหตุนี้เย่เฟิงได้อาศัยความสามารถในการควบคุมเคล็ดวิชาที่ดีเยี่ยมสังหารสัตว์อสูริญญาระดับเก้าสามตนได้ในคราเดียว
ในที่สุดตะวันก็ลาลับขอบฟ้า เย่เฟิงสังหารสัตว์อสูริญญาระดับเก้าตนสุดท้าย จากนั้นก็ลากสังขารอันเหนื่อยล้ากลับไปยังหอวิชาชั้นที่สี่
เวลานี้ตามตัวเย่เฟิงเต็มไปด้วยาแ พลังหยวนในกายก็เกือบเหือดแห้ง หากเขาไม่ฝึกเก้าวัชรหุนหยวนที่ทำให้พลังหยวนมีมากกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกัน เขาคงต่อสู้ไม่ได้นานขนาดนั้น จากนั้นเขาใช้ยาหลายเม็ดเพื่อฟื้นฟูพลังหยวน ซึ่งกินเวลาไปสองชั่วยามกว่าจะฟื้นฟูได้ทั้งหมด แต่ก็ทำให้ขั้นพลังของเขาบรรลุจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 5 อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ด้วยการขัดเกลาจากการต่อสู้เช่นนี้ ทำให้ทุกความสามารถพัฒนาไปอย่างก้าวะโ
“ถึงเวลาเข้าสู่ประตูบานที่สามแล้ว” ดวงตาของเย่เฟิงทอประกายแสง จากนั้นเขาก็เข้าสู่ประตูบานที่สาม
ซึ่งในประตูบานที่สามยังคงมีค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ ครั้งนี้มิติที่เย่เฟิงถูกส่งมาคล้ายคลึงกับมิติในประตูบานแรก เป็หุบเขาที่มีพืชพรรณอุดมสมบูรณ์ และมีบรรยากาศอย่างมิติในประตูบานที่สองเล็กน้อย
เย่เฟิงสงสัยบางอย่าง ตามกฎก่อนหน้านี้ ประตูบานที่สามน่าจะส่งมายังมิติที่อันตรายยิ่งกว่า แต่หุบเขาแห่งนี้กลับสงบเงียบเต็มไปด้วยหมอกควัน ให้ความรู้สึกลี้ลับ ในระหว่างทางเย่เฟิงยังพบเจอสัตว์อสูร ตราบใดที่เขาลงมือ เขาจะฆ่าอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เย่เฟิงก็มาถึงเขตใจกลางหุบเขา ซึ่งเป็พื้นที่โล่งกว้างใหญ่ เขาได้ยินเสียงต่อสู้ดังมาจากข้างหน้า เมื่อเดินไปทางด้านนั้นก็เห็นห้าคนกำลังต่อสู้กับสัตว์อสูร ห้าคนนี้มีชายสี่คนหญิงหนึ่งคน อายุประมาณ 16-17 ปี พวกเขามีพลังแกร่งกล้า อ่อนแอสุดอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 7 แข็งแกร่งสุดอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 8
นอกจากนี้เย่เฟิงยังดูออกว่าห้าคนนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ทั่วไป ไม่เพียงแต่มีพลังต่อสู้ที่เหนือกว่าคนระดับเดียวกัน แต่รัศมีที่เปล่งออกมายังพิเศษ ทำให้ผู้คนต้องเลื่อมใสศรัทธา
แต่เมื่อเย่เฟิงเห็นสัตว์อสูรที่ห้าคนนี้กำลังจัดการก็ต้องใ แล้วอดอุทานออกมาไม่ได้ว่า “ปีศาจพิภพระดับหนึ่ง!”
เย่เฟิงมั่นใจว่าสัตว์อสูรงูั์ตนนั้นเป็ปีศาจพิภพระดับหนึ่ง ซึ่งปีศาจพิภพระดับหนึ่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 พลังนี้ไม่ใช่สัตว์อสูริญญาหรือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่จะต่อกรด้วยได้ ห้าคนนี้ช่างใจกล้ามาก ทำเย่เฟิงรู้สึกนับถือความใจกล้าของพวกเขา
หลังจากสังเกตการณ์สักพัก เย่เฟิงพบว่าทั้งห้าคนร่วมมือกันได้ดีมาก อาวุธในมือของพวกเขายังไม่ธรรมดา พลังทรงอานุภาพจนคุกคามและสามารถต่อต้านปีศาจพิภพอย่างงูั์ตนนี้ได้ในระดับหนึ่ง
“โฮก!” ปีศาจงูั์แผดเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นสะบัดหางไปทั่วพื้นที่ ทั้งห้าคนต่างหลบหนีอย่างรวดเร็ว แม้ปีศาจงูั์จะมีพลังโจมตีแข็งแกร่ง แต่กลับโจมตีพวกเขาได้ยาก อีกอย่างห้าคนนี้ยังมีอาวุธที่ร้ายกาจ การโจมตีของพวกเขาจึงสร้างรอยาแตามตัวของมันจนได้รับาเ็ได้อย่างง่ายดาย แม้จะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่อาการาเ็เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนงูั์เสียเืไปมาก พลังก็เริ่มหมดลง
นอกจากนี้หาก้ากำจัดปีศาจงูั์โดยตรงด้วยพลังของทั้งห้าคนก็เป็เื่ที่ยากมากเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้วิธีผลาญพลังของมันจนค่อย ๆ ตายจากไป
เป็อย่างที่เย่เฟิงคาดการณ์ไว้ ด้วยวิธีผลาญพลังของทั้งห้าคน ปีศาจงูั์เริ่มหมดแรงจนเคลื่อนไหวช้าลง ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดปีศาจงูั์ก็อ่อนล้าจนล้มลงไปกองกับพื้น พลังชีวิตเหือดแห้งและสูญเสียพลังต่อสู้
จากนั้นผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 8 หนึ่งในห้าคนนั้น ก็ใช้ค้อนที่ถืออยู่ในมือฟาดลงไปที่ศีรษะของปีศาจงูั์ ตามมาด้วยเสียงดังปัง ศีรษะของปีศาจงูั์ถูกค้อนฟาดจนยุบลงเป็หลุม สมองแตกกระจาย เรียกได้ว่าตายไม่มีฟื้น
ทั้งห้าคนต่างถอนหายใจพลางเผยสีหน้าปีติยินดี จากนั้นเริ่มชำแหละชิ้นส่วนปีศาจงูั์ ก่อนจะแบ่งชิ้นส่วนโดยไม่มีการแย่งชิงใด ๆ ซึ่งชิ้นส่วนของปีศาจพิภพมีมูลค่ามาก และยิ่งเป็ของล้ำค่ามากเมื่ออยู่ในอาณาจักรจ้าว
ตอนที่ทั้งห้าคนนี้แบ่งชิ้นส่วนสัตว์อสูรกัน กลับไม่มีท่าทีดีใจแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าตัวตนของพวกเขาไม่ธรรมดา อาจพบเจอชิ้นส่วนพวกนี้จนชินตาจึงมีท่าทีเช่นนี้
“ไม่เลว พวกเราห้าคนร่วมมือกัน แม้แต่ปีศาจพิภพระดับหนึ่งก็ทำอะไรไม่ได้” ชายหนุ่มชุดเพลิงหนึ่งในนั้นกล่าวด้วยแววตาทอประกายตื่นเต้น
“มันแน่อยู่แล้ว ครั้งนี้มีพี่หยวนออกโรงเอง ถึงทำให้พวกเรากำจัดปีศาจพิภพระดับหนึ่งได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงมากนัก” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอีกคนกล่าวขณะมองชายถือค้อนผู้นั้น
“ใช่ ต้องขอบคุณพี่หยวนที่ออกโรง” ชายอีกสองคนกล่าวเสริม พวกเขาสามคนเพิ่งบรรลุขั้นรวมชี่ที่ 7 ได้ไม่นานก็ย่อมอ่อนด้อยกว่าชายแซ่หยวนผู้ถือค้อน
มีเพียงหญิงผู้นั้นที่เงียบไม่พูดอะไร สีหน้านางยังไร้ซึ่งความผันผวนใด ๆ
แต่ขณะนั้นเย่เฟิงเห็นโฉมหน้าของหญิงผู้นั้นอย่างชัดเจน นางสวมอาภรณ์สีขาว ผิวพรรณขาวนวล รูปร่างดี องค์ประกอบบนใบหน้าล้วนสมบูรณ์แบบ เป็สตรีที่งดงามอย่างมาก
เมื่อเห็นหญิงผู้นั้นเงียบกริบ ชายแซ่หยวนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขามองนางแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้องเมิ่งมีความคิดเห็นกับแผนการต่อไปหรือไม่?”
หญิงสาวหันมามองอีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าไม่ดีใจที่ฆ่าปีศาจพิภพระดับหนึ่งได้ บางทีเพื่อให้ได้มาซึ่งผลึกิญญา นี่อาจเป็เพียงจุดเริ่มต้น สัตว์อสูรที่เฝ้าปกป้องผลึกิญญาคงแข็งแกร่งกว่านี้หลายเท่า เพราะงั้นถ้าอยากได้ผลึกิญญา จำต้องวางแผนให้รัดกุมกว่านี้”
“ผลึกิญญา? มันคือสิ่งใด?” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เคยได้ยินเื่พวกนี้มาก่อน แต่พอคิดได้ว่าสิ่งที่ทำให้ห้าคนนี้มาเสี่ยงอันตรายถึงที่นี่ มันต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ศิษย์น้องเมิ่งพูดมามีเหตุผล พวกเราเพิ่งมาถึงที่นี่ มิอาจสุขใจที่ฆ่าปีศาจพิภพระดับหนึ่งได้ตนหนึ่ง ไปกันต่อจะดีกว่า!” ชายแซ่หยวนผู้นั้นกล่าวขณะมองหญิงสาวด้วยสายตารักใคร่ชื่นชม
ถึงอย่างไรหญิงผู้นี้ก็ไม่ใช่สตรีทั่วไป นางสวยงดงาม แม้แต่ชายอีกสามคนยังเผยแววตาละโมบ
เมื่อชายแซ่หยวนพูดจบ พวกเขาก็ออกเดินทางต่อ ทว่าหนุ่มหล่อผู้นั้นเพิ่งก้าวเท้าก็ต้องหยุดชะงัก พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีคน!”
“ใครกันมาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ยังไม่รีบออกมาอีก!” หนึ่งในห้าคนนั้นแผดเสียงะโ
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายคมกริบ เดิมทีเขาคิดจะหลบออกไปอย่างเงียบ ๆ แต่บัดนี้กลับถูกคนเ่าั้พบเข้า เขาจึงต้องปรากฏตัวอย่างจำใจ จากนั้นเขาเดินไปหาคนเ่าั้ ด้วยสีหน้าเฉยเมยเช่นเดิม แต่สายตาของห้าคนนั้นที่มองเขากลับแฝงเจตนาไม่ดี
“เ้าเป็ใคร แล้วมาแอบฟังพวกข้าทำไม?” ชายชุดเพลิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก เมื่อเขาเห็นว่าเย่เฟิงอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 5 ก็เผยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม
“ข้าเย่เฟิง ข้าผ่านมาที่นี่โดยบังเอิญและไม่คิดจะแอบฟังเลยแม้แต่นิด” เย่เฟิงกล่าวพร้อมโค้งตัวให้ห้าคนนั้นด้วยท่าทีถ่อมตน
ถึงอย่างไรมันก็เป็ความจริงที่ว่าเขาไม่มีเจตนาจะฟังบทสนทนาของพวกเขา
