ยามที่สองศิษย์อาจารย์เดินจากไปไกล คนทั้งสามที่ยังคงเฝ้าอยู่หน้าเรือนหันหน้าสบตากัน
ในบรรดาคนกลุ่มนี้เป็ชิงจื่อที่ดีใจที่สุด จะอย่างไรั้แ่พระชายาของนางแต่งเข้ามาที่นี่ก็ไม่เคยอยู่ในสายพระเนตรของท่านอ๋องเลย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว เมื่อคืนท่านอ๋องไม่เพียงบอกว่าจะมาค้างแรมที่นี่ มิหนำซ้ำยังช่วยเปลี่ยนเตียงแข็งๆ ของพระชายาให้เป็เตียงนุ่มทรงกลมอีกด้วย
ตอนนี้แม้แต่หมอประจำจวนกับกู้เฟิงก็ยังดูออกว่าท่านอ๋องอ่อนโยนกับพระชายามาก นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าชีวิตในอนาคตของพระชายาของนางจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน
ทางด้านถานอี้เองก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าเพราะอะไร ทว่า ยามที่ข้อสงสัยของเขาได้รับการพิสูจน์แล้ว ใจของเขากลับรู้สึกสับสนมาก
เฉียวเฟยเดินเข้ามาพร้อมใช้มือข้างหนึ่งพาดไปบนบ่าของถานอี้ ใช้เสียงที่ดังพอให้พวกเขาได้ยินกันแค่สองคนกล่าวกับถานอี้ว่า “ท่านอ๋องเริ่มดีกับพระชายาแล้ว นี่เป็เื่ที่สมควรจะดีใจ”
คำพูดของเฉียวเฟย ทำให้ถานอี้รู้สึกสะท้านในใจ
เฉียวเฟยพูดถูก เขาควรรู้สึกดีใจถึงจะถูก
วันหน้าท่านอ๋องดีต่อพระชายา คนอื่นๆ ในจวนย่อมจะไม่มีใครกล้ารังแกพระชายาอีก นี่ไม่ใช่เื่ที่สมควรต้องยินดีหรอกหรือ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ใจของถานอี้ก็ไม่สับสนวุ่นวายอีกต่อไป ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้ม
……...........................................................................................
ภายในที่ประทับ
หลังจากได้ทายาที่ข้อมือไปแล้ว เยว่เฟิงเกอก็ไม่รู้สึกเจ็บอีก นางผลักม่อหลิงหานออกไปด้วยไม่อยากให้เขาโอบกอดไว้ในอ้อมแขนอีกแล้ว
ม่อหลิงหานเห็นท่าทางของเยว่เฟิงเกอที่เอาแต่จะผลักไสเขาออกไปให้ไกล ในใจก็รู้สึกไม่สบอารมณ์
เขาไม่ปล่อยให้นางมีโอกาสคัดค้าน ดึงนางกลับเข้ามาในอ้อมแขน และกอดไว้แน่น ไม่ปล่อยให้นางได้เคลื่อนไหวอีก
“นี่ เหตุใดต้องกอดแน่นถึงเพียงนี้ ข้าจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว” เยว่เฟิงเกอออกแรงผลักม่อหลิงหานออกไป “ข้อมือของข้า ท่านหมอทายาให้แล้ว ตอนนี้ไม่เจ็บเท่าใดแล้ว ท่านไม่ต้องกอดข้าเช่นนี้อีกก็ได้”
วันนี้ม่อหลิงหานเป็อันใดไปกันแน่ ไม่ใช่ว่าเขาเป็โรครักความสะอาดขั้นรุนแรงจนไม่ยอมเข้าใกล้สตรีใดหรอกหรือ?
เหตุใดวันนี้เขาถึงเอาแต่กอดนางไม่ยอมปล่อยมือเลยเล่า
ม่อหลิงหานยื่นหน้าเข้าใกล้หูของเยว่เฟิงเกอ กล่าวเสียงเบาว่า “อย่าขยับ ให้เปิ่นหวางได้กอดเ้าเช่นนี้อีกหน่อย”
ลมหายใจของเขาเป่ารดใบหูของเยว่เฟิงเกอ ทำเอานางรู้สึกขนลุกชัน
ครั้งนี้เยว่เฟิงเกอไม่ดิ้นรนอีกด้วยกลัวว่าม่อหลิงหานจะเป่าลมหายใจรดนางอีก
ความรู้สึกขนลุกแปลกๆ นี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวเอาเสียเลย
ม่อหลิงหานกอดนางเงียบๆ อยู่เช่นนั้น เป็นานถึงยอมปล่อย
คล้ายว่าเขาจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงกล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่มีคนจากในวังมา บอกว่าเสด็จพ่ออยากพบเ้า ชายาจั้นอ๋อง เ้าแต่งเข้ามานานแล้ว แต่ยังไม่เคยเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเลย อีกเดี๋ยวเ้าก็ไปแต่งตัวเสียหน่อยเถิด เราจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อด้วยกัน”
เมื่อเยว่เฟิงเกอได้ยินว่าเข้าวัง สายตานางปรากฏแววคาดหวังรอคอย
นางยังไม่เคยเข้าวังมาก่อน ถึงแม้เมื่อก่อนที่ยังอยู่ในยุคปัจจุบันจะเคยไปเยี่ยมชมโบราณสถานมาบ้าง แต่ก็เป็แค่การเยี่ยมชมเท่านั้น
อีกทั้งยามที่นางไปเยี่ยมชมโบราณสถานเ่าั้ ไม่ว่าจะแห่งหนใดก็มีคนเนืองแน่นไปหมด ทำให้นางไม่มีอารมณ์จะเข้าไปชื่นชมอะไรให้มากมายนัก
ดังนั้น การจะเข้าวังไปพบฮ่องเต้ตัวเป็ๆ ถือเป็เื่ที่นางไม่เคยคิดฝันมาก่อน
ม่อหลิงหานมองดวงตาของเยว่เฟิงเกอที่เปล่งประกายขึ้นเพราะความคาดหวัง มุมปากเขาอดโค้งขึ้นน้อยๆ ไม่ได้
เยว่เฟิงเกอรีบผลัดเปลี่ยนเป็อาภรณ์หรูหราสีม่วงอ่อนภายใต้การช่วยเหลือของชิงจื่อ และยังได้คนช่วยรวบผมเป็ทรงที่งามสง่าให้
ยามที่เยว่เฟิงเกอปรากฏกายขึ้นหน้าประตูเรือน ม่อหลิงหานที่ยืนรออยู่ด้านนอกได้ยลโฉมงามสะพรั่งของนางที่โดดเด่นเหนือใคร ดวงตาเขาพลันเปล่งประกายอย่างที่ไม่อาจหันเหไปทางอื่นได้อีก
ถานอี้และเฉียวเฟยเองก็ถูกความงามเหนือใครของพระชายาทำให้ตกตะลึงจนเบิกตากว้างไปเช่นกัน พวกเขารู้ว่าพระชายาหน้าตางดงาม แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากแต่งองค์แล้วจะงดงามถึงเพียงนี้
พระนางราวกับเทพธิดาเดินดิน
เมื่อเห็นว่าชายสามคนในสวนต่างมีสีหน้าตกตะลึง เยว่เฟิงเกอก็ให้รู้สึกพอใจในรูปโฉมของตนเป็อย่างมาก
ครั้นยังอยู่ในยุคปัจจุบัน นางก็เป็สาวสวย เมื่อมาอยู่ในยุคโบราณก็ยังเป็หญิงงามเช่นเคย
เยว่เฟิงเกอเดินมาหยุดอยู่ข้างกายม่อหลิงหาน โบกมือไปทางเขา “ท่านอ๋อง พวกเราควรออกเดินทางได้แล้วเพคะ”
ม่อหลิงหานดึงสติกลับมาได้ก็กระแอมเบาๆ สีหน้าแดงก่ำ ไม่มองเยว่เฟิงเกออีก ก็หมุนกายเดินมุ่งหน้าออกจากจวน
ในฐานะองครักษ์ประจำกาย ตามหลักแล้วถานอี้และเฉียวเฟยก็ควรจะติดตามไปด้วย
ทว่า ขาของถานอี้ยังไม่หายดี ม่อหลิงหานจึงให้เขาพักรักษาตัวอยู่ในจวน และให้แค่เฉียวเฟยติดตามไปเพียงคนเดียว
ส่วนชิงจื่อ ในฐานะสาวใช้ประจำกาย แน่นอนว่าต้องติดตามประคองเยว่เฟิงเกอไปจากจวนด้วยกัน
เยว่เฟิงเกอถูกม่อหลิงหานประคองขึ้นรถม้า ส่วนชิงจื่อและเฉียวเฟยเดินขนาบอยู่สองข้างของรถม้า
เพียงไม่นานม้าพ่วงพีก็เคลื่อนกายไปข้างหน้า ออกห่างจากจวนอ๋องมุ่งหน้าไปยังตลาดที่ครึกครื้น
นี่เป็ครั้งแรกที่เยว่เฟิงเกอได้ออกมาจากจวนอ๋อง ในความทรงจำนางเองก็จำได้ว่าั้แ่แต่งเข้ามา เ้าของร่างเดิมยังไม่เคยก้าวพ้นประตูใหญ่จวนอ๋องไปที่ใดเลย
ในที่สุดเยว่เฟิงเกอก็โชคดีได้ออกจากจวนแล้ว นางมีท่าทีสนอกสนใจตลาดในยุคโบราณแห่งนี้เป็อย่างมาก
นางเลิกม่านขึ้น โผล่หน้าออกไปมองด้านอนก ใบหน้าเต็มไปด้วยความรื่นเริง พออกพอใจ
ม่อหลิงหานที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามหาได้สนใจชื่นชมทิวทัศน์ของตลาดเหมือนกับนาง สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องอยู่ที่ดวงหน้างามของเยว่เฟิงเกอตลอดเวลา เมื่อได้เห็นท่าทางมีความสุขของนาง เขาก็อารมณ์ดีตามไปด้วย
ระหว่างที่รถม้าดำเนินผ่านตลาดไป เยว่เฟิงเกอเห็นคนขายศิลปะส่วนหนึ่งกำลังแสดงความสามารถของพวกตนอยู่
ผู้คนต่างรายล้อมรอบตัวพวกเขาพร้อมส่งเสียงโห่ร้องออกมาเป็ระยะ
เยว่เฟิงเกอมองด้วยความสนใจ ฉากเช่นนี้ นางเคยเห็นแต่ในละคร
ทว่า ในตอนที่เยว่เฟิงเกอกำลังมองอย่างสนอกสนใจอยู่นั้น หนึ่งในนักแสดงได้ใช้สายตาที่ค่อนข้างพิเศษมองมายังรถม้าของนาง
สายตาของคนผู้นั้นแฝงแววเหี้ยมโหด มือทั้งคู่ของเขากำลังกวัดแกว่งวงล้อไฟ ฝีเท้าค่อยๆ เคลื่อนมาทางรถม้าอย่างช้าๆ
เยว่เฟิงเกอะโเรียกเฉียวเฟยที่นอกรถม้า “เฉียวเฟย จับตาดูนักแสดงที่เหวี่ยงวงล้อไฟนั่นไว้ให้ดี”
เฉียวเฟยได้ยินเช่นนั้นก็หันมองไปยังนักแสดงคนนั้นทันที ขณะที่มือของเขาวางไว้ที่ด้ามกระบี่ เตรียมพร้อมต่อสู้ในทุกเมื่อ
เยว่เฟิงเกอหันศีรษะไป กำลังจะบอกให้ม่อหลิงหานรู้ แต่กลับเห็นว่าเขากำลังมองตนอยู่ ท่าทางคล้ายว่าจะรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างนานแล้ว เพียงแต่เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย
ไม่นานเกินรอ นอกรถม้าก็มีเสียงร้องใดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงใของชิงจื่อ “ท่านอ๋อง พระชายา รีบะโลงมาเพคะ”
ยามนี้เฉียวเฟยได้ถีบตัวขึ้นชักกระบี่ออกมาฟาดฟันไปที่วงล้อไฟวงหนึ่งที่กำลังพุ่งมา
ส่วนวงล้ออีกวงกลับกำลังลอยละลิ่วมาตกบนหลังคารถม้า...
เยว่เฟิงเกอที่กำลังคิดจะเคลื่อนไหวกลับถูกม่อหลิงหานจับไว้ มือข้างหนึ่งของเขาโอบเอวนางไว้ ส่วนอีกข้างปล่อยกำลังภายในทำลายหลังคารถม้า
แรงมหาศาลจากฝ่ามือของม่อหลิงหานทำให้หลังคารถม้าปลิวขึ้นไป
ม่อหลิงหานถีบกายขึ้นพาเยว่เฟิงเกอทะยานออกจากรถม้าผ่านทางหลังคา
หลังจากที่ม่อหลิงหานและเยว่เฟิงเกอออกมาจากรถม้าได้แล้ว รอบข้างก็มีเสียงตื่นใของผู้คนดังขึ้นอีก
ราษฎรตามท้องถนนจำได้ว่าม่อหลิงหานผู้นี้ก็คือจั้นอ๋องของพวกเขา จึงพากันะโโหวกเหวก
“คนร้าย มีคนลอบปลงพระชนม์จั้นอ๋อง”
“ใครที่ขวัญกล้าเพียงนี้ ถึงขนาดคิดจะลอบปลงพระชนม์จั้นอ๋องของเรา ไม่อยากอยู่แล้วหรือ”
“เมื่อครู่ข้าเห็นแล้วว่ากงล้อไฟนั่นมาจากนักแสดงคนเมื่อครู่ เราไปตามจับคนผู้นั้นกัน ต้องตามจับตัวมาให้ได้”
เมื่อทุกคนดึงสติกลับมาได้แล้วคิดจะไปไล่ตามจับนักแสดงคนนั้น กลับพบว่าเขาหนีหายไปอย่างไม่รู้ทิศทางแล้ว
“เ้าไม่เป็ไรนะ? ” ม่อหลิงหานกอดเยว่เฟิงเกอไว้แล้วค่อยๆ ร่อนกายลงยืนอย่างมั่นคงบนพื้นพลางมองเยว่เฟิงเกอด้วยสีหน้าห่วงใย
เยว่เฟิงเกอส่ายหน้า ทว่า สีหน้านางกลับไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความหวาดกลัว
นางมองรถม้าที่ถูกเผาจนวอด กล่าวด้วยความปวดใจเล็กน้อย “ข้าไม่เป็ไร แต่เสียดายรถม้า”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้