“ใช่ ท่านแม่ ไม่ต้องใจร้อน อีกเดี๋ยวรอข้าให้มั่นคงกว่านี้ จะหาลูกสะใภ้ที่ดีกลับมาให้!”
จางอวี้เต๋อมีบทเรียนจากอดีต หากจะเลือกสะใภ้ก็ต้องระมัดระวังหลายอย่าง ไม่มีทางรับปากแต่งงานอย่างง่ายดาย
เฉินซื่อลูบหน้าผากของหลิวเต้าเซียงอย่างรักใคร่ “เ้ายังเด็กยังไม่เข้าใจ ความอกตัญญูมีสามแบบ ที่ใหญ่หลวงที่สุดก็คือการไม่มีคนสืบสกุล!”
หากนางไม่ได้เห็นบุตรสาวสมรสก่อนตาย ก็คงตายตาไม่หลับ
เมื่อไปถึงโลกหลังความตาย ก็จะไม่มีหน้าไปเจอกับบรรพบุรุษ
“ท่านแม่...รอกลับมาจากการเดินทางค้าขายรอบนี้ ลูกต้องหาสะใภ้ที่เอาใจใส่ให้ท่านแม่อย่างแน่นอน เพียงแต่ครั้งนี้ไม่อาจอยู่บ้านได้นาน...”
จางอวี้เต๋อมองไปที่มารดาด้วยความละอายใจ สิบเอ็ดปีที่ไม่ได้เจอ มารดาก็ชราตัวไปมาก ไม่ได้สาวเหมือนแต่ก่อน
เฉินซื่อเห็นว่าเขาได้ตัดสินใจแล้ว จึงโบกมือแล้วเอ่ย “เ้ามีความคิดนี้ในใจก็พอ”
จางกุ้ยฮัวไม่อยากให้ทั้งสองต้องเศร้าเมื่อพบกัน จึงเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ เวลาสายมากแล้ว เราไปทำอาหารกันก่อนดีกว่า ดีเลย ตอนนี้ในบ้านก็ค่อยๆ มีอันจะกิน จะได้ทำอะไรที่น้องชายชอบกิน”
“เฮ้อ เราทำขาหมูน้ำแดงเถิด ตอนนั้นน้องชายตัวเล็กเท่านี้ เคยมีเพื่อนบ้านทำขาหมูน้ำแดง เขาแอบดมอยู่ตรงรั้วนานมาก แล้วกลับมาถามข้าว่านั่นคือกลิ่นอะไร บอกว่าแค่ได้กลิ่นก็อิ่มแล้ว!”
จางอวี้เต๋อต้องโกหกตอนนั้น กลิ่นขาหมูนั้นหอมยั่วยวน ชวนให้คนยิ่งหิว
เฉินซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา จากนั้นลุกไปทำกับข้าวในครัว
จางกุ้ยฮัวมองดูเงาด้านหลังของนางและบอกกับจางอวี้เต๋อ “หลายปีมานี้ท่านแม่อยู่คนเดียว ทั้งยังหวาดระแวงไม่น้อย หากเ้าสามารถกลับมาพักได้ คิดว่าท่านแม่คงดีใจ ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเ้า แต่หลายปีมานี้เ้ากลับไม่ส่งข่าวมาแม้แต่น้อย ถึงจะมีข้ออ้างมากมายแต่มันก็คือข้อแก้ตัว”
จางอวี้เต๋อยิ้มอย่างขมขื่น เื่ราวที่เกิดขึ้นในหลายปีมานี้ทำให้เขามิอาจมีหน้ามาเจอครอบครัว คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ยังสร้างความเคืองโกรธได้อยู่ดี แต่ก็มิอาจบอกกล่าวชีวิตที่ยากเย็นของตนเองให้แก่พี่สาวและมารดาได้รู้
“หลายปีก่อนข้าเคยวานคนส่งจดหมายกลับมาให้ เพียงแต่คงไม่ผ่านทาง เกรงว่าส่งมาไม่ถึง”
“เ้าสามารถกลับมาได้ ท่านแม่ก็มีความสุขมากแล้ว อย่ามองว่าเมื่อครู่นางไม่ได้โอดครวญ จนถึงตอนนี้นางยังไม่เชื่อว่าเ้ากลับมาแล้วจริงๆ นางอาจจะนึกว่าฝันไปก็ได้!” จางกุ้ยฮัวมองดูปฏิกิริยาของมารดา จึงรู้ว่าพอเป็ไปได้
จางอวี้เต๋อมีสีหน้าแน่นิ่งไป จากนั้นก็บอกเล่าเื่ราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหลายปีมานี้ เพียงแต่ว่าเลี่ยงเื่ที่ถูกคนอื่นวางหลุมพรางและกอบโกยทรัพย์สินไป จนเกือบถูกใส่ร้ายป้ายสีให้ได้รับโทษอยู่ในห้องขัง
เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยง เสียงกระดิ่งลาที่คุ้นเคยก็ค่อยๆ ดังขึ้น บ่งบอกว่ากำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา
เสียงแหลมของหลิวชิวเซียงดังมาจากประตูลานบ้าน “ท่านแม่ ท่านแม่กลับมาแล้ว!”
“พี่เขยกลับมาแล้วหรือ?!”
จางกุ้ยฮัวยิ้ม แววตาเปี่ยมสุข “ได้ยินเสียงกระดิ่งนี้ เขาน่าจะกลับมาแล้ว”
“ท่านพี่ มาเร็ว!” หลิวเต้าเซียงวิ่งออกไปหน้าประตูและโบกมือให้หลิวชิวเซียง ยิ้มแล้วเอ่ย “ท่านน้าเรากลับมาแล้ว”
หลิวชิวเซียงอดไม่ได้ที่จะรีบวิ่งไป จากนั้นจ้องมองน้าชายที่เจอกันครั้งแรกด้วยความทึ่ง ก่อนจะขานเรียกท่านน้าอย่างดีอกดีใจ ในที่สุดนางก็มีน้าชายแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานหลิวซานกุ้ยก็เข้าบ้านมา ทั้งปลาบปลื้มยินดีและโล่งใจ นอกจากนี้ก็ไม่มีทางขาดตกเื่ชนแก้วกัน จากนั้นได้ฟังเื่ราวการค้าขายข้างนอกของเขา แล้วรั้งให้เขาอยู่ต่อหลายวันหน่อย
“โอ้ น้องสาม น้องชายเ้ามาทั้งทีก็ไม่ส่งข่าวมาบอกกันบ้างเลย ข้าได้ยินจากคนในหมู่บ้าน จึงตั้งใจเอาเนื้อแก้มหมูมาให้”
เสียงของหลิวเหรินกุ้ยดังขึ้นตรงหน้าประตู
สายตาของหลิวเต้าเซียงมองไปที่เนื้อแก้มหมูในมือเขา ถึงกับตกตะลึงกับความใจกว้างของหลิวเหรินกุ้ย นั่นเป็เนื้อแก้มหมูทั้งซีกที่ติดหูหมูมาด้วย
ครอบครัวของหลิวซานกุ้ยไม่เคยคิดว่าหลิวเหรินกุ้ยจะมาที่บ้าน เนื่องจากจางอวี้เต๋อก็อยู่ หลิวซานกุ้ยจึงไม่อาจปฏิเสธได้ จึงให้หลิวชิวเซียงไปเอาถ้วยกับตะเกียบอีกคู่
หลิวเหรินกุ้ยไม่เคยทำอะไรที่เสียเปล่า มักจะมีแผนการอยู่เสมอ ไฉนเลยจะทำดีด้วยโดยไม่หวังผลอะไร
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าเขามาด้วยเหตุใด เมื่อเห็นว่าหลิวซุนซื่อกับหลิวจูเอ๋อร์ที่เกลียดขี้หน้าไม่ได้มาด้วย จึงเริ่มคีบอาหารใส่ปาก
จางอวี้เต๋อเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว ก้มหน้าแล้วเอ่ยถามเสียงค่อย “เต้าเอ๋อร์ไม่ชอบคนที่มาหรือ?”
“อืม! ครอบครัวของลุงรองน่าชิงชัง แต่ก่อนตอนอยู่ที่บ้านเก่า มักจะแอบรังแกพวกข้าลับหลังท่านพ่อ อีกทั้งท่านย่าก็ไม่ใช่คนดีอะไร ถูกลุงใหญ่กับลุงรองจูงจมูกไป ไม่มีทางเหลืออะไรไว้ให้พวกเรา หลังจากแยกบ้าน พวกเราจึงมีข้าวกินอิ่ม ตอนนี้ข้าเห็นมันเทศก็อยากอาเจียน แต่ก่อนตอนอยู่บ้านเก่า ครอบครัวลุงรองกินข้าวขาว แต่ครอบครัวข้าได้กินแต่มันเทศ”
หลิวเต้าเซียงแอบกรอกหูจางอวี้เต๋อเงียบๆ ไม่ว่าลุงรองจะมีแผนอะไรในใจ ก็จะต้องทำให้น้าชายรู้ให้ได้ว่าหลิวเหรินกุ้ยไม่ใช่คนดี
ดวงตาของจางอวี้เต๋อเปล่งประกาย นึกขำขันแล้วเอื้อมมือลูบศีรษะของนาง เด็กน้อยหัดรู้จักการใช้แผนเ้าเล่ห์แล้ว ทว่าเขาชื่นชอบแบบนี้ สมกับเป็หลานสาวของเขา ทำอะไรก็ไม่ควรเสียเปรียบ เมื่อสบโอกาสก็ต้องกัดคืน
หลังจากดื่มกันสักพัก หลิวเหรินกุ้ยก็เริ่มเอ่ยจุดประสงค์ที่มา
“น้องสาม น้องสะใภ้สาม พวกเ้าวาสนาดียิ่งนัก ข้าว่าน้องสะใภ้สาม แต่ก่อน สิ่งที่ท่านแม่ทำนั้นไม่ถูกต้อง น้องสะใภ้สามอย่าได้เก็บเอาไปคิด ท่านแม่ข้าแค่ไม่ชอบอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ น้องสามข้าก็เป็คนซื่อตรง แต่ก่อนท่านแม่ก็รู้ว่าน้องสามอยากเล่าเรียน แต่ก็รั้นจะให้เขาอยู่ข้างกาย เพราะว่านิสัยของน้องสามนั้นใสซื่อเกินไป จะเสียเปรียบเอาได้ง่ายๆ ท่านแม่ข้าจึงอยากเก็บเขาไว้ข้างกาย จะได้ดูแลเขาได้”
หลิวเหรินกุ้ยพูดเช่นนี้เพราะมีความนัยบางอย่าง หลิวซานกุ้ยเล่าเรียนแล้ว อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าเขาเรียนดีอีกด้วย นี่เท่ากับเป็การตบหน้าหลิวฉีซื่อไม่ใช่หรือ?
ในอดีตหลิวฉีซื่ออ้างเหตุผลที่ว่าหลิวซานกุ้ยไม่มีพร์ด้านการเรียน ทำให้หลิวซานกุ้ยไปเรียนเพียงปีเดียวก็กลับมาทำนา
หลิวซานกุ้ยถือถ้วยเหล้าพร้อมกับก้มหน้า ไม่รู้ว่าคิดอะไร สีหน้าของจางกุ้ยฮัวไม่ค่อยดีนัก ใครหาว่าสามีของนางเรียนไม่ได้กัน แม่สามีต่างหากที่เป็คนลำเอียง
“ใช่แล้ว ต้องขอบคุณที่ข้าได้ภรรยาที่ดี แล้วยังมีน้องเมียที่คอยสนับสนุน จึงได้เล่าเรียนต่อสักหน่อย”
หลิวซานกุ้ยไม่ตอบหลิวเหรินกุ้ย เพียงแต่คำพูดของเขากำลังบอกหลิวเหรินกุ้ยว่า เขานั้นพึ่งพาภรรยาจึงมีชีวิตที่ดีได้
เพื่อปกป้องบุตรสาว จะให้คนอื่นมานินทาลับหลังว่าเขาพึ่งผู้หญิงก็ไม่เป็ไร
หลิวเต้าเซียงคิดได้แบบนี้เช่นกัน นางจึงมิวายซาบซึ้ง และเห็นใจบิดามารดาทั่วโลกที่เหมือนติดค้างลูกๆ
หากไม่ใช่เพราะการปิดบังของสองสามีภรรยา เกรงว่านางคงถูกคนจับตามองนานแล้ว
จางอวี้เต๋อได้ยินซูจื่อเยี่ยพูดถึงพร์ของหลิวเต้าเซียงมานานแล้ว เมื่อเห็นว่าหลิวซานกุ้ยถูกหลิวเหรินกุ้ยพูดเช่นนี้ แต่พี่เขยแสนดีกลับไม่ได้ใส่ใจคำพูดของคนรอบข้างแม้แต่น้อย เขาจึงเลิกคิ้ว พี่เขยของตนดูเหมือนจะไม่ได้ใสซื่อดั่งที่เล่าลือกัน ดูแล้วก็พอมีความคิดเป็ของตนเองอยู่พอสมควร
“ตอนที่พี่สาวข้าแต่งงานกับพี่เขย บ้านข้าไม่ได้ร่ำรวย ไม่สิ ยากจนต่างหาก ข้าจำได้ว่า ตอนที่ท่านพี่ออกเรือน ท่านแม่้าเก็บเงินให้ข้าแต่งงาน จึงยอมตัดใจเอาเงินมาซื้อผ้าฝ้ายหยาบเป็ชุดแต่งงานให้พี่ข้า แต่ถึงแม้เป็แบบนั้น พี่เขยก็ไม่เคยรังเกียจพี่สาวข้ามาก่อน”
แม้ว่าจางอวี้เต๋อจะเกลียดชังคนในครอบครัวตระกูลหลิวที่เหลือ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกดีกับหลิวซานกุ้ย
ในสมัยโบราณ หากสินเ้าสาวนั้นน้อยเกินไป เมื่อถึงบ้านสามีก็มักจะถูกดูแคลน กระทั่งโดนเหยียบจมดิน
ไม่ว่าหลิวฉีซื่อจะดูถูกจางกุ้ยฮัวและเหยียบย่ำนางอย่างไร แต่หลิวซานกุ้ยก็มักจะรักใคร่เอ็นดูนางอย่างเงียบๆ ไม่เคยด่าว่านางเื่สินเ้าสาวหรือบอกว่า้าปลดภรรยาและแต่งงานใหม่
หลิวซานกุ้ยปฏิบัติต่อจางกุ้ยฮัวอย่างดีเยี่ยม
ทันทีที่จางอวี้เต๋อเข้ามาในบ้านใหม่หลังนี้ ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอกับท่านแม่ เพราะว่ามารดาของตนนั้นเป็หญิงหม้าย หญิงหม้ายนั้นห้ามเข้าบ้านผู้อื่นเพราะจะนำพาโชคร้ายมาให้แก่บ้านนั้น จึงไม่มีใครยอมคลุกคลีด้วย
แต่หลิวซานกุ้ยไม่คิดอย่างนั้น เพียงแค่คิดว่าเขาที่เป็บุตรชายไม่อยู่บ้าน ก็ยิ่งต้องดูแลตอบแทนมารดา
จางอวี้เต๋อเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาและจดจำไว้ แต่ไม่เคยกล่าวออกมา
หากไม่ใช่เพราะการยั่วยุของหลิวเหรินกุ้ย เขาคงไม่พูดออกมาเช่นเมื่อครู่
“ตอนนั้นมีเพียงพี่เขยที่ไม่รังเกียจสินเ้าสาวของท่านพี่ ตอนนั้นมีใครเล่าที่บอกว่าพี่สาวข้านั้นมีวาสนาดี?”
ทุกคนต่างบอกว่าพี่สาวของเขามีชีวิตเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ต้นกำเนิดต่ำ โยนไปที่ไหนก็มีชีวิตอยู่ได้
จางอวี้เต๋อสะกดกลั้นอารมณ์ เขา้าให้ผู้คนที่ดูถูกพี่สาวของเขารู้สึกว่า มีชีวิตดั่งเมล็ดพันธุ์แล้วอย่างไร สุดท้ายก็สามารถงอกงามมั่งคั่งได้
หลิวเหรินกุ้ยนั่งนิ่งไป ตอนนั้นทั่วละแวกนี้ มีบ้านใดบ้างที่ไม่เยาะเย้ยบ้านตระกูลจาง ต่างก็หัวเราะเยาะเฉินซื่อว่าเป็ตัวกาลกิณี เป็ภาระของลูกๆ แล้วยังบอกว่าบ้านตระกูลจางมีแต่จะยากจนยิ่งขึ้น
ใครเล่าจะรู้ว่าคนตรงหน้า บทจะพลิกตัวก็พลิกกลับมาได้อย่างนั้น
“นั่นสิ ใครเล่าจะรู้ว่าอวี้เต๋อนั้นมีความสามารถ เพียงไม่กี่ปีก็ดิ้นรนจนได้ดี”
หลิวเหรินกุ้ยยิ้มอย่างมีเมตตาและเข้าหาจางอวี้เต๋ออย่างใกล้ชิด
หลิวเต้าเซียงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา “ลุงรอง ท่านน้าเป็คนของครอบครัวข้า! ไม่ใช่ของครอบครัวเ้า อย่ามาตีเนียนใกล้ชิด”
“เด็กน้อยจะรู้อะไร พ่อเ้าแต่งกับแม่เ้า ตระกูลจางก็ต้องปรองดองกับตระกูลหลิว เข้าใจหรือไม่ สนิทกันยิ่งกว่าอะไรดี” หลิวเหรินกุ้ยตำหนิหลิวเต้าเซียงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลิวเต้าเซียงรู้สึกขนลุกหนาวสั่น อยากตอกกลับเขาสักคำ ตอนนั้นทำไมไม่คิดแบบนี้ วันๆ เอาแต่นึกถึงว่ามารดาตนเองไม่มีสินเ้าสาวแต่งเข้าบ้าน แล้วยังกินโดยไม่ออกแรง!
จางอวี้เต๋อไม่ได้ต่อคำพูดของหลิวเหรินกุ้ย เพียงแต่เอื้อมมือไปลูบจมูกเล็กของหลิวเต้าเซียงแล้วเอ่ยอย่างขำขัน “ฮ่าๆ ท่านพี่ ข้าไม่เคยรู้เลยว่าบ้านเราเลี้ยงพริกเม็ดน้อยไว้ด้วย”
จางกุ้ยฮัวอารมณ์ดี ไม่ได้สนใจคําพูดของหลิวเหรินกุ้ย “นั่นสิ ยิ่งโตก็ยิ่งเผ็ด ข้าเองก็ตามใจนาง ถึงอย่างไรก็ไปก่อเื่ที่บ้านอื่นอยู่ดี จึงตามใจ”
หลิวซานกุ้ยพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ด้านข้าง
บุตรสาวของเขาเป็คนดีทั้งหมด ต่อไปหากใครจะสู่ขอบุตรสาวของเขา ก็ต้องขูดหนังของคนผู้นั้นก่อนหนึ่งชั้นถึงจะดี
จางอวี้เต๋อมองไปที่สองสามีภรรยา จู่ๆ ก็รู้สึกปวดศีรษะ หลานสาวของเขา ต่อไปคงกลายเป็ภาพเรียงรายกันเข้ามาสู่ขอสินะ ความเผ็ดร้อนนี้มิควรแพร่สะพัดออกไปจะดีกว่า
เขาตัดสินใจแล้วว่าต่อไปหากมีเพื่อนคนใดถามขึ้น ต้องบอกว่าหลานสาวทุกคนขยันหมั่นเพียร ประพฤติตัวดีและมีความนอบน้อมรู้จักกาลเทศะ
-----
