กลุ่มลาดตระเวนค้นหารอบกระโจมจนทั่วกลับไม่พบอะไรเลย คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “มีคนที่ไหนกัน? ข้าไม่ได้ยินเสียงอะไรด้วยซ้ำ เ้ารู้สึกไปเองกระมัง?”
แล้วคนที่เหลือก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย ด่าทอกันเสียงดังแล้วจากไป
จิ่งฝานพาดอยู่บนกระโจมอย่างรำคาญ “หลบทำอะไร?”
อ๋าวหราน “ไม่หลบก็ถูกจับได้น่ะสิ”
จิ่งฝาน “พวกเรามาชิง ไม่ใช่มาขโมย”
อ๋าวหรานกะพริบตา “แล้วต่างกันอย่างไร?”
จิ่งฝาน “ชิงเปิดเผย ขโมยแอบซ่อน พวกเราเป็อย่างแรก”
อ๋าวหราน “...”
อ๋าวหราน “อย่างน้อยหาของให้เจอก่อนแล้วค่อยชิงสิ! เมื่อเช้าวางแผนวางไว้อย่างไร? จู่ๆ เ้าจะมาเปลี่ยนอย่างนั้นหรือ!”
จิ่งฝาน “...”
ตอนที่วางแผนกันนั้นเขาแทบจะไม่ได้พูดแทรกเลย ล้วนเป็คนอายุน้อยสามคนคิดกัน มีทั้งลอบโจมตี ทั้งวางยาสลบ หลากหลายมากมาย เอาแค่แผนสำรองก็เขียนร่ายยาวออกมาได้ไม่รู้ตั้งกี่แถว รอบคอบรัดกุมอย่างยิ่ง เกี่ยวกับเื่นี้ทั้งเขาและเหยียนเฟิงเกอต่างเงียบไม่ส่งเสียงใดๆ ปล่อยให้พวกเขาดิ้นรนกันไป
ไม่ว่าจะวางแผนไว้อย่างไร พวกเขาก็ต้องสู้กับคนตระกูลเฉินอยู่ดี ไม่มีความจำเป็ต้องหลบซ่อนเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรเสียข้าวของครั้งนี้ก็มีไม่น้อย ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นชิงกลับไปโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ยินหรอก
เมื่อเห็นดวงตาทั้งคู่ของอ๋าวหรานส่องประกายในความมืด ท่าทางระมัดระวังยิ่ง จิ่งฝานก็ไม่อยากพูดอะไรอีก ตามใจเขาก็แล้วกัน
สถานที่ที่ตระกูลเฉินเก็บเสบียงไว้นั้นเหมือนกับที่สายลับบอกมาไม่มีผิด คนเฝ้าเองก็มีอยู่หลายคน อ๋าวหรานกับจิ่งฝานอ้อมไปด้านหลัง แล้วใช้กระบี่ทำให้คนเจ็ดแปดคนสลบภายในระยะเวลาไม่นาน
คนด้านหน้าทำคนสลบ แต่ทว่าคนด้านหลังกลับเอาชีวิตคนในเสี้ยววินาที เงียบเชียบไร้เสียงและร่องรอย แล้วลากพวกเขามาไว้ในกระโจมที่ไม่มีแสง พวกอ๋าวหรานเข้าไปในทางที่จัดการเปิดไว้แล้ว กระโจมใหญ่ๆ สองสามหลังรอบๆ ล้วนจุดไฟเอาไว้ พวกอ๋าวหรานแทรกเข้าไปหนึ่งในกระโจมพวกนั้น ด้านในยังมีคนเฝ้าอยู่สี่คน ไม่รอให้พวกเขาส่งเสียงใ อ๋าวหรานก็พุ่งเข้าไปทำให้คนหนึ่งสลบเสียก่อน ส่วนจิ่งฝานกลับนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน จากนั้นก็เอื้อมมือแทรกเข้าไปในกระสอบข้าวที่อยู่ด้านข้าง หยิบข้าวออกมาไม่กี่เมล็ด เมล็ดข้าวเ่าั้แทรกอยู่ระหว่างนิ้วยาวเรียวของเขา
พอพลิกนิ้วมือออกแรงทีหนึ่ง เมล็ดข้าวพวกนั้นก็ราวกับธนูที่พุ่งออกจากคันศรแล้วพุ่งตรงไปยังหว่างคิ้วของสามคนที่เหลือ คนในมืออ๋าวหรานยังไม่ทันล้มลงไป คนที่เหลืออีกสามคนก็กลับปากอ้าตาค้างทยอยกันล้มลงไปด้านหลังเสียแล้ว
ไม่มีเวลาดูให้ละเอียด อ๋าวหรานวางคนในมือเขาลงอย่างระมัดระวังแล้วรีบวิ่งไปอย่างเร็ว เอื้อมมือไปคว้าคนทั้งสามให้พวกเขาล้มลงบนพื้นอย่างไร้เสียง
เขากำลังคิดจะถลึงตาใส่จิ่งฝานที่ี้เีเกินไป เอาแต่เพิ่มปัญหา พอก้มหน้ากลับพบว่าคนในมือนั้นที่รูระหว่างคิ้วซึ่งมีขนาดแค่เมล็ดข้าวกำลังมีเืไหลออกมา เืพวกนั้นไหลลงไปจนนองเต็มมือเขา ถึงแม้อ๋าวหรานจะเป็คนสงบนิ่งไม่กระโตกกระตาก แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกรับไม่ค่อยได้อยู่เล็กน้อย พยายามเช็ดเืที่มืออย่างตกอกใแล้วรีบวิ่งมาตรงหน้าของจิ่งฝาน พูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “เ้า...เ้าฆ่าพวกเขาหรือ?”
จิ่งฝานมองมือเขาแล้วดึงข้อมือเขาขึ้นมา คว้านหยิบผ้าขาวสะอาดผืนหนึ่งมาเช็ดเืบนมือเขาทีละนิดอย่างถี่ถ้วน พยักหน้าอย่างช้าๆ โดยไม่ใส่ใจ “ใช่”
ความสนใจของอ๋าวหรานยังอยู่ที่สามคนนั้น หาได้สนใจการกระทำของจิ่งฝานไม่ “แต่...แต่ว่า...”
แต่ว่าอะไร? เขาก็พูดไม่ถูก มาครั้งนี้เขาเองก็น่าจะคิดได้ว่าต้องมีเื่เช่นเกิดขึ้น
แต่คนพวกนี้ยังไม่ได้สร้างปัญหาให้พวกเขาก็ควรจะไว้ชีวิตพวกเขามิใช่หรือ? รอจนพวกเขาคิดจะฆ่าพวกเราแล้วค่อยฆ่า
อ๋าวหรานสะบัดศีรษะ น่าขันเกินไปแล้ว มีเมตตาใจอ่อนราวกับพ่อพระนักบุญเช่นนี้มีแต่จะทำให้ผู้อื่นคิดว่าเขาเป็คนโง่งม แต่เขาก็ควบคุมตัวเองไม่ให้มีความคิดยึดติดที่ว่าหากไม่ฆ่าคนก็พยายามไม่ฆ่าคนไม่ได้
ทว่าสุดท้ายแล้วหลังจากพูดคำว่า ‘แต่ว่า’ เขาก็ไม่พูดอะไรอีก เขาสามารถกำหนดให้ตัวเองเป็เช่นนี้ได้ แต่หลักการของเขาจะเอาไปใช้กับจิ่งฝานด้วยไม่ได้ เขาไม่มีสิทธิ์และอำนาจใดๆ จะไปทำเช่นนั้นได้
จิ่งฝานเห็นเขาเงียบไป ทั้งมีสีหน้าขัดแย้งก็หาได้สนใจไม่ เมื่อช่วยเขาเช็ดมือเสร็จก็เก็บผ้าเช็ดหน้าเข้าไปในอกเสื้อ
กระโจมนี้เป็สินค้าของตระกูลเฉินเอง ล้วนเป็ข้าวสารทั้งสิ้น
แล้วคนทั้งสองก็เปลี่ยนไปที่กระโจมอื่น ยังคงมีคนเฝ้าอยู่สี่คนเหมือนเดิม ผลสุดท้ายก็ยังเป็สลบหนึ่งตายสาม
เปลี่ยนกระโจมมาสองที่แล้วก็ยังไม่เจอสินค้าของตระกูลจิ่ง คนทั้งสองจึงไปอีกหลัง ด้านในกลับว่างเปล่าไม่มีคนเฝ้าแม้แต่คนเดียว ตอนที่จิ่งฝานก้าวเข้าประตูไปก้าวแรก เขาก็หรี่ตาลงแล้วยกริมฝีปากหัวเราะอย่างเ็าออกมาทีหนึ่ง อ๋าวหรานสอดส่ายสายตาไปทั้งสี่ด้าน “หลังนี้กลับไม่มีคนเฝ้า?”
จิ่งฝานยิ้ม “เข้าไปดู”
ไม่สงสัยอะไรเลย อ๋าวหรานเดินลึกเข้าไปสองก้าว ตบกระสอบข้าวที่อยู่ใกล้มือหลายครั้ง ทั้งนิ่มและมีรูขาด ที่อยู่ในกระสอบล้วนเป็หญ้าแห้ง “ห้องนี้คาดว่าคงมีแต่หญ้าแห้ง ดังนั้นจึงไม่มีคนเฝ้า”
จิ่งฝานตามอยู่หลังเขา พยักหน้าโดยไม่คัดค้านหรือเห็นด้วย
อ๋าวหราน “ไปเถอะ หลังนี้ก็ไม่มี”
จิ่งฝานเตะกระสอบที่อยู่ข้างเท้าแล้วพูดอย่างใส่ใจว่า “ไม่ดูอีกหรือ?”
อ๋าวหรานถามอย่างสงสัย “ยังมีอะไรน่าดูอีก?”
จิ่งฝานยกริมฝีปาก เท้าไม่ขยับ แต่กลับพูดเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
อ๋าวหรานรีบเอื้อมมือจะไปปิดปากเขา “พี่ชาย เบาเสียงหน่อย!”
สุดท้ายมือเขายังไม่ทันโดนหน้าจิ่งฝาน พื้นใต้เท้าก็เหมือนจะสั่นอยู่สองที อ๋าวหรานรู้สึกงุนงง ส่วนจิ่งฝานกลับเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว
คางและริมฝีปากที่ถูกคั่นด้วยหน้ากากตรงเข้าัักับมือของเขาที่ยังลอยค้างอยู่จนรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อน
อ๋าวหรานไม่มีเวลามาสนใจเื่พวกนี้ ตกตะลึงจนงุนงงแล้วพูดว่า “เมื่อกี้พื้นเพิ่งจะ...” ขยับ!
ยังไม่ทันพูดจบ พื้นทั้งแผ่นก็สั่นะเื กระโจมขนาดใหญ่รวบเข้ามาจากทุกทิศทาง เชือกอวนที่แสนละเอียดพุ่งขึ้นมารวบตัวคนทั้งสองไว้ภายใน เพียงจิ่งฝานยกมือเท่านั้น ทั้งกระโจมก็ฉีกขาดเป็ชิ้นๆ พวกกระสอบที่แข็งแรงน้อยกว่ากระโจมก็ถูกฉีกกระชากจนป่นปี้ หญ้าแห้งด้านในปะปนเข้ากับหิมะขาวจนกระจายเต็มฟ้า
แต่เชือกอวนนั้นกลับไม่เสียหายสักนิด กลับรวบตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะมีพวกหญ้าแห้งปนอยู่ด้วย แต่อ๋าวหรานกับจิ่งฝานก็ยังถูกรวบไว้อย่างแ่าจนแนบชิดติดกัน
...ติดกับดักเข้าให้แล้ว
ดูท่าว่าเ้าเฉินเปิ่นหวานี่จะไม่ใช่คนโง่งมจริงๆ จากตอนนี้ก็พอจะดูออกว่าคงเก่งกว่าพี่ชายเขาอยู่บ้าง
อ๋าวหรานพยายามสลัดออก แต่เชือกอวนแน่นมากและแข็งแรงมากเช่นกัน เทียบกับเชือกอวนที่ทำจากฟางแบบในละครแล้ว อันนี้ดูแวววาวกว่า แต่ทำจากอะไรนั้นก็ดูไม่ออก รู้แค่ว่าละเอียดมาก ทุกเส้นหนาเท่ากับนิ้วของคนโตเต็มไว
ความสามารถของอ๋าวหรานในตอนนี้นั้นยังไม่อาจสลัดหลุดออกไปได้ ไม่รู้ว่าเมื่อกี้จิ่งฝานยกมือใช้แรงไปกี่ส่วน หากว่าไม่ได้เก็บแรงไว้มากนัก เช่นนั้นพวกเขาสองคนก็ลำบากแล้ว คงได้แต่รอให้เหยียนเฟิงเกอมาช่วย แต่สามคนนั้นตอนนี้ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็อย่างไรเลย
อ๋าวหรานเงยหน้าตั้งใจจะมองจิ่งฝาน แต่กลับถูกอีกฝ่ายจับคอไว้ เสียงเหนือศีรษะแหบต่ำ “อย่าขยับ”
ถูกจับไว้จนขยับไม่ได้ แล้วอ๋าวหรานก็นึกถึงท่าทางที่ค่อนข้างแปลกประหลาดของจิ่งฝานเมื่อครู่ พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เ้ารู้ั้แ่แรกแล้วใช่หรือไม่?”
จิ่งฝานจับคอเขาไว้ไม่ได้ตอบคำ อ๋าวหรานก็รู้แล้วว่าตนเดาถูกแปดเก้าส่วนไม่ไกลสิบแล้ว พูดอย่างโกรธเคืองว่า “เ้ารู้แล้วกลับไม่รู้จักหลบ? สุดท้ายก็ต้องมาติดกับเข้าเห็นหรือไม่? เชือกนี้แข็งแรงมาก ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด”
ไม่รอให้จิ่งฝานพูด เสียงหัวเราะได้ใจดังลั่นฉีกกระชากความเงียบยามค่ำคืนก็เข้ามา
“คิดไม่ถึงล่ะสิ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเ้าต้องมา รอพวกเ้ามาติดกับอยู่นานแล้ว!”
เสียงมาก่อน คนจึงตามมาภายหลัง เฉินเปิ่นหวาด้านในสวมชุดยาวสีทองส้ม ส่วนด้านนอกเป็เสื้อกันลมสีดำที่แทบจะลากพื้น คอเสื้อขนสัตว์สีขาวสะท้อนแสงภายใต้แสงเทียน
ใบหน้านั้นโอหังอวดดีเสียยิ่งกว่าเสียงหัวเราะ
“พวกเ้ามากันแค่สองคนหรือ?” เฉินเปิ่นหวาไม่รอให้พวกเขาตอบ หันศีรษะไปทางคนด้านหลัง “ทางฝั่งตะวันออกมีความเคลื่อนไหวหรือไม่?”
ด้านหลังเขามีคนตามมากันสิบกว่าคน คนที่อยู่ค่อนไปด้านหลังคนหนึ่งรีบขึ้นหน้ามา “คุณชายรอง มีคนลาดตระเวนตายไปสองสามคน แต่ตอนนี้ยังจับตัวคนทำไม่ได้”
เฉินเปิ่นหวาขมวดคิ้ว “ให้เฉินชิ่งพาคนไปจับตาดูไว้ ห้ามปล่อยไปแม้แต่คนเดียว ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะหนีไปไหนได้!”
คนผู้นั้นรีบตอบรับว่า ‘ขอรับ’
เฉินเปิ่นหวาหันศีรษะกลับมาเห็นอ๋าวหรานยังดิ้นรนก็อดหัวเราะพรืดออกมาทีหนึ่งไม่ได้ “ทั้งสองท่านอย่าเปลืองแรงอีกเลย อวนนี้ทำมาจากวัสดุชนิดพิเศษที่มีแต่ที่ตระกูลเฉินของข้าเท่านั้น ไม่รู้ว่ารวบยอดฝีมือไปกี่คนแล้ว จนถึงวันนี้คนที่หนีออกมายังเป็ศูนย์อยู่เลย”
อ๋าวหรานเองก็คร้านจะขยับแล้ว หันศีรษะไปมองเฉินเปิ่นหวาโดยไม่พูดอะไร
เฉินเปิ่นหวาเดินขึ้นหน้ามาสองสามก้าว สั่งให้คนดึงอวนให้แน่นขึ้น ซึ่งอวนนี้แท้จริงแล้วใหญ่มาก อย่างไรเสียก็สามารถครอบคลุมพื้นดินล่างของกระโจมไว้ได้ทีเดียว แต่ว่าเหนืออวนนั้นมีวงแหวนเหล็กขนาดเท่าแหวนนิ้วโป้งเท่านั้น มันค่อยๆ ร่นลงมาด้านล่าง อ๋าวหรานรู้สึกว่าเหนือหัวเหมือนเป็ถุงที่ถูกมัดปากสนิทอย่างไรอย่างนั้น แถมอวนนั้นก็ยิ่งรัดร่างของเขากับจิ่งฝานมากขึ้นเรื่อยๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้