“เดี๋ยวแม่จะคุยให้ลูกฟังทีหลัง” อันนารับมือกู้หลานอันด้วยประโยคเดียวแล้วสาธยายกับอวี๋เจี๋ยต่อว่า “ไม่เป็ไร ฉันจะใช้ผู้จัดการคนเดียวกับกู้หลานอันเพราะฉันอยากรู้กำหนดการต่างๆ ของเขา จะได้วางแผนอยู่ใกล้กับเขาได้ สอนเขาร้องเพลง แสดงละคร อะไรต่าง ๆ พวกนี้กำหนดการในชีวิตประจำวันเดี๋ยวฉันจะให้ผู้จัดการที่เคยดูแลฉันมารับผิดชอบเอง”
“อืม แบบนี้ก็ดี” ทันทีที่น้ำเสียงอวี๋เจี๋ยลดลง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา กู้หลานอันก้าวไปเปิดประตู เห็นคนที่มาแล้วเขารู้สึกเสียดายอยู่ในใจทั้งหมดที่พวกเขาจัดหามาให้คือซู่หยางผู้จัดการตัวท็อปที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการบันเทิงถ้าไม่ใช่คน เขาก็เหมือนเป็เทพดี ๆ นี่เอง
พอเห็นคนที่มาเปิดประตูให้ ซู่หยางก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งมือเท้าคางพิจารณากู้หลานอันจากบนลงล่าง มือพลางดึงเสื้อของเขาไปด้วยแล้วพูดชมว่า “ยอดเยี่ยม เป็เมล็ดพันธุ์ที่ดีมาก”
“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ” กู้หลานอันพยักหน้าแล้วถอยหลัง “เชิญเข้ามาข้างในเลยครับ”
“มาแล้วเหรอ พอใจไหม” พอเห็นสายตาของซู่หยาง อวี๋เจี๋ยเลิกคิ้ว สายตาเหลือบไปทางอันนาแล้วถามด้วยความพอใจ
“อืม คราวนี้นายไม่ได้หลอกฉันแล้ว” ซู่หยางยักไหล่มือซ้ายพาดอยู่บนไหล่ถึงแม้จะรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ยื่นมือซ้ายโน้มตัวไปทางอันนาอย่างสุภาพบุรุษสุด ๆแล้วพูดว่า “สวัสดีครับเ้าแม่แห่งการแสดงอันนา ผมคือซู่หยางต่อจากนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ” อันนายื่นมือไปจับฝ่ามือเขายิ้มให้แล้วพูดกับอวี๋เจี๋ยว่า “ในเมื่อผู้จัดการมาแล้วงั้นพวกเราไปกับเขาเลยนะ ไม่รบกวนคุณแล้ว”
“อืม” อวี๋เจี๋ยพยักหน้า กำลังจะลุกขึ้น ก็ได้ยินเสียงของกู้หลานอันที่นั่งเงียบไม่แสดงความรู้สึกอยู่ครึ่งค่อนวันว่า “คุณอาอวี๋ครับ ช่วยเปลี่ยนผู้จัดการให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”
“ทำไมล่ะ” คนที่ส่งเสียงถามคือซู่หยาง
“เพราะว่าผมไม่ได้วางแผนจะอยู่ที่นี่นานและไม่ได้คิดอยากจะโด่งดัง การใช้ความสามารถของคุณจะเป็การสิ้นเปลืองเปล่าๆ ” กู้หลานอันพูดไปตามความจริง
“อ้อ” ซู่หยางยิ้มให้อันนาอย่างมีมารยาทดึงมือตัวเองกลับ มือทั้งสองกอดอกแล้วมองกู้หลานอัน สีหน้าดูไม่พอใจมาก “ไม่ได้วางแผนจะอยู่ในวงการบันเทิงนานและไม่ได้อยากจะโด่งดังงั้นเธอเข้าวงการมาทำไมกัน มาหาประสบการณ์ชีวิต”
“ไม่ใช่ ผมมีจุดประสงค์ของผมครับ” กู้หลานอันตอบ
“มีจุดประสงค์ก็ดี ยังไงคราวนี้ฉันก็ดูแลตั้งสองคนลองดูแลคนธรรมดาสักคนก็ไม่เลวเหมือนกันนะ” พอฟังเขาพูดแบบนี้ความบึ้งตึงบนใบหน้าของซู่หยางก็มลายหายไปทันทียื่นมือทำท่าทางเหมือนเชิญให้อันนาที่กำลังมองกู้หลานอันด้วยความขัดใจสุด ๆอยู่ให้เดินไป
“คุณอาอวี๋ครับ” เมื่อเห็นพวกเขาเดินไปไกลแล้วกู้หลานอันมองอวี๋เจี๋ยที่ดูยังไงก็ไม่เข้าใจความหมายของเขายันร่างลุกขึ้นมาตบบ่าเขาแล้วพูดว่า “บริษัทเราใหญ่ขนาดนี้ไม่ขาดแคลนคนมีความสามารถหรอก ใน 1 ปีนี้ถ้าเขาไม่สามารถปั้นดาวดวงใหม่ให้ดังได้ก็ไม่เป็ไรยังไงเราก็มีหนทางอื่นในการผลักดันอีกนับไม่ถ้วน”
“ครับ”
หลังออกจากออฟฟิศของอวี๋เจี๋ย กู้หลานอัน อันนาและซู่หยางก็ตรงไปยังออฟฟิศของซู่หยางทันทีทั้งกู้หลานอันและอันนาทำความเข้าใจกับข้อมูลพื้นฐานของซู่หยางแล้วปล่อยให้เขาวางแผนเื่คนติดตามและเื่จุกจิกอื่น ๆ ซู่หยางสอบถามอันนาเื่จุดมุ่งหมายที่อยากพัฒนาเมื่อหวนคืนสู่วงการอันนาก็พูดแิต่าง ๆ ของตัวเองออกมา ซู่หยางถึงหันกลับมาถามกู้หลานอัน
“เ้าแม่การแสดงอันนามีแผนสำหรับตัวเองแล้ว แล้วเธอล่ะหลานอัน” ถามจบไม่รอกู้หลานอันตอบเขาก็พูดต่อว่า “ถึงแม้ฉันจะรับคำสั่งมาให้มาทำตามความ้าของพวกเธอแต่ฉันอาจจะต้องพูดเยอะหน่อยนะหลานอัน ตอนนี้เธอกำลังอยู่ใน่ได้รับความนิยมคงจะไม่สามารถใช้อารมณ์ในการเลือกงาน ไม่งั้นถ้าผิดั้แ่ก้าวแรก ก้าวต่อ ๆไปก็ผิดหมด มันจะกลายเป็การขุดหลุมฝังตัวเองในภายหลังได้ เธอจะต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนว่าจะทำอะไรหลังจากนี้ไม่ว่าจะร้องเพลงต่อ หรืออยากจะแสดงละคร หรือการเข้าร่วมรายการเรียลลิตี้ต่างๆล้วนต้องพิจารณาสถานการณ์ของตัวเองให้ดีถึงจะทำการตัดสินใจได้”
กู้หลานอันมองซู่หยางที่ท่าทางจริงจัง เดิมทีอยากเตือนเขาด้วยคำพูดของเขาเองที่เคยพูดก่อนหน้าว่าจะขุดหลุมฝังตัวเองหรือไม่นั้นตัวเขาเองไม่ได้สนใจเลย แต่มาคิด ๆดูเขาอาจจะเป็พวกบ้างานเข้าเส้นแล้วก็ได้ เลยไม่ได้พูดออกไปแต่พูดออกไปแค่สองคำอย่างหนักแน่นว่า “แสดงละคร”
“แสดงละคร” ซู่หยางไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบมากนักแต่เป็อันนาที่ประหลาดใจจนถามออกมาว่า “ลูกนี่ลูกยังฝึกเดินไม่เป็ก็ริอ่านอยากจะบินแล้ว ลูกเคยเรียนการแสดงมาก่อนเหรอ ลูกแสดงละครเป็เหรอ ลูกรู้หรือเปล่าว่าละครเขาถ่ายทำกันยังไง ลูกรู้ไหมว่าการจะเป็นักแสดงคนหนึ่งนี่มันยากขนาดไหน ลูกก็บอกจะแสดงละครแล้ว”